ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – ตอนที่ 21 คนเป็นหมื่นชี้หน้าด่า

บทที่ 21 คนเป็นหมื่นชี้หน้าด่า

ผู้บริหารระดับสูงหลายท่านในบริษัท ต่างลุกขึ้นประณามหลินอิ่ง ด้วยอารมณ์ที่โกรธ ราวกับว่าหลินอิ่งได้ขโมยKing of the worldไป

“อันที่จริงฉันก็เห็นว่ามันทะแม่งๆตั้งแต่ครั้งที่แล้ว จางฉีโม่เพิ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งวันเดียว คาดไม่ถึงว่าจะออกรถคันนึงราคาห้าแสนหยวน!” จางเถียนไห่แสดงท่าทีอย่างเอาจริงเอาจัง หัวหน้ากล่าววิเคราะห์แล้วพูดว่า “แสดงให้เห็นว่า เธอมีลักษณะที่จะแสวงหาผลกำไรนี้ ทุกคนพูดเปรยๆตำหนิว่า โครงการที่มีเงินทุนหมุนเวียนสิบล้านที่ดูแล ไม่สามารถวางขั้นตอนจัดการเงินได้เลยหรอ?”

“ครั้งที่แล้วฉันก็บอกแล้วว่าจะให้ผู้จัดการฝ่ายการเงินไปตรวจสอบบัญชีของเธอ สุดท้ายผู้บริหารบริษัทไม่มีใครรับฟังเห็นด้วยกับข้อเสนอของฉัน” จางเถียนไห่พูดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเสียใจ รายงานต่อคณะกรรมบริษัทว่า ให้ปลดเธอออกจากตำแหน่งผู้บริหาร เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไหม?”

“ใช่! ดูไม่ออกเลยจริงๆ จางฉีโม่ คุณเป็นพนักงานฝ่ายการตลาดตัวเล็กๆ พลอยอำนาจบารมีเจ้านายแป๊ปเดียวก็ได้เป็นผู้บริหาร คอรัปชั่นอย่างมากมายเลยนะ”

“นี่มีอะไรน่าแปลกใจหรอ? คนจนรวยขึ้นมาอย่างกะทันหัน หวาดกลัวความจน ทันทีที่เข้าดำรงตำแหน่งในระดับสูง ก็อดรนทนไม่ไหวจึงคิดจะทุจริต”

“จุ๊ๆ การโกงกินนี้ช่างน่ารังเกียดเสียจริงๆ ตอนนี้เรื่องอัญมณีที่ถูกขโมยนี้ จางฉีโม่ต้องเป็นหนึ่งในตัวละครอะไรในนั้นอย่างแน่นอน”

ผู้บริหารกลุ่มเพื่อนซี้หลายคนของจางเถียนไห่ ต่างก็เหน็บแนม พูดคาดการณ์บิดเบือนความจริงกันขึ้นมาเอง

“นี่ยังต้องคิดอีกไหม? จางฉีโม่สมรู้ร่วมคิดกับคนภายนอก เธอก็ละโมบโลภมากอย่างชัดเจน แล้วอัญมณีเครื่องประดับประเมินมูลค่ากว่าสิบล้านกว่าหยวนที่สว่างเจิดจ้าอยู่เบื้องหน้าทุกวัน พวกคุณพูดซิว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะอดใจไหวไหม?” จางเถียนไห่ราวกับนักสืบ คาดเดาเป็นฉากๆ

“จางเถียนไห่ คุณหุบปาก! นี่คุณกำลังสาดโคลนอยู่นะ!” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห แสดงออกด้วยความกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม

วันนี้เธอมาทำงานแต่เช้า ก็พบว่าKing of the worldที่วางอยู่ในตู้เซฟไม่มีแล้ว ตกใจอย่างมาก จึงรีบไปกดกล้องวงจรปิดดู

ปรากฎว่า เมื่อคืนที่ผ่านมากล้องของบริษัท ทั้งหมดถูกตัดการเชื่อมต่อ และห้องเวรยามก็ถูกตัดการเชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายไฟด้วย เหมือนกับว่าสิ่งนี้มีคนวางแผนไว้ล่วงหน้า

เดิมทีเรื่องนี้จะต้องแจ้งความต่อตำรวจให้ตำรวจในท้องที่เข้ามาจัดการอย่างแน่นอน กลุ่มของผู้บริหาร โดยเฉพาะจางจี้หนิงและจางเถียนไห่เป็นผู้นำกลุ่ม

แต่อูหยางประธานคณะกรรมการบริหารใช้อำนาจบีบบังคับเอาไว้ กล่าวว่าไม่ต้องประกาศออกไปยังภายนอก ให้ดำเนินการตรวจสอบภายในบริษัทเป็นการชั่วคราว

ถึงอย่างไร เรื่องนี้จางฉีโม่ก็เป็นคนรับผิดชอบ ยิ่งเกิดเรื่องใหญ่มาก ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อเธออยู่ไม่น้อย

เรื่องนี้เป็นโครงการที่จางฉีโม่รับผิดชอบ แม้แต่อูหยางที่เป็นประธานคณะกรรมการบริหารนี้ก็คงไม่กล้ารับผิดชอบหรอก……

“อุ๊ยตายจริง ผู้อำนวยการจางช่างน่าเกรงขามจริงๆ นี่ต้องเอาตำแหน่งหน้าที่มากดขี่คนเลยหรอ?” จางเถียนไห่พูดจากลับตาลปัตร แต่ทว่าใบหน้าแสดงออกอย่างลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง

“จางฉีโม่ คุณต้องจัดการสถานภาพและสถานการณ์ของตนเองตอนนี้ให้ชัดเจน!” จางเถียนไห่พูดพลางยิ้มๆ “เดิมทีคุณก็เป็นเพียงผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการการออกแบบคนนึง ต้องรอให้โครงการKing of the worldของคุณสำเร็จราบรื่นดี และอีกอย่างต้องให้ผ่านหลังจากการจัดแสดงนิทรรศการอัญมณีไปแล้วถึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นสมาชิกได้อย่างสมบูรณ์”

จางเถียนไห่กล่าวอย่างยกตนข่มท่าน: “สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง? ตอนนี้คุณไม่เพียงแต่ค้นคว้าวิจัยโครงการKing of the worldไม่สำเร็จราบรื่น ยังมีเรื่องนี้ที่ทำอัญมณีที่มีไม่กี่ชิ้นบนโลกมูลค่ากว่าสิบล้านหายไปอีก! และอีกอย่าง พรุ่งนี้กลุ่มเครือข่ายภายนอกของนิทรรศการอัญมณีก็จะเรียกประชุมแล้ว คุณจะชี้แจงกับกลุ่มบริษัทเครือข่ายอย่างไร? คุณคิดว่าคุณยังสามารถนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการการออกแบบได้อย่างมั่นคงอีกหรอ?”

จางฉีโม่กัดริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว แต่ในสายตายากที่จะระงับความกล้ำกลืนในความไม่เป็นธรรม 

เธอเป็นพนักงานตัวเล็กๆมาโดยตลอด ขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงาน ในที่สุดด้วยแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง จึงได้รับการชื่นชมจากผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรักษาการแทนผู้อำนวยการ มีโอกาสที่โดดเด่นกว่าคนอื่น

พยายามทุ่มเทมาหลายวันหลายคืน ในที่สุดก็ค้นคว้าวิจัยผลงานของตนเองออกมา แต่เมื่อผลงานจะได้รับการจัดแสดงในวันพรุ่งนี้ งานที่ทำขึ้นจากกำลังกายและกำลังสมองของตนเองก็ถูกคนขโมยไป ในท้ายที่สุดยังถูกคนในบริษัทประณามอย่างโหดเหี้ยม

นี่อาจจะกล่าวได้ว่า ในชีวิตของจางฉีโม่ เป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดที่เคยพบเจอเรื่องนึง

อีกอย่าง เธอยังไม่มีทางร้องขอ ทำได้เพียงอดทนต่อคำประณามอย่างไม่มีมูลเหตุของคนเหล่านี้ในบริษัท!

“จางฉีโม่ นี่ยังไม่รู้อีกนะว่าเวลาที่คุณทำโครงการค้นคว้าวิจัย อย่างด้อยคุณภาพ ทำสินค้าคุณภาพต่ำออกมา แต่กลัวว่าจะแบกความรับผิดชอบไว้ไม่ไหว ก็เลยปล่อยมือจากหม้อเสียเลย(ไร้ซึ่งทางเลือกใดๆ) แล้วนำสินค้าอัญมณีไปเก็บไว้ส่วนตัว แล้วมาประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าหายไปแล้ว อย่างไรเสียนอกจากพวกคุณสามีภรรยาแล้ว พวกเราก็ไม่มีใครเคยได้เห็นว่าKing of the worldเป็นยังไง” จางจี้หนิงก็ลุกขึ้นยืน พูดพลางยิ้มอย่างเยือกเย็น คาดคะเนอย่างไม่ยั้งคิด ไม่ระงับสีหน้าความลำพองใจบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย 

“คุณพูดจาเหลวไหล แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยทำงานด้อยคุณภาพ! ผลงานนี้ก็ออกมาอย่างเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว!” จางฉีโม่กล่าวด้วยความไม่พอใจ

เธออดกลั้นต่อการคาดเดาและประณามของชั้นผู้บริหารของบริษัทได้ แต่ทว่าก็จนปัญญาที่จะทนรับไหว ในฐานะที่เธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการออกแบบอัญมณี ที่จะโดนดูถูกผลงานที่เธอได้สร้างสรรค์ขึ้น

“เหอๆ ช่างน่าขำเสียจริงๆ” จางจี้หนิงกล่าวเย้ยหยันต่อ “ยังกล้าพูดว่าผลงานของตนเองเสร็จสมบูรณ์ดีอีกหรอ? ฉันดูแล้วนะ บางทีคุณอาจจะคิดว่าผลงานดีกว่าฉัน พรุ่งนี้ก็คืองานแสดงนิทรรศการอัญมณีแล้ว จึงจงใจให้สินค้าขยะชิ้นนั้นหาย หลังจากนั้นก็มาเสแสร้งทำเป็นคนไม่มีความผิดเพื่อมาฉกฉวยความเห็นใจจากทุกคน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะ เดิมทีคุณไม่ได้มีความสามารถในการออกแบบเครื่องประดับอัญมณีมูลค่ากว่าสิบล้านนี้อยู่แล้ว สวมหน้ากาก แล้วเก็บเกี่ยวผลกำไรอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายก็พูดมาประโยคนึงว่าไม่พบอัญมณี เพื่อตบตาทุกคน ใช่ไหม?”

“คุณคิดว่าทุกคนเป็นคนโง่จริงๆหรอ? ตัวคุณเองมีหรือไม่มีความสามารถที่จะทำผลงานมูลค่าสิบกว่าล้าน ในใจไม่มีหยกสักนิดเลยหรอ? จางจี้หนิงร้องเชอะอย่างเย็นชา สีหน้าท่าทางแสดงความเยาะหยันอย่างไม่มีอะไรเปรียบ

“ใช่ๆ พวกเราไม่มีใครเคยเห็นสินค้าจริงๆ เป็นดำเป็นขาวก็ไม่ใช่ตามที่พวกเขาสองสามีภรรยาพูดส่งเดชเรื่อยเปื่อย!”

“จุ๊ๆ ที่พูดมาก็ถูก เดิมทีแล้วจางฉีโม่ก็เป็นคนไร้ความสามารถอยู่แล้ว น่าจะเป็นอย่างที่พี่หนิงพูด หาเงินภายใต้หน้ากาก สุดท้ายก็มาตบตาคิดว่าทุกคนเป็นคนโง่”

กลุ่มผู้บริการหลายคนของแผนกจางหงจูน ต่างก็ออกปากพูดตำหนิกันอย่างเซ็งแซ่

“ฮึ เหมือนกับเป็นมอดของกลุ่มบริษัทนี้ คนไร้ยางอาย ทำไมยังอยู่ที่บริษัทอย่างไม่ละอายใจอีก?” ซูนเหิงก็ถอนหายใจอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “จางฉีโม่ หลินอิ่ง ฉันจะบอกอะไรคุณสองคนให้นะ ผลงานชิ้นนี้ใช้ค่าใช้จ่ายของกลุ่มเครือข่ายในการสร้างไปถึงยี่สิบสามสิบล้าน สิ่งสำคัญยังเพิ่มโฆษณาภายนอกอีก แหล่งทรัพยากรการติดต่อสื่อสารในการขับเคลื่อน แต่ใช้จ่ายต้นทุนไปมาก! มูลฐานต้นทุนนี้จนปัญญาที่จะประมาณการ คุณคิดว่าครอบครัวพวกคุณจะรับผิดชอบไหวหรอ?”

“เมื่อเรียกประชุมงานนิทรรศการอัญมณีในวันพรุ่งนี้ เรื่องนี้ส่งผลกระทบให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล ครอบครัวพวกคุณต้องชดใช้อย่างสิ้นเนื้อประดาตัว!”

พูดถึงตอนนี้ ซูนเหิงก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา กล่าวว่า: “ในฐานะที่ฉันเป็นรองผู้อำนวยการกลุ่ม บริหารงานเป็นสมาชิกกรรมการบริษัท ในนามของฉันคนเดียวทั้งหมด ให้ดำเนินการฟ้องร้องพวกคุณทั้งสองที่เป็นคนจัดทำโครงการตามกฎหมาย! ฟ้องร้องว่าพวกคุณละเมิดผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันอย่างร้ายแรง! อีกอย่าง ฉันยังต้องให้กรรมการบริษัทผู้ถือหุ้นทุกคนขององค์กร ดำเนินการทางกฎหมายกับพวกคุณสองคนด้วย!”

“เมื่อถึงเวลา พวกคุณก็จะต้องติดคุก!” ซูนเหิงใช้อำนาจคุกคามกล่าวขู่ขวัญ

“นี่มันกลับตาลปัตรจากขาวเป็นดำจริงๆ มีเรื่องอะไรที่พวกคุณจะเอ่ยปากใช้เป็นพยานหลักฐานหรอ?” หลินอิ่งกล่าวยิ้มอย่างเยือกเย็น

“ในฐานะที่พวกคุณสองคนเป็นคนรับผิดชอบโครงการ คุณจะหนีพ้นความเกี่ยวพันธ์นี้หรอ?” จางเถียนไห่โผล่ขึ้นมาซักถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน

“การเรียกประชุมงานนิทรรศการอัญมณีในวันพรุ่งนี้ King of the world โดยธรรมดาจะต้องแสดงที่งานนิทรรศการ ฉันและฉีโม่เป็นคนรับผิดชอบโครงการนี้ เรื่องนี้ ยังไม่ถึงช่วงที่พวกคุณจะเป็นทุกข์เรื่องเหล่านี้” หลินอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา

“ดี! เก่งจริงๆ! ผู้ช่วยหลินมั่นใจขนาดนี้ งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว หวังว่าคุณจะสามารถพูดได้ทำได้นะ” จางเถียนไห่แสดงออกอย่างโอ้อวด กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำพองใจ “ทุกคนล้วนได้ยินนะ! นี่คือผู้ช่วยหลินพูดด้วยปากของตัวเองเลยนะ พรุ่งนี้King of the worldจะต้องแสดงในงานนิทรรศการ!”

“ถ้าไม่มีออกมาแสดง ผู้ช่วยหลิน ถึงเวลานั้นพวกเราก็จำเป็นต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลกับพวกคุณสองคน! พวกคุณสองคนก็จะต้องถูกไสหัวออกจากบริษัทไปอย่างเปิดเผย!” จางเถียนไห่กล่าวด้วยท่าทีที่ขึงขัง สายตาแสดงออกถึงความมีอำนาจเหนือกว่าอย่างมาก

หลินอิ่งหันมองจางเถียนไห่ ไม่ได้พูดจา

“หลินอิ่ง ทำไมคุณพูดแบบนี้ออกมาต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจำนวนมากขนาดนี้ นี่จะถูกพวกเขาเอาไปเป็นขี้ปากได้นะ” จางฉีโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆหลินอิ่งกล่าวกระซิบ แสดงออกด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง “เดิมทีนี่ก็เป็นเพียงแค่การกล่าวหาของพวกเขาอย่างไร้มูลเหตุ ไม่จำเป็นต้องแข็งข้อ อดทนๆไป ตามใจพวกเขาจะพูดยังไงก็พอแล้ว”

หลินอิ่งยิ้มๆ กล่าวว่า: “ฉีโม่ ตอนนี้ก็เลิกงานแล้ว พวกเรากลับบ้านไปทานข้าวกันก่อนเถอะ”

“ทำไมคุณยังมีอารมณ์ที่จะทานข้าวอีกหรอ!” จางฉีโม่มองค้อนหลินอิ่ง ทันทีก็ถูกหลินอิ่งลบเลือนความโกรธนี้อย่างรวดเร็ว

“อย่ากังวลไป กลับบ้านแล้วค่อยคุย” หลินอิ่งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

จางฉีโม่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร การแสดงออกของความกังวลที่เดิมทีมีอยู่มหาศาล ก็ถูกท่าทีที่มีอำนาจของหลินอิ่งนี้ลบเลือนไป รู้สึกมั่นคงปลอดภัยขึ้นมา

คนทั้งสองไม่ชายตามองจางเถียนไห่และคนทั้งหลาย ลงจากตึกและออกจากบริษัท

หลังจากที่คนทั้งสองออกไปแล้ว จางเถียนไห่ยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น เดินไปยังด้านข้างของจางจี้หนิง กล่าวกระซิบว่า: “พี่หนิง ฉันจัดการเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมไหม?”

บนใบหน้าของจางจี้หนิง เต็มไปด้วยความพอใจ พูดกระซิบว่า: “เถียนไห่ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณยังมีวิธีการนี้อีก แต่ก่อนพี่กลับดูถูกคุณ ครั้งนี้คุณมีความดีความชอบ ฉันจะกลับไปปรึกษาหารือกับพี่เขยคุณ ให้ตระกูลซูนยื่นมือมาช่วยครอบครัวพวกคุณให้กลับฟื้นคืนมาเหมือนเดิม”

“ฮึ” จางเถียนไห่ทอดถอนใจอย่างเย็นชา “อูหยางสุนัขรับใช้ของนิ่งซื่อกรุ๊ปนี่อะนะ เป็นเลขาฯคนนึง มาวางอำนาจบาตรใหญ่กับคนตระกูลจางของพวกเรา เมื่อถึงเวลาพวกเราสองครอบครัวก็จะร่วมมือกัน และตระกูลซูนครอบครัวของพี่เขยจะช่วยทรัพยากรการติดต่อซึ่งกันและกัน หาโอกาสทั้งหมดเพื่อจะเตะอูหยางออกจากกรรมการบริษัท!”

“ครอบครัวจางฉีโม่คิดจะประจบสอพลออูหยาง ก็สามารถเป็นศัตรูกับพวกเรา ก็เท่ากับรนหาที่ตาย” จางจี้หนิงพูดพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ครั้งนี้ โครงการของจางฉีโม่และหลินอิ่งประสบความล้มเหลวไปหลายสิบล้าน ถึงแม้ว่าอูหยางจะเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปกป้องพวกเขาทั้งสอง พรุ่งนี้ก็จะสามารถไสหัวพวกเขาออกจากบริษัทแล้ว!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset