ทานมื้อเที่ยงรสเผ็ดจนต้องซี๊ดปากอย่างเอร็ดอร่อย ฉินสือโอวกับวินนี่ทานอาหารอย่างเผ็ดแสบและมีความสุข หลิวชิงไม่ได้ทำอาหารจีนสไตล์ฝรั่งมาให้ทั้งสองคนทาน ใช้วิธีทำแบบอาหารจีนหูหนานแท้ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แบบที่เรียกว่าเซียงล่า (เผ็ดร้อน) นั่นเอง
ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้วพักผ่อนสักครู่ เอี๋ยนตงเหล่ยก็ให้หลิวชิงพาพวกเขาไปที่หอประชุมกัปตันเจมส์ คุก
หอประชุมแห่งนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกบนโกร์ ฮิลล์ กินพื้นที่ราวๆ ห้าหกพันตารางเมตร มีพื้นที่สีเขียวที่ดีมาก บริเวณรอบๆ อาคารเขียวชอุ่มไปด้วยไม้จำพวกต้นสพรูส เมเปิลแดง เป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวามาก
ทางฝั่งตะวันตกของหอประชุม ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของคอร์เนอร์ บรูค แหล่งประวัติศาสตร์แห่งชาติกัปตันเจมส์ คุก นั่นเอง ถ้าเดินตรงไปก็จะเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ตั้งสูงตระหง่าน เมื่อยืนอยู่ด้านหน้าประตูของหอประชุมก็จะมองเห็นความงดงามจากทิวทัศน์ของหุบเขา
ตอนที่ฉินสือโอวและคนอื่นๆ มาถึง สนามหน้าหอประชุมก็มีรถหรูหลายคันที่มาจอดอยู่ก่อนแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู 760 เมอร์เซเดสเบนซ์ เอสคลาส ออดี้อาร์ 8 มาเซราติควอทโทรปอร์เต้ พอร์ช คาเยนน์ต่างๆ รถคาดิลแลควันอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับโฟลคสวาเก้นที่ดูบ้านๆ เท่านั้น
“คนประเทศเรานี่ร่ำรวยกันจริงๆ” ฉินสือโอวมองบีเอ็มดับเบิลยูที่อยู่ทางซ้ายกับรถพอร์ชที่อยู่ทางขวาแล้วพูดอย่างทอดถอนใจ
หลิวชิงที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเพราะรถที่แคนาดาราคาถูก อีกทั้งยิ่งเป็นรถหรู ระดับความกว้างของราคาก็ยิ่งถูกกว่ารถที่จีน เพราะงั้นพอคนชาติเรามาอยู่ที่แคนาดา เลยพากันเริ่มซื้อรถหรู ยังไงรถที่ขับตอนอยู่ที่จีนก็แพงยิ่งกว่านี้ แถมยังไม่ได้หรูขนาดนี้อีกต่างหาก”
พอลงจากรถ ฉินสือโอวก็เห็นผู้คนบางตากำลังจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ บรรยากาศตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกับงานเลี้ยงทั่วไป เพียงแต่ว่าทุกคนต่างก็สวมชุดที่เป็นทางการกว่าเดิม
ในตอนแรกเขาคิดไว้ว่าจะได้เห็นประตูที่แขวนป้ายตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางหรือไม่ก็ภาพของคนที่มาตะโกนต่อต้านญี่ปุ่นเพื่อช่วยเหลือจีน แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น นี่ทำให้คนหนุ่มผู้เกรี้ยวโกรธอย่างเขารู้สึกเสียดายนิดหน่อย
หลังจากหลิวชิงลงมาจากรถแล้วก็มีคนเข้ามาทักทายเขา ฉินสือโอวไม่รู้จักใครเลยสักคน ทว่าคนพวกนี้ก็เป็นมิตรมาก หลังจากที่เขากับวินนี่ลงมาจากรถก็พากันเข้ามาพูดคุยกับพวกเขา จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ผลัดกันแนะนำตัว
คุยกับคนเหล่านี้อยู่สักพัก ฉินสือโอวก็พูดกับหลิวชิงว่า “เพื่อนร่วมชาติของพวกเราอบอุ่นจังเลยนะ ผมเคยคิดว่าถ้าคนแปลกหน้าอย่างผมมาก็น่าจะถูกกีดกัน”
หลิวชิงเป็นผู้ชายหูหนานที่พูดอย่างตรงไปตรงมา เขาบอกกับฉินสือโอวว่า “จะเป็นไปได้ยังไง หัวหน้าสมาคมเอี๋ยนเป็นคนไปรับนายด้วยตัวเอง ทั้งยังไปกินข้าวด้วยกันอีกต่างหาก แค่นี้พวกเขาก็รู้แล้วว่านายต้องสุดยอดมาก ไม่มีทางที่จะไม่สนใจนายหรอก”
ฉินสือโอวแอบเช็ดเหงื่อเย็นๆ อยู่ในใจ ทักษะการสังเกตผู้คนของชาวจีน น่าจะจัดอยู่ในแนวหน้าของระดับนานาชาติแล้วล่ะ
ถึงเวลาบ่ายหนึ่ง คนกลุ่มนี้ก็พากันทยอยเข้าไปในงาน เริ่มรายการแรกของงานชุมนุม
การประชุมครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับฉินสือโอวสักเท่าไรนัก กล่าวแนะนำสมาคมช่วยเหลือคนแคนาดาเชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเลในแคนาดาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นใจความสำคัญก็คือการบรรยายการพัฒนาด้านศึกษา เศรษฐกิจ การเมืองและด้านอื่นๆ ของชาวจีนในพื้นที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ ในตอนท้ายก็เปิดเผยรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของกองทุนช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา
กองทุนร่วมกันช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแห่งนี้ ก็คือแม่งานที่เป็นผู้จัดสรรเงินทั้งหมดที่จะได้จากการประมูลในค่ำคืนนี้ เงินรายรับและรายจ่ายทั้งหมดล้วนแต่มีความชัดเจน ทุกคนในสมาคมสามารถสอบถามจากผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเงินได้ จำนวนเงินแปลเป็นหยวนอย่างละเอียด ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์อย่างการคอร์รัปชันหรือโยกย้ายเงินแน่ๆ
ฉินสือโอวไม่สนใจเรื่องงานประชุมมาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากเรียนจบแล้วเขาก็ถูกการประชุมน้อยใหญ่ในบริษัทน้ำมันแห่งชาติของจีนและทรมานอยู่สี่ปี ดังนั้นในการประชุมครั้งนี้เขาจึงถือโทรศัพท์คุยแชทในคิวคิว กับเพื่อนร่วมชั้นในจีนอย่างมีความสุขจนออกนอกหน้าแทน
ที่จีนตอนนี้เป็นเวลาเกือบย่ำรุ่งแล้ว ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นมนุษย์กลางคืนด้วยกันทั้งนั้น พอฉินสือโอวออนไลน์ กลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังแอบซุ่มอยู่ก็พากันปรากฏตัวขึ้นมา
เหมาเหว่ยหลงต่อว่าเขาจนหัวแทบหมุน ด่าแรงจนใจเขาเดาะแล้ว ฉินสือโอวส่งอีโมจิรูปโมโหไปติดๆ กันหลายอัน ถามเหมาเหว่ยหลงว่าใครเป็นคนเอาเรื่องของเขาไปโพสต์ในเวยป๋อ
พอพูดถึงเวยป๋อ เพื่อนร่วมชั้นหลายคนก็พากันยุให้เขาสมัครเวยป๋อ ไม่แน่ว่าเล่นไปได้ไม่นานก็อาจจะกลายเป็นเน็ตไอดอลก็ได้
ฉินสือโอวไม่รู้สึกสนใจ จุดมุ่งหมายของเขาคือการได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เป็นเน็ตไอดอล เป็นเศรษฐีขี้อวด เป็นคนมีชื่อเสียง ล้วนแต่ไม่อยู่ในความสนใจของชีวิตเขาทั้งสิ้น
หลังเที่ยงคืนฉินเผิงก็ออนไลน์ แล้วถามกับเขาว่า “เสี่ยวโอว ปู่บอกว่าอาทิตย์หน้าแกจะกลับมาที่นี่เหรอ?”
‘ปู่’ ที่ฉินเผิงพูดถึง ก็คือพ่อของฉินสือโอวนั่นเอง พวกเขาอาวุโสกว่า ถึงแม้ว่าฉินเผิงจะอายุเท่าๆ กันกับฉินสือโอว แต่ถ้านับตามความอาวุโสก็ต้องเรียกเขาว่าอาเรียกพ่อของฉินสือโอวว่าปู่
ฉินสือโอวตอบ “ประมาณนั้นแหละ กลับไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ ตอนนี้แกเป็นยังไงบ้าง? ทำไมดึกขนาดนี้แล้วยังออนไลน์อยู่อีก?”
ฉินเผิงส่งอีโมจิยิ้มซื่อๆ แล้วตอบกลับมาว่า “เมียฉันกำลังจะคลอดวันสองวันนี้ ฉันกลัวตกดึกจะเกิดเรื่องขึ้น ก็เลยงีบหลับตอนกลางวัน ตอนกลางคืนจะได้ตาสว่างน่ะ”
ฉินสือโอวถอนหายใจ “โอ้โห นี่ฉันกำลังจะกลายเป็นคุณปู่แล้วเหรอ? ให้ตายสิไอ้หยา วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนสายน้ำเลยไอ้น้อง ตอนนี้ฉันยังจำเรื่องตอนเด็กที่เราพากันแก้ผ้าลงไปจับปลาในแม่น้ำไป๋หลงได้อยู่เลย”
ฉินเผิงส่งอีโมจิพูดไม่ออกแล้วพิมพ์ตอบกลับมาว่า “ดูแกเรียกตัวเองสิ แบ่งลำดับญาติมั่วหมดแล้วโว้ย อีกอย่าง ลูกของพวกฉันจะเรียกแกว่าปู่ไม่ได้ ต้องนับตามลำดับอาวุโสของพ่อแม่แก ถ้านับแบบแกเขาเรียกว่านับตามความรู้สึกโว้ย”
ในตอนท้ายทั้งสองคนเถียงกันเอาเป็นเอาตาย ฉินสือโอวก็ไม่รู้ว่าประชุมเรื่องอะไรบ้างแล้ว รู้แค่ว่าตอนแบตเตอรี่โทรศัพท์ใกล้จะหมดงานปาร์ตี้น้ำชาก็เริ่มขึ้นแล้ว
ปาร์ตี้น้ำชาย้ายสถานที่จัดงานอีกรอบ ไปที่ห้องโถงเล็กห้องหนึ่งของโรงแรมวินสตัน วูดเดน โบ๊ท ภายในจัดเตรียมกาแฟ น้ำผลไม้ ชา น้ำแร่และเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ไว้แล้ว นอกจากนี้ยังมีผลไม้ เค้ก คุกกี้กับขนมขบเคี้ยวไว้อย่างพร้อมสรรพ รูปแบบงานก็เหมือนกับการดื่มน้ำชายามบ่าย
ฉินสือโอวถูกเอี๋ยนตงเหล่ยดึงตัวไปด้วย เขาช่วยแนะนำคนบางส่วนให้ได้รู้จัก “ท่านนี้คือคุณยะซึโอะ อิโนอุเอะ หัวหน้าวิศวกรเครื่องกลของโรงงานกระดาษขนาดใหญ่ ท่านนี้คือคุณโคตะ คานายะ เจ้าของร้านอาหารอากิโนะกาวะ…”
ได้ยินเขาแนะนำแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทำไมถึงมีคนญี่ปุ่นด้วยล่ะ? แต่ว่าเวลานี้คงไม่เหมาะที่จะถามออกไป เขาจึงยิ้มประจบพร้อมทั้งจับมือและแลกนามบัตรกับพวกเขาแต่ละคน
ยะซึโอะ อิโนอุเอะเป็นชายหัวล้านวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ตอนเอี๋ยนตงเหล่ยแนะนำเขาก็โค้งคำนับกว่าเก้าสิบองศา หลังจากนั้นทั้งสองก็จับมือแสดงความเคารพและแลกนามบัตรกัน
ทางฉินสือโอวก็ทำอะไรไม่ได้ จึงโค้งตัวคำนับต่ำเพื่อทำความเคารพกลับไปเช่นกัน ต่อมาชาวญี่ปุ่นก็ยังโค้งคำนับต่อ เขาจึงต้องคำนับตัวไปเรื่อยๆ จนดูเหมือนเขามาร่วมงานศพของผู้นำอย่างไรอย่างนั้น
ต่อมาพอเช็กดูนามบัตรของผู้คนเหล่านี้ ฉินสือโอวเห็นนามบัตรของยะซึโอะ อิโนอุเอะที่เขียนไว้ว่าช่างกล ‘โรงงานกระดาษขนาดใหญ่’ ถึงเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้คำว่าโรงงานกระดาษใหญ่ไม่ใช่ชื่อรอง แต่เป็นชื่อของมันจริงๆ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่โรงงานผลิตกระดาษขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ และมีกิจการครอบคลุมทั่วโลก
หลังจากแนะนำเสร็จแล้ว เอี๋ยนตงเหล่ยก็พูดเสียงเบาด้วยความเอาใจใส่เพื่อถามเขาว่า “สงสัยใช่ไหมว่าทำไมงานชุมนุมวันรำลึกกรณี 18 กันยายนถึงได้มีคนญี่ปุ่นอยู่ด้วย?”
ฉินสือโอวก็พูดเสียงเบากลับไปว่า “พวกนี้เป็นคนญี่ปุ่นที่ฝักใฝ่จีนเหรอ?”
เอี๋ยนตงเหล่ยพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ฉลาดจริงๆ ใช่แล้ว พวกเขาเป็นคนญี่ปุ่นที่ฝักใฝ่จีนกันทุกคนนั่นล่ะ ทุกปีพวกเขาจะมาร่วมงานวันรำลึกกรณี 18 กันยายน เพื่อทบทวนถึงสงคราม เตือนสติคนรุ่นหลัง แน่นอนว่า พวกเขาก็อยากจะใช้โอกาสจากการประชาสัมพันธ์เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย”
ฉินสือโอวคิดว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออย่างหลังอย่างหาก คนญี่ปุ่นเหรอจะคิดทบทวนถึงสงครามรุกรานประเทศจีน? เหลวไหลทั้งนั้น เขาไม่เชื่อเด็ดขาด ถ้าหากอยากจะเตือนสติคนรุ่นหลังจริงๆ ก็อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสงครามในหนังสือเรียนสิ
……………….……………………………….
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 313 วงสังคม
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!