บทที่ 151คุณไม่มีสิทธิ์เข้ามา
หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วพูดว่า “ทางที่ดีคุณควรจะไสหัวออกไปซะ”
“นี่คุณว่ายังไงนะ? บอกให้ฉันไสหัวไปเหรอ?” โจยู่ถานขำออกมาอย่างดูแคลน “คุณไม่ก็แค่คนไร้ค่ายังไม่รู้ตัวอีก? นี่มันไปสมบัติของตระกูลโจของฉัน! คุณยังกล้าทำตัวกร่างขนาดนี้อีก เดี๋ยวฉันก็สั่งคนมากระทืบคุณหรอก!”
“หึหึ พี่ยู่ถานคะ ที่เขายังทำตัวกร่างอยู่แบบนี้ คงเป็นเพราะเขาคิดว่าหวางหงหลิงจะต้องช่วยยัยนั้นแน่ๆ ช่างโง่เง่าซะจริง ยังไม่รู้สินะว่าพี่ยู่ถานกับหวางหงหลิวนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดไหน?” จางจี้หนิงพูดประจบอยู่ข้างๆ
“หลินอิ่ง ฉันขอแนะนำให้แกรีบคุกเข่าลงมาขอโทษพี่ยู่ถานเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ตระกูลจางของเราก็จะเฉดหัวคุณออกไปเหมือนกัน” จางจี้หนิงตะคอกใส่หลินอิ่ง “คุณควรคิดดูสักนิดนะ ว่าภรรยาของแกได้ถูกจางซื่อกรุ๊ปไล่ออกไปแล้ว คุณยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย?”
“หึ ยังไม่คุกเข่าลงอีก บอดี้การ์ด จัดการมัน!” โจยู่ถานคำรามออกมา พร้อมกับดีดนิ้วเพื่อส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดของเธอ
บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาหวังจะลงมือกับหลินอิ่ง
“นี่พวกเธอกำลังเอะอะอะไรกันอยู่?”
ในตอนนั้นเอง เสียงที่ทั้งไพเราะและสง่างามก็ได้ดังขึ้น
กุนซุนชิวอวี่ได้เดินเข้ามา เธอมองมาที่จางจี้หนิงกับโจยู่ถานด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
สองคนที่ไม่รู้จักผิดชอบกล้ามาขวางทางพี่ชายไม่ให้เข้าไปอย่างนั้นเหรอ? ครั้งนี้ต้องขอให้พี่ชายให้ช่วยแท้ๆ ถ้าปล่อยให้สองคนนี้มาทำให้เสียการใหญ่ละก็ต้องแย่แน่ๆ
ถึงแม้ฉีหยิ่นจะมีศักดิ์เป็นพี่ แต่การที่ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายปีแบบนี้ จู่ๆ จะไปขอให้มาช่วยมันก็ต้องทำตัวให้สมกับที่ไปขอร้องคนอื่นหน่อยสิ
“คุณหนูกงซุน”
โจยู่ถานกับจางจี้หนิงรีบเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที ก้มหน้าก้มตาพร้อมกับทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ฐานะของกงซุนชิวอวี่นั้นช่างสูงศักดิ์เหลือเกิน อำนาจล้นฟ้า เดิมทีพวกเธอสองคนก็ตั้งใจจะมาคลอเคลียกับกงซุนชิวอวี่อยู่แล้ว อยากทำความรู้จักกันไว้ เผื่อวันหน้าจะได้ติดต่อกันง่ายๆ ถ้าสามารถเชื่อมสัมพันธ์ได้สักนิดละก็ มันก็หมายถึงความมั่วคั่งที่จะไหลมาอย่างไม่มีสิ้นสุดเลยนะ
ดังนั้นพวกเธอจึงไม่กล้าแสดงสีหน้าใดๆ กับกงซุนชิวอวี่ผู้สูงศักดิ์คนนี้เลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูกงซุน เราสองคนไม่ได้เอะอะอะไรนะคะ แต่เป็นคนไร้ค่าคนนี้ต่างหากที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของคุณ แล้วยังอยากเสนอหน้าเข้าไปพบคุณด้วย ฉันกำลังจะให้บอดี้การ์ดสั่งสอนเขาอยู่เลยค่ะ” จางจี้หนิงพูดประจบประแจง
“คนไร้ค่าเหรอคะ?” กงซุนชิวอวี่ตกใจกับสิ่งที่จางจี้หนิงพูดออกมา
ถ้าบอกว่าพี่ฉีหยิ่นเป็นคนไร้ค่า แบบนี้คนทั้งแผ่นดินจะมีใครที่ไม่ไร้ค่าอีกเหรอ?
คนๆ เดียวสามารถจัดการกับตระกูลฉีทั้งตระกูลได้ แถมยังมีทรัพย์สินในครอบครองอีกไม่รู้กี่พันล้าน กลับถูกหาว่าเป็นคนไร้ค่า วิสัยทัศน์ของผู้หญิงที่โง่เง่าทั้งสองนี้ช่างแคบซะเหลือเกิน เทพที่แท้จริงยืนอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ยังไม่รีบกราบไหว้อีก!
กงซุนชิวอวี่ได้แต่ตัดเพ้อในใจ พี่ฉีหยิ่นนั้นช่างเป็นคนที่ดูถูกไม่ได้เลย เขาเปลี่ยนไปใช่แซ่เดียวกับป้าหลิน ในเมืองชิงหยูนเขาก็ไม่ได้เปิดเผยความร่ำรวยของตนเองให้ใครรู้ ช่างเป็นคนถ่อมตัวเหลือเกิน!
“ใช่ค่ะ คุณหนูกงซุน ก็ตามที่เพื่อนของฉันพูดนั่นแหละค่ะ ไอ้คนไร้ค่าคนนี้ชื่อว่าหลินอิ่ง เขาแบกหน้าด้านๆ ของตัวเองมาหาคุณหนูถึงที่ เพื่อที่จะคลอเคลียให้ได้รู้จักกับคุณ แต่ไม่รู้จักดูสาระรูปตัวเองเลยว่ามีค่ามากพอที่จะทำแบบนั้นมั้ย”
โจยู่ถานพูดประจบประแจงด้วยไม่ต่างกัน
“หุบปาก!”
กงซุนชิวอวี่ตะคอกออกมา ตอนนี้เธอโกรธแล้ว เธอมองมาด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์
พวกโจยู่ถานรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ตะลึงอยู่กับที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
“คุณหลินอิ่งเป็นแขกคนสำคัญที่ฉันเชิญมาดื่มน้ำชาด้วย! พวกเธอนี่ช่างกล้าเหลือเกินนะ ที่กล้ามาขวางทางแขกที่ฉันเชิญมาแบบนี้?” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ห๊ะ? คุณหนู คุณรู้จักกับหลินอิ่งด้วยเหรอคะ? ไม่สิ ทำไมเขาถึงเป็นแขกคนสำคัญของคุณได้?” โจยู่ถานพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
โจยู่ถานกับจางจี้หนิงนั้นตะลึงไปตามๆ กัน ตกใจจนลูกตาทะลักแล้ว
คนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งมันไปรู้จักกับคุณหนูกงซุนได้ยังไงกัน? แถมคุณหนูกงซุนยังเชิญมันมาเป็นแขกอีก?
มันเป็นไปได้ยังไงกัน? คุณหนูกงซุนนั้นเป็นคนที่อยู่ในระดับที่สูงแค่ไหน? ใครมันจะไปคิดถึงได้
อย่างที่รู้ คนที่เป็นสมาชิกของตระกูลโจอย่างเธอ ลำบากลำบนส่งคนไปรับที่สนามบิน แถมยังจองภัตตาคารที่มีระดับที่สุดคอยต้อนรับคุณหนูกงซุน เพื่อเอาใจคนใหญ่คนโตคนนี้ แต่เขากลับไม่แสดงความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
แล้วคนไร้ค่าอย่างหลินอิ่ง มันมีคุณสมบัติอะไรมากพอที่จะไปนั่งดื่มชาในระดับเดียวกันกับคุณหนูคนนี้อย่างนั้นเหรอ?
“ฉันควรทำยังไงบ้าง? ฉันยังต้องให้เธอมาสอนอีกอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่ คุณหนูฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” โจยู่ถานรีบแก้ตัวทันที เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากเป็นเม็ดๆ
“หึ!” กงซุนชิวอวี่ทำเสียงฮึดฮัด “พี่อิ่งคะ เราเข้าไปนั่งคุยกันข้างในกันเถอะค่ะ อย่าไปสนใจคนต่ำต้อยพวกนี้เลยค่ะ”
หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้าร้านชาหยูนยู่นไป โดยไม่ได้สนใจคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
คุณหนูกงซุนเรียกเขาว่าพี่อิ่ง? แต่เรียกพวกเธอว่าพวกต่ำต้อยเนี่ยนะ?
ใบหน้าของโจยู่ถานกับจางจี้หนิงนั้นซีดเผือด พวกเธอไม่เข้าใจเลย มีสิทธิ์อะไร? นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“คุณหนูกงซุน เดี๋ยวฉันไปจัดการเรื่องอาหารให้นะคะ” โจยู่ถานรีบตามเข้าไป แล้วพูดประจบ
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยชงชาให้แล้วกันนะคะ” จางจี้หนิงเองก็รีบประจบเหมือนกัน
กงซุนชิวอวี่ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นว่า “พวกเธอเป็นใคร? เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ?”
“โจยู่ถาน เธอจะพาคนนอกเข้ามาโดย พลการแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่ชอบอยู่กับคนแปลกหน้า”
พูดจบ กงซุนชิวอวี่ก็เดินขึ้นชั้นสองไปพร้อมกับหลินอิ่งโดยไม่หันหน้ามามองด้วยซ้ำ
“ห๊ะ?” โจยู่ถานทำหน้าร้อนรน เธอรู้สึกว่าคุณหนูกงซุนน่าจะโกรธแล้ว เธอจึงหันกลับมามองอย่างไม่พอใจ
“เธอไม่มีตารึไง รีบไสหัวไปซะ เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในนี้ ไม่ได้ยินรึไง ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” โจยู่ถานรีบตำหนิจางจี้หนิงทันที เพื่อเอาใจกงซุนชิวอวี่
“แต่……ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ!” จางจี้หนิงสีหน้าร้อนรน รีบขอโทษไปพร้อมกับรอยยิ้ม รีบออกจะที่นี่ไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ตั้งแต่ที่จางจี้หนิงถูกซูนเหินขับไล่ออกมา เธอก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตระกูลซูนอีกแล้ว เดิมทีเธอก็ตั้งใจมาประจบโจยู่ถานอยู่แล้ว เหมือนหมาตัวหนึ่งที่มาขออาศัยเท่านั้น แล้วเธอจะไปกล้าขัดได้ยังไง
หลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ขึ้นมาถึงชั้นสองแล้ว การตกแต่งของที่นี่นั้นค่อนข้างทำให้รู้สึกสดชื่น ให้กลิ่นอายของความเป็นสมัยใหม่
“พี่คะ ก่อนหน้านี้ที่สนามบินฉันต้องขอโทษจริงๆ นะคะ เพราะฉันไม่รู้ว่าเป็นพี่” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าที่ร้อนรน “มาอยู่ที่เมืองชิงหยูนนี่พี่ก็ทำตัวธรรมดาเกินไปแล้ว ทำไมพี่ต้องปิดปังตัวตนด้วยล่ะคะ? แล้วพี่ยังมาทำอะไรอยู่ในที่เน่าเฟะแบบนี้? ที่แบบนี้มันมีอะไรที่น่าสนใจกันคะ?”
กงซุนชิวอวี่ยังคงรู้สึกไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่พี่หลินหยิ่นของเธอมีกิจการใหญ่โตอยู่ในตี้จิงแท้ๆ แต่เขากลับไม่สนใจ ดันมาเสียเวลาอยู่ในเมืองชิงหยูนแบบนี้ แถมยังไม่เปิดเผยตัวตน การได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตั้งแต่อายุยังน้อย มันควรจะเป็นสิ่งที่วัยรุ่นทุกคนเฝ้าตามหาไม่ใช่เหรอ?
“เรื่องเล็กน้อย” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบๆ “ฐานะของฉันในเมืองชิงหยุ่นแห่งนี้เธอไม่ต้องถามอะไรมาก เข้าใจมั้ย?”
กงซุนชิวอวี่ต้องไม่เข้าใจอยู่แล้วว่าเขาอยู่ในเมืองชิงหยูนแห่งนี้ไปเพื่ออะไร และไม่มีทางรู้หรอกว่าแก๊งมังกรนั้นมาตัวตนอยู่แบบไหน
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” กงซุนชิวอวี่พยักหน้า
ทันทีที่ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะชา โจยู่ถานก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ประจบประแจง
“คุณหนูกงซุน เมนูค่ะ คุณอยากดื่มอะไรคะ?” โจยู่ถานถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ตอนนี้เธอได้ทำตัวเป็นพนักงานไปแล้ว
กงซุนชิวอวี่เปิดดูผ่านๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เลมอนฮาร์ท”
จากนั้นก็หันไปทางหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง แล้วถามว่า “พี่อิ่งล่ะคะดื่มอะไรดี?”