บทที่ 62 ซักถาม
“หลินอิ่ง นายอย่าเข้ามานะ! ฉันเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางเลยนะ! อย่าคิดทำเรื่องสกปรกนะ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ฉันจะจับนายโยนทิ้งลงในแม่น้ำชิงหยูน!”
หวางหงหลิงกัดฟันพูดข่มขู่ขึ้นเพื่อแสดงความน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมด้วย
แต่ดูเหมือนหลินอิ่งแทบไม่ฟังสิ่งที่เธอพูดเลย ในตอนนี้เขาเดินมาเบื้องหน้าเธอแล้ว
หวางหงหลิงก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับหลินอิ่ง
จากนั้นหลินอิ่งก็ยกมือขึ้นจับคางของหวางหงหลิง แล้วยกคางเธอขึ้นมา
“ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจว่า คุณไม่สามารถทำอะไรผมได้” หลินอิ่งพูดขึ้น
หวางหงหลิงมีสีหน้าแดงก่ำเหมือนลูกแอปเปิ้ล เพราะท่าทางและคำพูดของหลินอิ่งช่างน่าหวาดกลัวมาก!
จากนั้นเธอก็เผยสีหน้าหนักแน่นขึ้น กัดฟันพร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาขุ่นเคือง มีใครบ้างกล้าบังอาจกับลูกสาวแห่งตระกูลหวาง?
อย่าแม้แต่เตะต้องตัวเธอเลย แม้แต่ชี้หน้าเธอก็ยังไม่มีใครกล้าเลย!
หลินอิ่งจ้องมองใบหน้าที่เดิมทีสะสวยเปลี่ยนเป็นสีหน้าอวดดีและโมโห เธอเผยสายตาขุ่นเคืองและน่าหวาดกลัวเหมือนกับนักเรียนทำผิดมา แต่ไม่ยอมถูกครูสั่งสอน
“ผมก็นึกว่าคุณหนูตระกูลหวางเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง สามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ แต่ดูเหมือนคุณเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาเท่านั้น” หลินอิ่งยิ้มจางๆ แล้วหันหลังจากไป
เมื่อได้ยินหลินอิ่งพูดแบบนี้ หวางหงหลิงก็ยิ่งอารมณ์ขึ้นจนหน้าแดงก่ำ
น่าอับอายยิ่งนัก!
“นายรังแกฉัน? แถมยังกล้าดูถูกฉันอีก?” หวางหงหลิงเผยท่าทางไม่ยินยอม ลุกขึ้นและตะคอกว่า “หลินอิ่ง นายอย่าไปไหน! มาคุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อน!”
แต่หลินอิ่งเดินลงไปข้างล่างไม่เห็นร่องรอยแล้ว
หวางหงหลิงกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมเผยสีหน้าขุ่นเคือง
เธอยื่นมือจับคางของตัวเอง เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิบัติตัวต่อเธอแบบนี้?” หวางหงหลิงพูดขึ้น แต่จู่ๆเธอก็นึกถึงตอนที่หลินอิ่งจับคางของเธอขึ้น จากนั้นใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อเล็กน้อย
“ช่างน่าขยะแขยง ทำเกินไปแล้ว!” หวางหงหลิงกำมือออกหมัดกลางอากาศ แล้วกัดฟันอย่างแน่นด้วยท่าทางไม่ยินยอม
เธอยังไม่เคยถูกผู้ชายสัมผัสมาก่อนเลย แม้กระทั่งใบหน้า!
จากความทรงจำตั้งแต่ยังเด็กของเธอแล้ว เธอมีฐานะสูงส่งมาโดยตลอด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีคนรุมล้อมประจบประแจง และไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนของเมืองชิงหยูนล้วนได้รับความสนใจ!
อีกทั้งได้รับความเอ็นดูจากคุณท่านและพ่อ เลยแทบจะไม่เคยได้ถูกกลั่นแกล้งเลยสักครั้ง!
“หรือว่าเขาไม่กลัวฉัน? ไม่กลัวตระกูลหลง?” หวางหงหลิงทำปากมุ้ย คิดยังไงก็คิดไม่ออก หลินอิ่งเอาความกล้ามาจากไหนบังอาจแบบนี้กับเธอ แถมยังสัมผัสตัวเธอด้วย…..
ไม่รู้เหมือนกันว่าหวางหงหลิงคิดอะไรอยู่ เดียวเธอก็โมโห เดียวเธอก็เขินอาย สีหน้าเปลี่ยนแปลงตลอด เธอนั่งอยู่ที่เดิมมาได้สิบนาทีกว่าแล้ว
“คุณหนูครับ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หลังจากที่ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด ฟื้นคืนสติก็สะดุ้งตกใจ รีบลุกขึ้นพูดกับหวางหงหลิงทันที
“คุณหนู หลินอิ่งหนีไปแล้วหรอครับ? เขาไม่ได้เสียมารยาทกับคุณใช่ไหมครับ?” หูหมิงหยินก็ฟื้นคืนสติเหมือนกัน พร้อมกับเผยสีหน้ากังวลซักถามขึ้น
“หืม! อย่าพูดถึงคนนี้อีก แค่พูดถึงฉันก็อารมณ์ขึ้นทันที!” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น
“คุณหนู ผมสมควรตาย! ไม่สามารถปกป้องความปลอดภัยของคุณหนูได้ ได้โปรดลงโทษผมด้วยครับ!” ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด พูดด้วยท่าทางละอายใจขึ้น
ทั้งสองคนก้มหน้าเผยสีหน้าละอายใจ ในฐานะบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันคุณหนู เมื่อทำงานผิดพลาดก็รู้สึกไม่มีหน้าเผชิญหน้ากับคุณหนู
“ช่างเถอะ ความสามารถไม่เพียงพอ ไม่โทษพวกนายหรอก!” หวางหงหลิงถอนหายใจ และพูดขึ้น เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด นับว่าเป็นนักฆ่าระดับโลกแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลินอิ่งจัดการได้อย่างง่ายดาย ตกลงคนๆนี้มีพื้นเพแบบไหนกัน?
เมื่อได้ยินหวางหงหลิงพูดแบบนี้ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด ก็ยิ่งมีสีหน้าละอายใจมากขึ้น ทั้งสองคนหันหน้าสบตากัน แล้วคุกเข่าลง
“คุณหนู ชีวิตของพวกเราสองคนมีชีวิตอีกครั้งเพราะคุณหนู การที่ทำงานพลาดครั้งนี้คงทำให้คุณหนูอับอายมาก พวกเราสองคนพี่น้องก็ไม่มีหน้ามีชีวิตต่อแล้ว” ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด กัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกลำบากใจ
ในฐานะเป็นนักฆ่าที่ผ่านการฝึกฝน พวกเราย่อมรู้ดีไปกว่าใคร หากนักฆ่าคนหนึ่งพลาดท่านั้นหมายถึงอะไร
“คุณหนู หลินอิ่งกล้าบังอาจขนาดนี้ เราต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย! เรื่องนี้มอบให้ผมจัดการเถอะ ผมจะสั่งสอนเขาจนเขาต้องกลับมาขอโทษคุณหนูเลยครับ” หูหมิงหยินพูดขึ้นด้วยท่าทางขุ่นเคือง
หวางหงหลิงไม่พูดอะไร เอาแต่กัดฟันกัดริมฝีปาก พร้อมจ้องมองข้างหน้าด้วยสายตาโมโหเดือดดาล
“เจ้าคนนั้นสมควรตาย!”
หูหมิงหยินไม่กล้าพูดอีก เพราะเห็นคุณหนูมีท่าทางขุ่นเคือง!
“คุณหนูครับ ได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับ ให้ผมกับ ไอ้เจ็ด จัดการเรื่องนี้นะครับ ครั้งนี้ผมจะทำให้เต็มความสามารถเลยครับ!” ไอ้หก พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น พร้อมเผยสายตาอาฆาตขึ้น
ถึงแม้พวกเขารู้ว่า หลินอิ่งจะมีฝีมือไม่ธรรมดา และอาจจะสู้ไม่ชนะ แต่ถ้าหากพวกเขาพวกเขาใช้ปืนสุ่มยิง ต่อให้หลินอิ่งมีความสามารถแค่ไหนก็ไม่รอดจากเอื้อมมือเขา!
“ไม่อนุญาตฆ่าเขา!” จู่ๆหวางหงหลิงก็ตะคอกขึ้น
“ห่ะ….คุณหนู ไม่ได้อยากฆ่าเขาหรอครับ?” ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด หันหน้าสบตากันด้วยสีหน้าสงสัย และไม่เข้าใจสถานการณ์
“คุณหนูหมายความว่าอะไรนะครับ?” หูหมิงหยินซักถามขึ้น
“ถึงยังไงก็ฆ่าเขาไม่ได้ และอย่าไปหาเรื่องเขาด้วย!” หวางหงหลิงพูดด้วยความรำคาญใจ เมื่อครุ่นคิดสักพักก็พูดขึ้นว่า “ไอ้หก ไอ้เจ็ด พวกนายไปสืบมาให้หน่อยว่า หลินอิ่งทำงานอยู่ที่ไหน พักอยู่ที่ไหน กินข้าวที่ไหน ทุกวันทำอะไรบ้าง?”
“คุณหนูวางใจได้ พวกเราจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังอีก!” ไอ้หก พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“เอาล่ะ พวกนายออกไปได้แล้ว อ๋อ แล้วเอาชาแดงมาให้ฉันด้วย” หวางหงหลิงส่ายมือและพูดขึ้น
หลังจากทั้งสามคนจากไป หวางหงหลิงก็เปลี่ยนสีหน้า แล้วดื่มชาต่อเนื่อง
“เขาก็น่าสนใจดีเหมือนกัน ไม่เหมือนกับคนที่เธอเคยเจอมาก่อนเลย” หวางหงหลิงนั่งเหม่อลอย ขณะเดียวกันในหัวสมองก็มีร่างผู้ชายคนนั้นปรากฏขึ้น
สำหรับหวางหงหลิงแล้ว คนที่เคยเจอตัวเองเมื่อก่อนล้วนต่างเกรงอกเกรงใจ หวาดกลัวต่อเธอ ซึ่งไม่มีความน่าสนใจเลย นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอเจอคนประเภทหลินอิ่ง…….
……
ส่วนอีกด้าน หลังจากหลินอิ่งออกจากร้านชาหงฮุย ก็โบกมือเรียกแท็กซี่กลับชุมชนสุ่ยหยวน
เมื่อถึงหน้าประตูบ้าน เขาก็หยิบกุญแจเปิดประตูขึ้น จู่ๆไฟในบ้านก็สว่างขึ้น และพบกับตาแก่ที่กำลังนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งขรึม เหมือนกับกำลังพิจารณาคดีในศาล ส่วนจางฉีโม่นั่งด้านข้างบนโซฟาดูโทรศัพท์อยู่ด้วยท่าทางหมดอารมณ์
“หลินอิ่ง! นายยังกล้ากลับบ้านอีกหรอ?” ลู่หย่าฮุยเผยสีหน้าขุ่นเคือง แล้วลุกขึ้นยืนซักถามว่า “ฉันนึกว่านายก่อเรื่องแล้วหนีไปซะอีก!”
“เรื่องที่นายไปก่อมาฉันยังไม่ขอถาม แต่บอกมาก่อนว่า เมื่อคืนนายหายไปไหนมา? ตกลงไปทำเรื่องชั่วอะไรข้างนอก?” ลู่หย่าฮุยซักถามขึ้น
“คือผม….” ขณะที่หลินอิ่งจะพูด
“เดียวก่อน! ทำไมฉันถึงได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงบนตัวนาย?” ลู่หย่าฮุยมองประเมินหลินอิ่งด้วยสายตาสงสัย แล้วเดินมาดมใกล้ๆ
“เอาล่ะ! ไม่อยากจะเชื่อเลย!” ลู่หย่าฮุยหัวเราะด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น แล้วหันหน้ามองจางฉีโม่ “จางฉีโม่ หยุดดูโทรทัศน์ได้แล้ว เธอเดินมาดูหน่อย ลูกสาว ฉันจำได้ว่าเธอไม่เคยใช้น้ำหอมกุหลาบใช่ไหม?”