ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 470 หู่เป้าผู้กล้าหาญ

“โอคงโอเคอะไรกัน แกคิดว่าฉันไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษหรือไง?” มีชายวัยรุ่นอีกคนเบะปากพูดว่า “ต้าเป่า พูดภาษาอังกฤษเลย อย่าให้พวกมันดูถูกพวกเราได้!”
ชายวัยรุ่นสองคนข้างๆ ค่อนข้างมีเหตุผล ดึงตัวต้าเป่าแล้วพูดโน้มน้าวว่า “เอาน่าต้าเป่า กระต่ายตัวเดียวเอง นายไม่เคยกินหรือไง?”
ต้าเป่าผลักเพื่อนสองคนนั้นออกแล้วพยายามนึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ตัวเองเคยเรียนมา อืม มาคือ come ไปคือ go พยักหน้าคือ yes ส่ายหัวคือ no ให้ตายเถอะ คำพวกนี้ไม่มีประโยชน์นี่นา ดีที่เขาหัวไวนึกถึงหนังที่เขาดูขึ้นมา จึงตะโกนออกไปว่า “ฟัคยู!”
ถึงตอนนี้ความแตกต่างของวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศได้ถูกเผยออกมาแล้ว การรบกันจึงเปิดม่านขึ้นในทันที
สำหรับเชอร์ลี่ย์แล้ว สิ่งเดียวที่ยอมไม่ได้ก็คือคำด่าคำนี้นี่แหละ
สาวตาใสจ้องตาถมึงทึง ดวงตาโตคู่นั้นแดงก่ำขึ้นมาทันที ชี้นิ้วไปที่ต้าเป่าแล้วพูดออกมาทีละคำว่า “นายมันสารเลว! ฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้กับฉิน ถ้าหากอยู่ที่เกาะแฟร์เวลแล้วล่ะก็ ฉันจะต่อยเธอจนเธอต้องร้องเรียกแม่เลยล่ะ!”
หู่จือกับเป้าจือที่ตอนแรกนั่งมองอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นเชอร์ลี่ย์ชี้นิ้วไปชายวัยรุ่นแถมตายังแดงก่ำอีก เจ้าสองตัวนี้จึงตื่นตัวขึ้นมาทันที พวกมันลุกขึ้นมาแล้วก็พุ่งตัวเข้าไป และเริ่มเห่าขู่พวกวัยรุ่นกลุ่มนั้น “โฮ่งๆ!”
แลบราดอร์สองตัวนั้นเป็นเพียงหมาขนาดตัวโตปานกลาง ตัวยังใหญ่ได้ไม่ถึงครึ่งของเยอรมันเชเพิร์ดด้วยซ้ำ พวกวัยรุ่นแม้จะตกใจไปครู่หนึ่งแต่ก็ตั้งสติขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ตะโกนไปที่เยอรมันเชเพิร์ดของตัวเองว่า “หู่จือ ไป กัดมัน!”
ฉินสือโอวมักจะใช้สำเนียงภาษาบ้านเกิดเรียกชื่อ ‘หู่จือ’ อยู่บ่อยๆ ดังนั้นเมื่อได้ยินฝ่ายตรงข้ามเรียกชื่อตัวเองอย่างกะทันหัน หู่จือจึงเกิดอาการงุนงงไปชั่วครู่
แต่เยอรมันเชเพิร์ดตัวใหญ่ที่มีชื่อเดียวกันตัวนั้นกลับไม่งุนงงเลย มันจ้องเหยียดหยามไปที่เจ้าหมาตัวเล็กสองตัวหู่จือกับเป้าจือทีหนึ่ง แล้วก็อ้าปากกว้างของมันพุ่งเข้าไปกัดทันที
หู่จือที่ไม่ทันตั้งตัวจึงโดนชนจนล้มลง ตอนที่กลุ่มชายวัยรุ่นกำลังจะส่งเสียงร้องดีใจอยู่นั้น หู่จือที่นอนลงไปกับพื้นก็เตะขาทั้งสี่ออกไปอย่างแรง ทำเอาเยอรมันเชเพิร์ดตัวใหญ่ที่ทับตัวเองอยู่ถึงกับหายใจหอบออกมา
จากนั้น ทั้งหู่จือและเป้าจือก็ร่วมมือกันออกสู้ หู่จือโจมตีทางตรง ส่วนเป้าจือก็โจมตีด้านข้าง เจ้าสองตัวนี้นั้นเคยสู้กับหมูป่ากับหมาป่าอาร์กติกมาแล้ว ขนาดสัตว์ที่ช่ำชองด้านการต่อสู้อย่างหมาป่าอาร์กติกของนิวฟันด์แลนด์ยังเคยแพ้พวกมันมาแล้วเลย หมาบ้านอย่างเยอรมันเชเพิร์ดตัวนี้จะคณามือมันเหรอ?
ตอนนี้กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังจะส่งเสียงร้องเฮ เห็นเพียงหมาขนทองสองตัวที่กระโดดโจมตีอย่างเกรี้ยวกราดว่องไว พวกเขายังไม่ทันมองชัดเจนเลย ก็ได้ยินเสียงเยอรมันเชเพิร์ดของตัวเองที่โดนเตะจนหอบ จากนั้นก็ร้องเอ๋งๆ แล้วล้มลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากตอนแรกที่โดนโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวแล้ว หู่จือกับเป้าจือก็น็อคเอาท์ฝ่ายตรงข้ามทันที ด้วยความรวดเร็วและว่องไว
กลุ่มวัยรุ่นมองกันอ้าปากตาค้าง หู่จือกับเป้าจือหันตัวกลับไปจ้องเขม็งไปที่พวกเขา แยกเขี้ยวแล้วก็ร้องเห่าตามมาสองที
วัยรุ่นผอมสูงนั้นรีบวิ่งออกไปทันทีพร้อมตะโกนว่า “ให้ตายเถอะพวกเธอแน่จริงอย่าหนีนะ ฉันจะไปปล่อยหมาทั้งหมดออกมา!”
ในชนบทนั้นมักจะเลี้ยงหมาเพื่อเฝ้าดูสวนผลไม้ เลี้ยงทีก็หลายตัว และจะไม่ขังหมาไว้ด้วย เพราะรอบๆ สวนผลไม้นั้นจะใช้ตาข่ายเหล็กล้อมไว้ หมาวิ่งหนีออกไปไม่ได้อยู่แล้ว หากว่ามีคนถูกกัด นั่นก็เพราะอยากจะเข้ามาขโมยของในสวนผลไม้นั่นเอง ถึงโดนกัดก็สมควรโดนอยู่แล้ว
ชายวัยรุ่นวิ่งเข้าไปในสวนผลไม้หยิบชามเหล็กขึ้นมาแล้วก็เริ่มตีชามอย่างบ้าคลั่ง ตามมาด้วยเสียงหมาร้องดังสนั่น หมาหลายตัวส่งเสียงร้องแล้วพุ่งออกมาจากทุกมุมของสวนผลไม้
เมื่อเห็นแบบนี้ หู่จือกับเป้าจือจึงตั้งการ์ดทันที สองพี่น้องมองตากันทีหนึ่ง ไม่พูดพล่ามทำเพลงเลือกที่จะเป็นฝ่ายจู่โจมเข้าไปก่อน
ชายวัยรุ่นที่เรียกหมาของตัวเองออกมาได้ใจอย่างสุดขีด ความจริงเขาก็ไม่ใช่เด็กที่เลวร้ายอะไรหรอก แค่อยากสร้างเรื่องข่มขู่พวกเชอร์ลี่ย์เท่านั้น แต่พอเขาหันหลังเตรียมจะพูดเท่านั้น เงาสีทองสองตัวก็ได้พุ่งเข้ามาใกล้
หู่จือใช้หัวโหม่งไปที่ลำตัวของหมาอีกตัวจนหมาอีกตัวลอยลิ่วออกไป เมื่อขาแตะลงพื้นแล้วก็หันตัวมาเพิ่มความเร็วขึ้น พุ่งไปที่หมาตัวใหญ่ข้างๆ แล้วก็ฝังเขี้ยวลงไป
หมาตัวใหญ่ตัวนั้นก็หันตัวมาอยากจะกัดกลับเหมือนกัน แต่ว่าความเร็วของทั้งสองนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน มันเพิ่งจะหันตัวกลับมาเท่านั้นแต่ก็ไม่ทันเพราะไหล่ของมันได้ถูกกัดไปเสียแล้ว จึงเสียหลักแล้วล้มลงกับพื้น
ส่วนเป้าจือที่อยู่อีกทางนั้นหลังจากพุ่งตัวราวกับเสือออกไปได้ครึ่งทาง ก็กระโจนไปที่หมาอีกตัวแล้วอ้าปากกัดไปที่คอของมันจนมีบาดแผล หมาที่อยู่ข้างๆ พุ่งเข้ามาหามัน แต่เป้าจือที่ขาหน้ากำลังกดหมาอีกตัวอยู่บนพื้นก็ได้ดีดขาหลังออกไป เตะโดนไปที่หน้าของหมาที่แอบลอบกัดมันอย่างจัง เตะจนหมาตัวนั้นร้องออกมาด้วยเสียงเจ็บปวด เพราะปากของมันได้เบี้ยวผิดรูปไปแล้ว
ยังเหลือหมาอีกหนึ่งตัว เจ้าตัวนี้ค่อนข้างฉลาด เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีแถมในชามข้าวก็ไม่มีของกินอีก จึงตัดสินใจหันหัวหนีไปแทน
สุดท้ายเหลือไว้ก็แต่ชายวัยรุ่นผอมสูงต้าเป่าที่ยืนอึ้งอยู่ตรงกลาง เขามองไปที่หมาห้าตัวของบ้านตัวเองที่โดนจัดการราบคาบ แล้วก็มองไปที่หู่จือกับเป้าจือที่ยืนแยกเขี้ยวใส่เขาอยู่ ก็ตกใจจนถึงกับร้องไห้แงๆ ขึ้นมา
พวกเชอร์ลี่ย์รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องเข้าให้แล้ว กระต่ายก็ไม่เอาแล้ว รีบเรียกหู่จือกับเป้าจือกลับมาแล้ววิ่งกลับบ้านไป เป้าจือวิ่งไปได้สองร้อยเมตร หยุดคิดสักพักแล้วก็วกกลับไปที่เดิม คาบกระต่ายขึ้นมาแล้วรีบวิ่งจากไป
ส่วนวัยรุ่นที่เหลืออยู่ก็ตะลึงกันจนปากค้าง มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “โอ้โหให้ตายเถอะ นี่มันหมาหรือเสือกันแน่เนี่ย? ทำไมเก่งขนาดนี้? ต้าเป่า นายไม่ต้องร้องแล้ว นายเคยบอกว่าหมาบ้านนายเป็นพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์หรืออะไรนี่แหละไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงสู้กับตัวขนทองสองตัวไม่ได้ล่ะ?”
 “ใช่ๆ เขาบอกว่าเป็นพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์จริงๆ เห็นบอกว่าทิเบตันหนึ่งตัวสู้เสือได้ ทิเบตันสามตัวจมเรือบรรทุกอากาศยานได้ ทิเบตันห้าตัวเอาชนะพระเจ้าได้ ส่วนทิเบตันสิบตัวสามารถสร้างโลกใหม่ได้…”
 “ฮือๆๆๆ พวกแกมันสารเลว ฉันจะไปหาฮือๆ หาพ่อของฉัน ฮือๆ พวกมันรอก่อนเถอะ ไอ้พวกฝรั่งพวกนั้นฮือๆๆๆ…”
ฉินสือโอวกำลังคุยอยู่กับพ่อแม่อย่างมีความสุข พวกเด็กๆ ก็วิ่งกรูกันเข้ามา กลับถึงบ้านพวกเขาก็แอบเข้าไปในห้องนอนกันทันที เชอร์ลี่ย์ฉลาดมาก รู้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องไปหาวินนี่ก่อน
วินนี่นั้นเป็นคนที่ละเอียดมากกว่าฉินสือโอวมาก เมื่อเห็นเด็กๆ วิ่งหน้าตื่นเข้ามาบวกกับเห็นรอยเลือดบนคอของหู่จือแล้วก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เธอจึงพูดปลอบใจพวกเด็กๆ ก่อน จากนั้นค่อยไปเช็กอาการหู่จือ สุดท้ายจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อได้รู้ว่าเป็นเพียงแค่หมาทะเลาะกัน วินนี่จึงวางใจขึ้นมา เธอออกไปหาแอลกอฮอล์มาทำแผลให้หู่จือ แล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดออกมา
พ่อของฉินสือโอวที่พอได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วก็พูดว่า “สวนผลไม้ข้างหลังที่เลี้ยงหมาเยอะๆ ก็คงเป็นของเหวินซูนั่นแหละ คงไม่มีเรื่องอะไรหรอกมั้ง? บ้านเขาเลี้ยงหมาใหญ่ไว้ตั้งหกเจ็ดตัว หมาเล็กบ้านเราไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
ฉินสือโอวยิ้มขื่นๆ คุณพ่อไม่รู้ถึงพลังการต่อสู้ของหู่จือและเป้าจือ นี่น่ะเป็นหมานักต่อสู้ตัวจริงที่เคยสู้กับหมาป่าอาร์กติกมาแล้วนะ แถมตอนนั้นยังสู้กับหมาป่าอาร์กติกถึงสองตัวในทีเดียวด้วย
นอกจากครั้งนั้นที่สู้กับหมาป่าอาร์กติกแล้ว หู่จือยังไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนเลย ครั้งนี้ถูกกัดคอเข้า มันจึงโกรธมาก หลังวิ่งกลับมาแล้วก็นั่งลงสักพัก ร้องเห่าไปที่ฉงต้าสองที แล้วก็วิ่งเลียบกำแพงออกประตูไปเลย
ฉงต้าสูดจมูกเสียงดังฟืดๆ ลุกขึ้นพาตัวอวบอ้วนของมันเดินออกไปข้างนอก แต่เพราะตัวใหญ่เกิน จึงถูกฉินสือโอวสังเกตเห็นทันที แล้วตะโกนว่า “ฉงต้า กลับมานี่ พวกแกจะไปไหนกัน?!”
ฉงต้านั้นขี้เกียจเข้าขั้น พอฉินสือโอวตะโกนเรียก เมื่อมันเห็นว่าหมดโอกาสไปช่วยแก้แค้นให้เพื่อนแล้ว จึงตัดสินใจล้มตัวลงที่สวน นอนอาบแดดแทน!
หู่จือกับเป้าจือวิ่งกลับมาอย่างหัวเสีย ตอนวิ่งผ่านฉงต้าก็ทำหน้าไม่พอใจใส่เหมือนจะสื่อว่า เรื่องคุยโวล่ะเก่งนัก พอถึงเวลาคับขันกลับหายหัวซะงั้น
ตอนกินมื้อเที่ยงกันอยู่ เหวินซูก็มาหาที่บ้าน บ้านที่มีเด็กต่างชาติอยู่ก็มีแค่บ้านฉินสือโอวบ้านเดียว หาได้ง่ายมาก
พ่อของฉินสือโอวเชิญให้เหวินซูนั่งลงกินข้าวด้วยกัน เหวินซูยิ้มขื่นๆ แล้วพูดว่า “คุณอาครับ ผมจะมากินข้าวบ้านคุณทำไม ไปบ้านผมเถอะ บ้านผมมีหมาถูกกัดตายไปสองตัว เราไปกินเนื้อหมากันเลยทีเดียวดีกว่า”
พ่อของฉินสือโอวตกใจตาโต ถามว่า “อะไรนะ หมาบ้านนายตายไปสองตัวเหรอ? คงไม่ได้ถูกหมาสองตัวของบ้านเรากัดตายใช่ไหม? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
หมู่บ้านตระกูลฉินเป็นหมู่บ้านตามชนบททั่วไป พวกญาติสนิทมิตรสหายนั้นแค่แหงนหน้าก็ได้เจอแล้ว คนส่วนมากต่างก็เป็นญาติสนิทกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกคณะกรรมการหมู่บ้านจะมีการฉ้อโกงกันบ้าง แต่เรื่องการกลั่นแกล้งเพื่อนบ้านนั้นไม่มีแน่นอน เหวินซูมาหาถึงบ้านก็ไม่ได้จะมาหาเรื่องอะไร แค่มาเพื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ฉินสือโอวรู้ว่าอีกฝ่ายมาหาที่บ้านเพราะอยากจะขอค่าเสียหาย เขาจึงพาเหวินซูเข้าไปในห้องนอน ดีที่ในกระเป๋ามีเงินสดอยู่บ้าง เขาหยิบเงินออกมาสองปึกยื่นให้กับเหวินซู แล้วพูดว่า “เงินสองหมื่นนี้ถือว่าเป็นเงินชดเชยให้หมาสองตัวของคุณแล้วกันนะ คุณคิดว่ามันพอไหมครับ? หากไม่พอก็บอกนะครับ”
เหวินซูรับเงินอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “พอแล้วล่ะ พวกนายกินข้าวเถอะ ฉันกลับบ้านไปสั่งสอนลูกฉันก่อน”
…………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset