บทที่ 49 ความคิดของหวางจื่อเหวิน
เห็นได้ชัดว่า ในแวดวงเหล่าบรรดาลูกหลานของตระกูลชั้นสูงนี้ หวางจื่อเหวินถือว่าเป็นพี่ใหญ่ ถึงยังไงภูมิหลังของของเขาก็แข็งแกร่งที่สุด เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของผู้ที่มีอำนาจแห่งตระกูลหวาง
“มาสิฉีโม่”หวางจื่อเหวินฝีมือชำนาญ รินไวน์ลงไปหนึ่งในสามของแก้วได้อย่างสง่างาม ก่อนจะยื่นมาให้กับจางฉีโม่
“ขอบคุณค่ะ”จางฉีโม่รับแก้วมาอย่างมีมารยาท สีหน้ากลับรู้สึกอึดอัด ชำเลืองตาไปมองหลินอิ่ง หลินอิ่งสีหน้าดูปกติ
หวางจื่อเหวินก็รินไวน์อีกแก้ว แล้วมองสำรวจหลินอิ่งพร้อมกับถามขึ้น“คุณคนนี้? เหมือนว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเลยนะ?”
“เขาเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการของจางซื่อกรุ๊ปน่ะ ทำงานให้กับฉีโม่”จางหงอี้ชิงตอบแทนหลินอิ่ง
“อ๋อ? ผู้ช่วย”หวางจื่อเหวินเริ่มรู้สึกสนใจ“ในเมื่อเป็นผู้ช่วยของฉีโม่ ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มด้วยกันสักแก้วสิ”
“ขอโทษครับ ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ
“ช่างกล้านะ แกเป็นใคร พี่หวางให้แกดื่ม ก็เพราะว่าไว้หน้าแกนะ แกไม่อยากได้หน้าหรือไง?”ฉินเฟยถามสวนกลับขึ้นมาก่อน
“ไอ้คนไร้ค่าที่เป็นแค่ผู้ช่วยแบบนี้ จะมาเข้าใจมารยาทในการดื่มไวน์เกรดสูงได้ยังไงกันล่ะ?”อูฉู่เวินพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง“ดูจากสภาพแล้ว ทั้งชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสได้ดื่มอีกแล้วมั้ง”
หลินอิ่งส่ายหัว ยิ้มๆไม่พูดอะไร
“ช่างเถอะ อย่าให้เขามาเรียกร้องความสนใจเลย พวกเราดื่มกันก็พอแล้ว”หวางจื่อเหวินพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ มองหลินอิ่งด้วยแววตาเย้ยหยัน
พูดเสร็จ คนที่นั่งตรงนั้นก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมา แล้วจิบไปหนึ่งคำ
“ฉีโม่ พวกหลานคุยกันตามประสาวัยรุ่นกันตรงนี้ก่อนนะ ป้ายังมีงานพิธีอีกหนึ่งงาน ต้องขอตัวก่อนแล้วกัน”หลังจากดื่มเสร็จ จางหงอี้ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“จื่อเหวิน ฉีโม่ก็เพิ่งจะมาที่หมิงเป่าซวน นายช่วยดูแลเธอสักหน่อยแล้วกันนะ เข้าใจไหม?”
หวางจื่อเหวินพูดยิ้มๆ“ป้า วางใจได้เลยครับ ผมอยู่นี่ด้วยทั้งคน ไม่มีใครหน้าไหนกล้ามารังแกเธอได้หรอก ฉีโม่เป็นหลานสาวในตระกูลจางของป้า ถ้าดูจากความสัมพันธ์แล้ว ผมก็สามารถเรียกเธอว่าน้องได้ใช่ไหมล่ะ?”
“เอาเถอะ แล้วแต่นายเลยแล้วกัน”จางหงอี้พูดไปหนึ่งประโยค ก่อนจะหันเดินจากไปยังอีกฝั่งหนึ่งของหมิงเป่าซวน
รอจนกระทั่งจางหงอี้จากไป หวางจื่อเหวินก็มองจางฉีโม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความหื่นกระหายที่ยากจะมองออก
วันนี้จางฉีโม่สวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ ผิวขาวนวล หน้าตางดงาม รูปร่างสูงโปร่งแต่กลับอรชรอ้อนแอ้น แม้ว่าจะไม่ได้แต่งตัวและแต่งหน้ามาเป็นพิเศษ แต่โดยรวมดูโดดเด่น สองแววตาดูมีเสน่ห์ เป็นหญิงงามของทุกเมือง สวยที่สุดในประเทศ
“ช่างเป็นคนสวยที่มีมาให้เห็นไม่บ่อยมากนัก”หวางจื่อเหวินแอบสบถอยู่ในใจ กลืนน้ำลายลงคออย่างช่วยไม่ได้
เพราะว่าเป็นคุณชายกะล่อน เขาเลยได้ยินชื่อของจางฉีโม่สาวสวยที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนแห่งนี้มาบ้าง ช่วงนี้ก็ได้ยินว่าจางฉีโม่เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมากในวงการจิวเวลรี่ ชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงแวดวงตระกูลชั้นสูงของพวกเขา
เมื่อสองวันก่อนหวางจื่อเหวินมองเห็นสีหน้าท่าทางที่งดงามของฉีโม่ในขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องการพัฒนาของจิวเวลรี่จากในสื่อ ในตอนนั้นเขาก็เริ่มมีความคิดอะไรขึ้นมา
การที่เป็นเสือผู้หญิง เขาถนัดที่สุดก็คือการทำอะไรแบบนี้ ชอบไล่ล่าผู้หญิงสวยหลายแบบหลายสไตล์ แถมฝีมือเก่งกาจ มีเทคนิคในการลงมือ แถมยังเข้าใจหัวอกผู้หญิงเป็นอย่างดี ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว ถึงยังไงที่บ้านก็มีเงินให้ใช้เหลือเฟือ
พอดีกับที่ป้า จางหงอี้เข้ามาพอดี แถมแนะนำจางฉีโม่ให้กับตนเองอีก เขาจึงรีบตอบปากรับคำทันที แล้วก็มานัดเจอกันที่หมิงเป่าซวน
คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เห็นจางฉีโม่ตัวเป็นๆแล้ว ก็ยิ่งทำให้ประหลาดใจขึ้นไปอีก ตอนนี้เขามีธงในใจแล้วว่า จะต้องจัดการรวบหัวรวบหางจางฉีโม่ให้ได้
ไม่อย่างนั้น เขาจะยอมเปิดไวน์ราคาหลายแสนตั้งสองขวดทั้งที่เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรกทำไมกันล่ะ
สำหรับหวางจื่อเหวินแล้ว นี่มันเทียบไม่ได้กับพวกผู้หญิงที่เขาเคยเล่นมาก่อนหน้านี้เลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้จ่ายเงินเพิ่มอีกหรือใช้แผนการอีกหน่อยเพื่อจับเธอขึ้นไปบนเตียงมันก็คุ้มทั้งนั้นแหละ
แถมเป็นถึงลูกสาวของตระกูลจาง เป็นสาวสวยแทบจะสวยที่สุดในระดับประเทศ แถมยังสร้างสถิติใหม่ให้กับวงการจิวเวลรี่ของเมืองชิงหยูนอีก ชิ้นงานที่ออกแบบมาก็ประมูลได้ในราคาสูงถึงร้อยล้าน
รอจัดการจางฉีโม่ได้ หลังจากทำสำเร็จแล้ว ตนเองก็จะสามารถประกาศศักดากับแวดวงตระกูบชั้นสูงได้ว่าตนได้เคยกินหญิงงามคุณภาพสูงมาแล้ว ถึงขนาดที่สามารถคุยโม้โอ้อวดได้ยันตายเลยทีเดียว
ป้า จางหงอี้ที่บอกว่าจะมาผูกมิตรไมตรีอะไรนั่น เหอะๆ อยากจะเข้ามาในตระกูลชั้นสูงอย่างตระกูลหวางล่ะสิ? รอให้เล่นจางฉีโม่จนเบื่อเดี๋ยวก็สลัดทิ้งไปแล้ว ถ้าเกิดเธอยอมเป็นผู้หญิงอ่อนแอออเซาะอยู่ข้างนอกก็ได้ ยังไงก็ใช้เงินเลี้ยงอยู่แล้ว
หวางจื่อเหวินคิดลามกเลยเถิดไปไกล ยังไม่ทันได้ลงมือกับจางฉีโม่ แววตาก็ดูหื่นกระหายราวกับหมาป่าหิวโซ
“ใช่แล้ว ยังไม่ได้ถามว่าผู้ช่วยผู้อำนวยการคนนี้ชื่อว่าอะไรเลย?”หวางจื่อเหวินหันไปมองหลินอิ่ง รู้สึกว่าคนคนนี้จะต้องเป็นตัวเกะกะแน่นอน เขาพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ
“หลินอิ่ง”หลินอิ่งตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ
“อ๋อผู้ช่วยหลิน”หวางจื่อเหวินพยักหน้าเล็กน้อย แววตาเป็นประกาย“ทำไมถึงรู้สึกว่าชื่อของผู้ช่วยหลินมันคุ้นๆนะ?”
“พี่หวางฉันคิดออกแล้ว เขาก็คือลูกเขยที่น่าสมเพชของตระกูลจางไง หลินอิ่งนั่นเอง!”ฉินเฟยพูดขำใหญ่ เผยให้เห็นถึงสีหน้าดูแคลนสุดๆ
“เขาก็คือลูกเขยที่แต่งเข้ามาในตระกูลจางคนนั้น!”อูฉู่เวินเอามือปิดปาก ราวกับว่าพยายามจะกลั้นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของตนเอง
“เหอะๆ ตะกี้เพิ่งจะพูดถึงไปเอง คิดไม่ถึงว่าเศษสวะที่โด่งดังจะนั่งอยู่ตรงหน้าของพวกเราซะได้ มันก็ช่างน่าสมเพชจริงๆนั่นแหละ ขนาดพวกเราพูดถึงเขา ยังไม่กล้าพูดตอบกลับมาเลย”เสิ่นห้าวก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ที่แท้ก็คือหลินอิ่งคนนั้นนั่นเอง!”หวางจื่อเหวินหัวเราะออกมา ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดขึ้น“ขอโทษที ขอโทษที ที่ฉู่เวินบอกว่าแกเป็นไอ้เศษสวะก่อนหน้านี้……ฉันรู้สึกว่า แกไม่ใช่เศษสวะ แต่ควรจะเป็นโคตรไอ้เศษสวะมากกว่านะ”
“ถ้าไม่อย่างนั้น แล้วทำไมเป็นลูกผู้ชายแท้ๆถึงคิดจะเกาะเมียกินกันล่ะ?”หวางจื่อเหวินส่ายหน้าพูดขึ้น ท่าทางยโสโอหังสุดๆ
หลินอิ่งมองหวางจื่อเหวินอย่างนิ่งๆ ก็ไม่ได้พูดอะไร คนประเภทเขา หลินอิ่งเคยเจอมาเยอะแล้ว
“คุณชายหวาง ฉันว่าการที่ทุกคนจะพูดจะจากัน ก็น่าจะมีมารยาทกันสักหน่อยดีกว่าไหม?”จางฉีโม่พอได้ฟังคนพวกนี้พูดถึงหลินอิ่งแล้ว ก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกอึดอัด
นี่มันกลับทำให้หลินอิ่งรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าจางฉีโม่จะช่วยพูดแทนตนเอง
หวางจื่อเหวินสีหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างสง่างาม“ขอโทษครับฉีโม่ ผมเสียมารยาทไปแล้ว ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของคุณ ผมก็เพิ่งจะได้มาเจอกับหลินอิ่ง ก็เลยรู้สึกโมโหเกินไป อยากเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคุณ!”
“ใช่ๆฉีโม่ พี่หวางก็แค่เรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณ ที่ต้องมารู้สึกน่าสมเพชกับเศษสวะประเภทนี้”ฉินเฟยกอดอกพูดขึ้น
“นี่ฉีโม่ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันเฉดหัวผู้ชายแบบนี้ออกไปจากบ้านตั้งนานแล้ว ยังจะให้เขามาคอยเกาะกินอยู่ทำไม?”อูฉู่เวินพูดขึ้นด้วยสีหน้าดูแคลน“คุณดูสิว่าทั้งตัวคุณมีของแบรนด์เนมหรูๆอะไรบ้าง? เครื่องประดับจิวเวลรี่อะไรก็ไม่มี ฉันเห็นแหวนแต่งงานก็ไม่ได้ใส่ นี่มันจะเอาเปรียบขนาดไหนกันเชียว?”
“พอคิดแล้วมันก็น่าโมโหจริงๆ หลินอิ่งช่างเป็นความอัปยศของผู้ชายแบบเราๆเหลือเกิน!” เสิ่นห้าวพูดขึ้นด้วยท่าทางน่าเกรงขาม“ฉีโม่ขอแค่คุณพูดว่าจะเฉดหัวเขาออกไปจากบ้าน แค่ประโยคเดียว ผมจะช่วยจัดการกับเขาให้เอง รับรองเลยว่าจะทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียวแน่นอน แล้วก็ไม่กล้าแบกหน้าเข้ามาที่ตระกูลจางอีก และยอมไสหัวไปแต่โดยดีอย่างแน่นอน!”
“ทุกคนไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้วล่ะ นี่มันเป็นเรื่องของฉัน”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“พวกนายไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นี่มันเป็นเรื่องของฉีโม่”หวางจื่อเหวินพูดขึ้นอย่างสง่างามสุดๆ แล้วหันมามองจางฉีโม่พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย“ฉีโม่ถ้าเกิดคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็โทรหาผมได้เลย เชื่อผม ผมหวางจื่อเหวินมีอำนาจและอิทธิพลในเมืองชิงหยูนแห่งนี้”
พูดพลาง หวางจื่อเหวินก็ดีดนิ้ว
“ฉินเฟยไปที่คลังเก็บของโดยเฉพาะของฉัน แล้วเอาของขวัญที่ฉันเตรียมไว้ให้กับฉีโม่มา”