“วิจัยแมลงเปลือกดำชนิดนั้นได้สำเร็จแล้วเหรอครับ?” ฉินสือโอวถามอย่างรีบร้อน
แซนเดอร์สส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ใช่ เป็นของอย่างอื่นครับ บอส ทำไมคุณจะต้องให้ผมวิจัยเปลือกพวกนั้นให้ได้เลยล่ะ?”
ฉินสือโอวจึงอธิบายว่า “ช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ผมไปเข้าร่วมกิจกรรมหนึ่งที่อัมสเตอร์ดัม ในตอนนั้นมีบริษัทที่แสดงผลงานการวิจัยด้านนี้ นี่อาจจะเป็นการเปิดยุคสมัยใหม่เลยก็ได้ ดังนั้นผมเลยหวังว่าคุณจะวิจัยมันอย่างดีเหมือนกัน”
แซนเดอร์สเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา เขาจึงถามว่า “เปิดยุคสมัยใหม่เหรอ? แต่ผมลองค้นหาจากในหนังสือกับอินเทอร์เน็ตแล้ว ไม่เห็นจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเปลือกชนิดนี้เลย ข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องอย่างเดียวก็คือสัตว์เลื้อยคลานในทะเล ปรากฏตัวขึ้นในสมัยไมโอซีน สูญพันธุ์ไปเมื่อในสมัยไพลโอซีน”
สมัยไมโอซีนกับสมัยไพลโอซีนเป็นสองยุคในมหายุคซีโนโซอิก ยุคแรกอยู่ห่างจากปัจจุบันห้าล้านถึงแปดล้านปี ส่วนยุคหลังก็เกิดก่อนยุคปัจจุบันประมาณสองล้านปี
ฉินสือโอวไม่สามารถแบ่งยุคทางธรณีวิทยาได้อย่างชัดเจนนัก เขาลูบจมูกไปมาแล้วไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก เขาจะรอให้ศาสตราจารย์อาวุโสได้ผลการวิเคราะห์มาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
ตอนนี้เขากับศาสตราจารย์ยังไม่รู้แน่ชัดว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้ที่ถูกคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วหลายล้านปี มีเบื้องหลังที่แสดงถึงอะไร
ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทสร้างอาคารหลังคามุงกระเบื้องขึ้นมาอีกหนึ่งหลังแล้ว นี่คือห้องทดลองที่เตรียมไว้ให้แซนเดอร์ส อุปกรณ์ด้านในเป็นของที่เขานำมาเอง ตั้งแต่จานเพาะเชื้อไปจนถึงเครื่องหมุนเหวี่ยง มีพร้อมสรรพตามที่ควร
ในห้องทดลองมีห้องหนึ่งที่เป็นห้องดำ ไม่มีหน้าต่าง ใช้พัดลมระบายอากาศในการถ่ายเทอากาศ เนื่องจากมีการทดลองบางส่วนที่ต้องดำเนินการภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปราศจากแสงถึงจะสามารถทำได้
ห้องที่ศาสตราจารย์พาเขาเข้าไปก็คือห้องดำ หลังจากปิดไฟแล้ว ห้องทั้งห้องก็กลายเป็นความมืดมิด ในความมืดมิดก็มีลำแสงที่ส่องกระจายแสงสีต่างๆ ออกมา แดงส้มเหลืองเขียวครามน้ำเงินม่วง มีครบทุกสี บางส่วนเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์เครื่องมือ สัญลักษณ์เรืองแสง และยังมีบางส่วนที่ถูกปล่อยออกมาจากสิ่งมีชีวิต
ทันใดนั้นที่ข้างๆ ตัวเขาก็มีแสงสว่างขึ้นมา ในตอนนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ “เฮ้ ศาสตราจารย์ ห้องทดลองของคุณงดงามจริงๆ!”
แซนเดอร์สพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าคุณชอบ จะเข้ามาที่นี่บ่อยๆ ก็ได้นะครับ แต่การอยู่ในนี้นานๆ ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แสงสว่างพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นสารเคมีเรืองแสง มีรังสีอยู่อย่างเบาบาง ส่งผลเสียต่อร่างกายมนุษย์”
บนพื้นมีสัญลักษณ์เรืองแสงอยู่ด้านบน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีแสงไฟ แต่การเดินไปเดินมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบาก
พูดเล่นกันเสร็จแล้ว ศาสตราจารย์สูงวัยก็พาเขาเดินมาที่ด้านหน้าโต๊ะทดลอง หลังจากนั้นก็กางผ้าสีดำผืนหนึ่งออก ผ้าสีดำคลุมตู้ปลาขนาดใหญ่เอาไว้ เมื่อผ้าสีดำถูกเปิดออก สปีชี่ส์ที่สวยงามเป็นอย่างยิ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินสือโอว
แมงกะพรุนไม่กี่ตัวพวกนี้ เปล่งลำแสงสีฟ้าอ่อนออกมาทั่วทั้งร่างกาย สาเหตุที่บอกว่าพวกมันเป็นสปีชี่ส์ที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง ก็เป็นเพราะว่าแสงบนตัวแมงกะพรุนไม่ได้เป็นเส้น แต่เป็นจุดๆ เป็นประกาย ลำแสงที่เป็นจุดๆ พวกนี้มีระดับความสว่างที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อแมงกะพรุนสะบัดตัว จุดพวกนี้ก็จะเคลื่อนไหววิบๆ วับๆ ตามไปด้วย เหมือนดาวสีฟ้าดวงน้อยๆ ที่กะพริบวิบๆ วับๆ
ฉินสือโอวไม่เคยเห็นแมงกะพรุนชนิดนี้มาก่อน เขาฟุบตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้าตู้ปลาพินิจพิเคราะห์ดูสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพวกนี้ด้วยความประหลาดใจ แล้วถามว่า “ศาสตราจารย์ครับ นี่คือสปีชี่ส์ที่คุณเพิ่งค้นพบใหม่…โอ้ ไม่ใช่สิ นี่คือแมงกะพรุนเวเลลลา?!”
หลังจากเห็นลักษณะของแมงกะพรุนอย่างชัดเจนแล้วเขาก็จำตัวตนที่แท้จริงของมันได้ ถึงอย่างไรหลายวันมานี้เขาก็สัมผัสกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพวกนี้อยู่ตลอด ตอนนี้สายการผลิตก็ยังอบแมงกะพรุนแต่ละล็อตออกมาอยู่เสมอๆ
แซนเดอร์สพยักหน้าแล้วพูดกับเขาว่า “ใช่แล้ว นี่คือแมงกะพรุนเวเลลลา”
“แล้วคุณตัดแต่งยีนเรืองแสงให้กับพวกมันเหรอครับ?” ฉินสือโอวลุกขึ้นถามเขา “ฮ่า เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สวยงามมาก เหมาะกับการนำมาทำเป็นแมงกะพรุนสวยงามมากๆ ใช่ไหมล่ะครับ?”
แซนเดอร์สส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ใช่ ผมไม่ได้ตัดแต่งยีนเรืองแสงให้กับพวกมัน ตอนที่ผมพบพวกมัน พวกมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ชัดเจนว่า นี่เป็นการแปรผันทางพันธุกรรม!”
ฉินสือโอวรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมา “คุณเจอพวกมันที่ไหนครับ? การแปรผันทางพันธุกรรมแบบนี้งดงามมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถสร้างสปีชี่ส์ที่สวยงามขนาดนี้ออกมาได้! พวกเราควรไปค้นหาจากในทะเลให้ดีๆ ถ้าพวกมันก่อตัวจนกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ แบบนั้นจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายบานปลายไปทั่วโลกอย่างแน่นอน!”
แมงกะพรุนเรืองแสงไม่ได้พบเห็นได้น้อยเลย ในน่านน้ำต่างๆ อย่างเช่นญี่ปุ่น จีน ฟิลิปปินส์ก็มีสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์นี้อาศัยอยู่ มันมีชื่อเรียกทางวิชาการว่าแมงกะพรุนไฟ เนื่องจากต่อมสืบพันธุ์มีโปรตีเอสเรืองแสง จึงทำให้พวกมันมีความสามารถให้การส่องแสงสว่างที่ยอดเยี่ยมมาก
แต่แมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีชนิดนี้แตกต่างกับพวกมัน แมงกะพรุนไฟมีความถี่ในการเรืองแสงที่เท่าๆ กัน ซึ่งจะส่องแสงสว่างอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่แมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรี กลับมีเซลล์เรืองแสงกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย โปรตีเอสเรืองแสงกระจายตัวกันออกไป เป็นจุดเล็กๆ วิบๆ วับๆ มีสีสันปนกันอย่างพิลึกพิลั่น งดงามยิ่งกว่า!
แซนเดอร์สใช้ผ้าสีดำคลุมตู้ปลาไว้ หลังจากเปิดไฟแล้วก็ค่อยพูดขึ้นมาว่า “เมื่อวานนี้ผมเจอพวกมันในบริเวณพื้นที่น้ำทะเลบริสุทธิ์ ตอนนั้นผมตกใจมาก นึกว่าฟาร์มปลาเจอแมงกะพรุนไฟบุก แต่หลังจากการศึกษาวิจัย ผลลัพธ์ที่ได้เห็นก็ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าเดิม!”
ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายลงไปในน้ำ หลายวันมานี้เขาทำการควบคุมตรวจวัดสภาวะการเปลี่ยนแปลงของแมงกะพรุนอยู่โดยตลอด แต่กลับไม่พบการดำรงอยู่ของแมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีเลย
แซนเดอร์สพูดต่ออีกว่า “ตอนนี้ผมไม่คิดว่าแมงกะพรุนชนิดนี้จะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ แต่คิดว่าพวกมันคงเป็นการกลายพันธุ์ในกลุ่มเล็กๆ สาเหตุยังไม่แน่ชัด ยังต้องทำการศึกษาวิจัยต่อ”
“การกลายพันธุ์กลุ่มใหม่พวกนี้ มีระดับความไวต่อแสงเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นหลอดไฟอินแคนเดสเซนต์ ก็สามารถเผาพวกมันจนทำให้บาดเจ็บได้ ดังนั้นนี่จึงสามารถกำหนดได้แล้วว่าพวกมันมีชีวิตอยู่ในทะเลลึกและตอนกลางเท่านั้น”
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนโฉบแฉลบลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ยังพบแมงกะพรุนบางส่วนอยู่อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้มีจำนวนไม่มากแล้ว ผ่านการจับอย่างมุ่งเป้าในช่วงหลายวันนี้ ในที่สุดฟาร์มปลาก็สามารถหลบเลี่ยงภัยพิบัติจากแมงกะพรุนได้แล้ว
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนรอดผ่านน่านน้ำทะเลผืนใหญ่ แต่ก็ไม่พบแมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีชนิดนี้ ตามที่แซนเดอร์สได้กล่าวไว้ หลังจากที่เขาเข้าไปใกล้กับฟาร์มปูดันเจเนสส์ ก็ได้เห็นแสงสว่างที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่ใต้ท้องทะเล แมงกะพรุนเวเลลลาฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่
เนื่องจากปัจจัยเรื่องเวลากลางวัน บริเวณน่านน้ำใกล้กันกับฟาร์มคือแถบชายฝั่งทะเล น้ำทะเลใสสะอาดเป็นพิเศษ แสงแดดสามารถส่องทะลุผ่านน้ำทะเลได้โดยตรง แมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีพวกนี้จึงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้
แมงกะพรุนเวเลลลาไม่มีสมองใหญ่ แต่พวกมันมีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งมาก สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพวกนี้บางคราวก็ซ่อนตัวอยู่ในเงาของแนวปะการัง บางครั้งก็เคลื่อนย้ายไปยังบริเวณทะเลลึก และยังมีบางส่วนที่ติดตามปลาใหญ่อยู่ข้างๆ อาศัยคลื่นที่เกิดจากการว่ายน้ำของปลาใหญ่ในการเคลื่อนที่ มีชีวิตอยู่ในเงาของพวกมัน
ฉินสือโอวเพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้กับแมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีพวกนี้ เจ้าตัวเล็กพวกนี้สวยงามเกินไปแล้ว เขาอยากทดลองดูว่าจะสามารถเพาะเลี้ยงพวกมันให้มีชีวิตรอดอยู่ในน่านน้ำบริเวณใกล้ฝั่งทะเลได้ไหม แบบนั้นเมื่อถึงตอนกลางคืน ฟาร์มปลาบริเวณริมชายฝั่งก็จะทอประกายแสงดาวระยิบระยับ ต้องงดงามจนดูไม่หวาดไม่ไหวแน่ๆ!
ถ้ามีแมงกะพรุนเวเลลลาอยู่เพียงเท่านี้ เขาก็ไม่กลัวว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นกับฟาร์มปลา ที่นี่มีเต่ามะเฟืองตั้งเป็นพันๆ ตัวเลยนะ นั่นสามารถควบคุมการดำรงชีวิตของแมงกะพรุนได้โดยเฉพาะเลย
หลังจากฉินสือโอวสังเกตดูสถานที่ที่มีแมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีกระจายตัวอยู่ เขาก็คาดการณ์ว่า “ศาสตราจารย์ แมงกะพรุนเวเลลลากับปูดันเจเนสส์อาจจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกันสักอย่างหรือเปล่าครับ? คุณบอกว่าแมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีที่พบ ต่างก็อาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆ พื้นที่น้ำบริสุทธิ์ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ? แล้วที่ตรงนั้นก็เป็นอาณาเขตของปูดันเจเนสส์อีกด้วย”
แมงกะพรุนเวเลลลาเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงเขตร้อน แต่ปูดันเจเนสส์เป็นสิ่งมีชีวิตในเขตหนาว ตามธรรมชาติแล้วทั้งสองฝ่ายไม่สามารถพบกันได้เลย ตอนนี้ได้พบกันแล้ว บางทีอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่างที่น่าแปลกประหลาดขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ได้
แซนเดอร์สกล่าวว่า “ผมก็คาดคะเนไว้อย่างนี้เหมือนกัน หลังจากนี้จะศึกษาวิจัยในแนวทางนี้ต่อ ตอนนี้ผมอยากเก็บรักษาสายพันธุ์นี้ไว้ ไม่ทราบว่าคุณจะอนุญาตไหม”
………………………………………………
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1147 แมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรี
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!