ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 468 เห่าเหมือนหมา

หลังจากนั้นฉินสือโอวก็แนะนำฉินเผิงให้รู้จักวินนี่และเออร์บัก เห็นวินนี่ที่ดูสง่า ฉินเผิงก็เก็บใบหน้ายิ้มแย้มไร้สาระก่อนจะจับมือเธออย่างเกรงใจ แล้วยังโม้เรื่องฉินสือโอวใหญ่ แน่นอนว่าที่โม้ก็คือตอนเขาเด็กๆ แกล้งตัวเขาไว้อย่างไร
ฉินสือโอวเปิดกล่องกระดาษใบใหญ่ที่ทางสนามบินจัดเตรียมไว้ ฉงต้ากับหู่จือ เป้าจือได้เห็นแสงอาทิตย์เสียที ครั้งนี้แม้แต่ฉงต้าก็อึดอัดแทบแย่ พอเห็นแสงแดดก็ร้องดีใจ
วินนี่รีบดึงฉงต้าไว้ คอยปลอบคอยโอ๋ส่งมันขึ้นหลังกระบะ หู่จือกับเป้าจือเชื่อฟังดี ฉินสือโอวผิวปาก เจ้าสองตัวก็ส่ายหางไปนั่งข้างเขา
ฉินเผิงมองดูอย่างอึ้งๆ นานสองนานกว่าจะเรียกสติคืนมาได้ “เฮ้ยๆๆ นี่กลับบ้านมาฉลองปีใหม่หรือทำอะไรเนี่ย? ทำไมเอาหมามาด้วย? ที่เข้าไปเมื่อกี้คืออะไร? นั่นมันหมาอะไร ฉันไม่เคยเห็น”
“นั่นไม่ใช่หมา เป็นหมี ลูกหมีสีน้ำตาลค่ะ” เชอร์ลี่ย์อธิบายด้วยภาษาจีนที่ไม่ถือว่าชัดมากนัก
ฉินเผิงอึ้งแบบสุดๆ พี่เขยก่อนหน้านี้ก็เคยเจอ ในสายฉินสือโอวก็บอกแล้ว เขาเตรียมใจไว้แล้ว
รถสองคันขับตามกันไปตามทางกลับบ้าน อากาศไม่ค่อยดีแต่สภาพถนนไม่เลว ครึ่งชั่วโมงให้หลังลงจากทางด่วนก็เป็นเมืองเล็ก ขับต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านแล้ว
สภาพอากาศอึมครึมตลอดเลยดูไม่ออกว่ากี่โมง ฉินสือโอวมองดูประตูเหล็กสีเขียวอันคุ้นเคยก็อุทานในใจ ถึงบ้านแล้ว!
ทีนี้ก็ปล่อยหู่จือกับเป้าจือได้แล้ว เขาเปิดประตูรถแล้วพยักหน้าให้พวกมัน เจ้าสองตัวเริ่มทำท่าดีใจ วิ่งพุ่งออกไปราวกับลูกธนูสองดอก ฉินเผิงอึ้งไปอีกรอบ “โห หมาบ้านแกแกร่งจัง!”
พ่อฉินกับแม่ฉินได้ยินเสียงรถก็สวมรองเท้าแตะวิ่งออกมา เห็นเงาร่างของลูกชาย พ่อฉินฉีกยิ้มในทันที แม่ฉินเข้ามาต้อนรับวินนี่พลางถามไถ่ไม่ขาดปาก “วินนี่ เดินทางเหนื่อยไหม? ที่บ้านหนาวไหม? หิวไหม? อยากกินน้ำไหม?”
“พ่อ แม่ หนูสบายดีค่ะ” วินนี่ตอบด้วยรอยยิ้มบาง
พ่อฉินกับแม่ฉินอึ้งไปก่อนจะออกอาการดีใจทั้งคู่แล้วเปลี่ยนไปเรียก ‘ลูกสาว’ ทันที
วินนี่หันกลับไปกะพริบตาให้ฉินสือโอว ฉินสือโอวยกนิ้วโป้งให้เธอ ที่รักเธอเก่งจริงๆ
ฉินเผิงช่วยขนของเป็นกองลงมา ฉินสือโอวกับเบิร์ดต่างยุ่งวุ่นวาย ครั้งนี้อย่างกับย้ายบ้านเลยจริงๆ ห่อเล็กห่อใหญ่นับไม่ถ้วน แค่เหล้ากับบุหรี่ก็สองลังใหญ่แล้ว
พ่อฉินเข้ามาช่วย เก็บของไปก็แอบถามไปด้วย “ลูกกับวินนี่จดทะเบียนกันแล้วเหรอ?”
ฉินสือโอวตอบ “ยัง แต่…”
“งั้นมีลูกหรือยัง?”
“พ่อ คิดอะไรกันเนี่ย ผมกับวินนี่บริสุทธิ์นะ…”
“คิดจะหลอกใครเนี่ย? พ่อแกอย่างน้อยก็อาบน้ำร้อนมาก่อน ช่างเถอะไม่พูดแล้ว แกมีความสามารถจะทำเรื่องยุ่ง เรื่องดีๆ ทำไมจะทำไม่ได้”
พ่อฉินเก็บของไป จู่ๆ ก็กะละมังเหล็กสองสามอันก็ร่วงจากลังลงมาบนพื้น อันเล็กอันใหญ่กระเด็นกระดอนส่งเสียงเพล้ง
“กลับบ้านจะเอากะละมังมาทำไม?” แม่ฉินที่กำลังดึงมือวินนี่ถามสารทุกข์สุกดิบถามขึ้น
วินนี่เองก็ทำหน้าสงสัยแล้วมองไปทางฉินสือโอว “คุณเอาชามข้าวมาให้เด็กๆ เหรอ?”
ฉินสือโอวงงยิ่งกว่าใคร พวกนี้คือชามข้าวของหู้เป้าฉงและเด็กๆ ทั้งสี่ แต่เขาไม่ได้เอามานี่นา
เห็นชามของตัวเองตกลงมา หู่จือกับเป้าจือที่กำลังวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังก็พุ่งกลับมาอ้าปากคาบชามแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน
ฉงต้าก็ตามหลังมา คาบชามของตัวเองไว้แล้วนั่งอยู่ข้างๆ ปอหลัวก็เข้ามาคาบชามที่เหลือเงียบๆ ตาสีดำจ้องมอง เอียงหัวมองฉินสือโอวแล้วเริ่มทำหน้าตาน่ารัก
“พวกนั้นแอบยัดเข้าไปเองตอนไหน?” ฉินสือโอวงง
พี่เขยพูดพลางหัวเราะ “ที่บ้านเลี้ยงอะไรเนี่ย แต่ละตัวฉลาดเกินสัตว์”
ฉินเผิงอับจนคำพูด สิ่งที่พบที่เห็นในวันนี้ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อสัตว์ใหม่เสียแล้ว
ของเก็บเกือบจะเสร็จแล้ว ฉินเผิงเตรียมยกลังใหญ่ลังหนึ่ง ฉินสือโอวห้ามแล้วพูดว่า “อันนั้นฉันเตรียมไว้ให้หลานสาว นมผงเอ็นฟามิล ของแท้จากอเมริการัฐมอนตานา ฉันขอให้เพื่อนที่อเมริกาช่วยซื้อให้ ของแท้แน่นอน”
นมผงเอ็นฟามิลเป็นหนึ่งในสิบยี่ห้อนมผงรายใหญ่ของโลก บริษัทก็เป็นบริษัทใหญ่ห้าร้อยอันดับแรก มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกา แบรนด์มีอายุร้อยปี โดยเฉพาะนมผงที่ผลิตโดยรัฐมอนตานา มีชื่อมากๆ
“ไอ้บ้า ห้ามเรียกหลานสาว ต้องหลานสาวคนโต!” ฉินเผิงยิ้มพลางแซวฉินสือโอว สุดท้ายจึงพูดขึ้น “ขอบใจนะ ไม่พูดมาก เดี๋ยวไปกินเหล้าบ้านฉัน ไส้ เนื้อตุ๋น ผักดอง อาหารผัด ที่ควรมีก็มีหมด”
กลับมาถึงบ้าน พ่อฉินกับแม่ฉินเตรียมกับข้าวไว้เต็มโต๊ะ นอกจากกับข้าวพื้นเมืองทางเหนือยังมีอาหารตะวันตกทั่วไปอย่างพวกสเต๊กเนื้อ เนื้อตุ๋น ไก่ทอด
ฮุยฮุยที่ออกไปเล่นข้างนอกโดนพี่สาวฉินจูงกลับมา ในมือเธอยังจูงหมาสีดำชื่อเกี๊ยวซ่า ดูท่าเกี๊ยวซ่าจะโดนตามใจกับเสี่ยวฮุยสองคนจนชิน หลังจากที่กลับมาก็เชิดหน้าชูคอ ดูเหนือว่าทุกคน
ปรากฏว่าพอเข้าประตู เกี๊ยวซ่าก็ทำจมูกฟุดฟิดแล้วพองขน หมาป่าขาวเสี่ยวหลัวปอกระโดดโลดเต้นวิ่งเข้ามา
หมาป่าก็คือหมาป่า ไม่ว่าจะอาบน้ำให้มันอย่างไร บนตัวก็ยังมีกลิ่นหมาป่า
เกี๊ยวซ่าได้กลิ่นนั้น ในใจก็เลยเกิดเครียด แต่พอมันเห็นเสี่ยวหลัวปอตัวแค่นั้นก็ไม่ใส่ใจ อ้าปากคำรามออกมา “โฮ่งๆๆ…”
หู่จือกับเป้าจือที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องพอได้ยินเสียงของพวกเดียวกันก็หูตั้ง ทั้งสองตัวพุ่งออกไปตามกัน ทางเกี๊ยวซ่าที่กำลังขู่หมาป่าขาวตัวน้อยจู่ๆ ก็รู้สึกว่าแปลกขึ้นมา มันกะพริบตา หมาดุสองตัวที่ตัวใหญ่กว่ามันมากก็โผล่มาอย่างไม่ประสงค์ดี
บนตัวของหู่จือกับหู่จือมีออร่าผู้แข็งแกร่งในหมู่หมา เจอกับหมาตัวเล็กเกือบครึ่งหนึ่งก็ไม่ได้สนใจจะทำอะไร แค่มองเย็นชาปกป้องหมาป่าน้อยก็พอ
เสี่ยวหลัวปอเห็นหูจือกับเป้าจือปรากฏตัวก็รีบไปยืนด้วยแล้วเห่าใส่เกี๊ยวซ่าเป็นบ้าเป็นหลัง “อะอู้ว…โฮ่ง! อะอู้วๆๆ!”
หลังจากนั้นฉงต้าก็ได้ยินเสียงเห่าของทั้งสามก็ตื่นเต้นขึ้นมา มันเอาชามข้าวซ่อนไว้ใต้โต๊ะแล้วเดินเข้ามาพร้อมด้วยไขมันทั้งตัว กะพริบตาเล็กๆ มองเกี๊ยวซ่าด้วยความสนใจ
คราวนี้ถึงตาเกี๊ยวซ่าร้องเสียงหลงบ้างแล้ว แม้ว่ามันจะไม่เคยเจอหมีสีน้ำตาล แต่นี่ก็ไม่ขวางความเกรงกลัวที่มีต่อของราชาแห่งป่า มันวิ่งหางหดไปแอบหลังเสี่ยวฮุยทันที
พอเสี่ยวฮุยเห็นเพื่อนเล่นดีๆ อย่างฉงต้าก็ลากเกี๊ยวซ่าวิ่งไปข้างๆ ฉงต้าแล้วจั๊กจี้มัน
ฉงต้าครางด้วยความสบาย และสองเสียงนั้นที่ทำเอาเกี๊ยวซ่ากลัวหัวหด
พ่อฉินแม่ฉินให้ฉินสือโอวพาพวกตัวเล็กไปกินข้าว เห็นเจ้าตัวเล็กหลัวปอ แม่ฉินก็นั่งยองลงแล้วดึงหัวเล็กๆ ของมันก่อนพูดขึ้น “นี่ ไปหาหมาสีขาวมาเลี้ยงจากที่ไหน? สีขาวทั้งตัวเลย หายากนะ”
บอกความจริงเรื่องของหลัวปอที่บ้านไปก็ไม่เป็นไร ฉินสือโอวจึงพูดขึ้น “แม่ หมาอะไร นี่หมาป่า! หมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์!”
เสี่ยวหลัวปอเหมือนจะเข้าใจว่าถึงเวลาตัดสินตำแหน่งในบ้านแล้ว มันรีบถอยหลังไปสองก้าวแล้วยืดคอ เงยหน้ายืดอกแขม่วพุงส่ายก้นแล้วตะเบ็งเสียง “อะอู้ว…อู้วๆๆ โฮ่งๆ!”
ฉินสือโอวนิ่งอึ้งไป “จะบ้าตาย วินนี่ ใครสอนมันเห่าเหมือนหมากัน?”
หู่จือกับเป้าจือวิ่งมาอย่างโอ้อวด ส่ายหัวส่ายหางเอาความดีความชอบ นอกจากเจ้าสองตัวนี้แล้วยังจะมีใครอีก?
…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset