บทที่ 175 ซีบิสกิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในคืนส่งท้ายปีเก่าปี 1938 ‘นิตยสารไทม์’ ฉบับประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศ 10 อันดับบุคคลแห่งปี แต่ในปีนั้นมีบุคคลแห่งปีเพียงเก้าคนเท่านั้น ในบรรดาบุคคลแห่งปีทั้งเก้าคนนั้นมีทั้งแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เนวิล เชมเบอร์ลิน และ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์รวมอยู่ด้วย
ส่วนอีกบุคคลหนึ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นม้าตัวหนึ่ง ม้าตัวนี้มีชื่อว่าซีบิสกิต
ม้าตัวนี้เกิดในปี 1933 มันเกิดมาตัวเเคระแกร็นและมีข้อบกพร่องตรงที่หัวเข่าของมันยื่นออกมาจนไม่สมส่วน อีกทั้งขาของมันยังไม่เหยียดตรง ซึ่งทั้งหมดคือความบกพร่องของร่างกายและม้าประเภทนี้จะต้องถูกทอดทิ้งเมื่อเกิดมา เรื่องนี้ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน
เพราะแบบนี้ตั้งแต่ซีบิสกิตเกิดมาจนอายุสามปี มันจึงผ่านชีวิตในแต่ละวันมาอย่างยากลำบาก มันเกิดในตระกูลม้าแข่งแต่กลับถูกเลือกปฏิบัติเพราะร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ทั้งลากของ ดึงเครื่องโม่ และงานอื่นๆ ที่แสนลำบากอีกมากมาย
จนมาถึงปี 1936 ครูฝึกม้าผู้ยากจนคนหนึ่งที่ชื่อ ทอม สมิธได้ซื้อตัวมันไป หลังจากที่ฝึกมันจนครบหนึ่งปี ในปี 1937 ซีบิสกิตก็เริ่มเข้าร่วมการแข่งม้าของสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้รับชัยชนะจากการลงแข่งในการแข่งขันครั้งแรก มันก็เริ่มกวาดรางวัลการแข่งขันม้าทุกรายการทั่วสหรัฐอเมริกาจนขึ้นมาเป็นม้าแถวหน้าที่ไม่มีใครล้มได้ กระทั่งมาถึงการแข่งขันสนามที่สิบซึ่งนับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญอย่างมาก ณ เวลานั้นมันมีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว!
โดยเฉพาะในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1938 การแข่งขันระหว่างซีบิสกิตกับราชาแห่งรางวัลการแข่งม้า “นาวีนักรบ” ที่เป็นตำนานอันโด่งดัง ราชาปะทะราชา ม้าที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ปะทะกับราชาม้า ในการแข่งขันครั้งนี้ความสามารถของซีบิสกิตโดดเด่นอย่างมาก หลังจากที่เริ่มการแข่งขันก็ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะสามารถเข้าเส้นชัยและคว้าชัยชนะไปได้อย่างขาดลอยถึง 4 ช่วงตัว!
แต่ตำนานก็ยังไม่สิ้นสุดลง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี 1939 ซีบิสกิตประสบอุบัติเหตุจนเส้นเอ็นขาหน้าข้างซ้ายฉีกขาด เพราะเหตุนี้จึงทำให้มันมีโอกาสสูงที่จะไม่สามารถลงแข่งขันได้อีก
จากนั้นวันที่ 2 มีนาคม ปี 1940 ซีบิสกิตที่อายุครบเจ็ดปีมันก็หวนกลับคืนสู่วงการ อีกทั้งยังสามารถชนะการแข่งขันครั้งสุดท้ายที่มันไม่เคยชนะได้อีกด้วย นั่นคือการแข่งขันที่สนามแข่งม้าซานต้าแอนนิต้าที่มีเงินรางวัลสูงถึงหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ
ผู้คนต่างพากันคิดว่าม้าแก่ตัวนี้เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อกระชับมิตร และเพื่อเป็นส่งท้ายอาชีพของตัวเองเท่านั้น แต่ในท้ายที่สุดผลการแข่งขันครั้งนั้นกลับทำให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องตกใจเป็นอย่างมาก ซีบิสกิตทำเวลาได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งม้าของสนามแข่งม้าซานต้าแอนนิต้า ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การแข่งขันม้าของสหรัฐอเมริกา และยังเป็นการทำลายสถิติโลกอีกด้วย
หลังจากที่นักเขียนชื่อดังอย่างจูลี่ โรเจอร์ได้เห็นการแข่งขันนี้ เขาก็ได้เขียนบรรยายในคอลัมน์พิเศษของตัวเองว่า “ฉันโชคดีมากที่ได้มีชีวิตอยู่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้”
ตั้งแต่นั้นมา ชื่อซีบิสกิตก็กลายเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณอันไม่ย่อท้อของชาวอเมริกาเหนือมาโดยตลอด และยังแสดงถึงนิสัยอันมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในการไม่ยอมแพ้อีกด้วย
ในตอนที่ฉินสือโอวได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่เต็มไปด้วยแง่คิดและกำลังใจเท่านั้น นี่มันเป็นตำนานจริงๆ และการเอาตำนานมาแบบนี้มาตั้งเป็นชื่อรถแข่งของตัวเองก็แสดงให้เห็นว่าพาวลิสคาดหวังในตัวเองอย่างมาก
เขาอยากจะกลายเป็นตำนานนักแข่งรถเหมือนกัน!
ฉินสือโอวตบบ่าพาวลิสแล้วพูดขึ้น “ชื่อนี้เป็นชื่อที่ดี สู้ๆนะ อย่าทำให้ซีบิสกิตต้องขายหน้าล่ะ!”
หลังจากที่เขาสอนวิธีควบคุมรถเอทีวีคันนี้ให้แก่พาวลิสแล้ว เขาก็ให้พาวลิสได้ลองขับ เร่งความเร็วและเลี้ยวรถด้วยตัวเองเพื่อให้เขาเข้าใจทักษะเบื้องต้นในการขับรถคันนี้
เออร์บักยืนอยู่ที่ชายหาดพลางมองดูฉินสือโอสอนพาวลิสขับรถอย่างอดทน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
เช้าวันถัดมา พาวลิสลุกจากเตียงไปเช็ดซีบิสกิตจนสะอาดเอี่ยม จากการสอนของฉินสือโอวเมื่อคืนวาน เขาจะต้องตรวจสอบตำแหน่งจำพวกสายเบรก เบรกมือ ถังน้ำมัน ล้อรถและเพลารถ หลังจากตรวจไม่พบปัญหาใดๆ เขาจึงค่อยไปทานอาหารเช้า
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เด็กทั้งสี่คนยังต้องเอาเกี๊ยวน้ำเข้าไปขายในเมือง ฉินสือโอวจึงพาเหมาเหว่ยหลงไปล่องเรือ
หลังจากล่องเรือเสร็จแล้ว ฉินสือโอวเตรียมจะพาเหมาเหว่ยหลงไปยิงปลาในตอนบ่าย ข้าวของของทั้งสองคนถูกจัดเอาไว้อย่างเรียบร้อยเพราะชาร์คได้พาอีวิลสันมาเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการยิงปลาทั่วไปเท่านั้น แต่หลังจากยิงปลาเสร็จในตอนเย็นพวกเขาจะมีงานเลี้ยงบาร์บีคิวที่ริมชายหาดด้วย
หลังจากฉินสือโอวทำอาหารกลางวันเสร็จ ปรากฏว่าเด็กน้อยทั้งสี่คนไม่ได้กลับมาทานอาหารที่นี่ คุณลุงฮิคสันโทรศัพท์มาบอกว่าเด็กๆจะยังไม่กลับไปและพวกเขาจะทานอาหารที่บ้านของคุณลุงฮิคสัน
เมื่อนอนหลับกลางวันจนเต็มอิ่มแล้ว ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงก็พากันขับรถกระบะไปยังทะเลสาบเฉินเป่า โดยระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้แวะไปยังร้านอาหารของคุณลุงฮิคสันด้วย
บ่ายสองโมงตรงเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน คนส่วนใหญ่มักจะหลบอยู่ในห้องและเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อดับร้อน แต่ถัดจากร้านอาหารของคุณลุงฮิคสันนั้นกลับมีเด็กทั้งสี่คนรวมถึงลูกสุนัขสองตัวกำลังยืนหลบแดดอยู่ใต้ร่มต้นไม้พลางมองยังผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนตาปริบๆ
ข้างๆ ร้านอาหารมีโต๊ะอยู่สองตัว มีหม้อหุงข้าววางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง ส่วนโต๊ะอีกตัวก็มีเครื่องปรุงและกล่องใส่ของต่างๆ นอกจากนี้ยังมีกล่องกระดาษลังตั้งอยู่อีกหนึ่งกล่อง และบนกล่องนั้นก็เขียนข้อความเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษว่า ‘เกี๊ยวน้ำสูตรต้นตำรับจากประเทศจีน อร่อยไม่แพง’
ฉินสือโอวจอดรถอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามแล้วมองมายังเด็ก ๆ
บนถนนนั้นไม่มีคนแม้แต่คนเดียว และยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกค้าในร้านอาหารด้วยเช่นกัน เมื่อผ่านไปสักพักคุณลุงฮิคสันก็เปิดประตูร้านออกมาแล้วพูดกับเด็กทั้งสี่คน “รีบเข้ามาข้างในเร็ว เด็ก ๆ ตอนนี้ไม่มีลูกค้าคนไหนออกมากินข้าวหรอก รอให้ถึงช่วงเย็นก่อนพวกหนูค่อยมาขายต่อดีไหม?”
พาวลิสหันมาพูดกับอีกสามคนที่เหลือ “พวกนายเข้าไปเถอะ ถ้ามีลูกค้าฉันจะเรียกพวกนายเอง”
กอร์ดอนพยักหน้าพร้อมเดินออกไป แต่เชอร์ลี่ย์ที่กอดกล่องเงินสดอยู่กลับหันมามองเขาด้วยความโมโหแล้วพูดออกมา “กอร์ดอน คนทรยศ! อดทนแค่นี้ก็ทำไม่ได้หรือไง?”
มิเชลก็ตะโกนขึ้นมาด้วยเช่นกัน “นายน่ะเทียบกับหู่จือและเป้าจือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! กอร์ดอน ฉันมองนายผิดไปจริงๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าของกอร์ดอนก็แดงก่ำขึ้นมา เขาเดินคอตกไปอยู่ด้านหลังสุดแล้วใช้เสื้อเช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นออกมาพลางหายใจเข้าลึก แล้วหันไปมองกอร์ดอนด้วยท่าทางราวกับกำลังดูถูกเขาสุดๆ
เชอร์ลี่ย์เดินไปหาคุณลุงฮิคสันแล้วพูดออกมาเสียงหวาน “คุณลุงคะ ขอบคุณที่เชิญนะคะ พวกเราไม่เหนื่อยแล้วก็ไม่ร้อนเลยค่ะ พวกเราจะรออยู่ข้างนอกค่ะ บางทีอาจจะมีคนต้องการทานอาหารตอนนี้ก็ได้? คุณลุงรู้ใช่ไหมคะว่าอากาศร้อนแบบนี้ บางคนก็อาจจะไม่ได้ทานอาหารกลางวันก็ได้”
ฉินสือโอวมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ คุณลุงฮิคสันเอ่ยชวนพวกเขาอีกครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ผล เขาจึงทำได้เพียงส่ายหัวแล้วเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร เด็กดื้อทั้งสี่คนยังคงยืนอยู่ข้างนอก แน่นอนว่ายังมีสุนัขแลบราดอร์แสนดื้ออีกสองตัวอยู่ด้วย
“เด็กสี่คนนี้นี่มันแน่จริงๆ” เหมาเหว่ยหลงพูดขึ้น “แน่กว่าหลานชายคนโตของฉันเยอะเลย!”
ฉินสือโอวตบบ่าของเหมาเหว่ยหลงแล้วถามออกมา “แล้วนายล่ะแน่ไหม?”
เหมาเหว่ยหลงพูดขึ้นอย่างภูมิใจทันที “นายว่าไงล่ะ? พวกคนเมืองน่ะไม่ใช่แค่แน่มากเท่านั้นนะ แต่ยังแน่ในหลายๆเรื่องด้วย…”
“ดีมาก” ฉินสือโอวยิ้มอย่างยินดี เขาพาเหมาเหว่ยหลงลงจากรถแล้วเดินไปหาเด็กๆก่อนจะพูดกับเชอร์ลี่ย์ “ทำเกี๊ยวน้ำให้ฉันสี่ลูกหน่อยสิ ไส้ปลาซ่งสองลูก อีกสองลูกก็เอาไส้ผักกับกุ้ง”
เมื่อเห็นฉินสือโอว หู่จือกับเป้าจือก็กระดิกหูและกระโดดไปมาอย่างมีความสุขจนทำให้ต้องแลบลิ้นยาวออกมาพร้อมหายใจหอบอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากที่กระโดดจนพอใจ
เชอร์ลี่ย์และคนที่เหลือก็ส่งเสียงออกมาอย่างดีใจเช่นกัน จากนั้นพาวลิสก็ถามขึ้นมา “ฉิน คุณยังไม่ได้ทานข้าวเหรอคะ? คุณยังหิวอยู่ไหม? ”
เวรกรรม ก่อนที่ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงจะออกไปยิงปลา พวกเขาเป็นห่วงเรื่องภาวะขาดน้ำของร่างกายทำให้พวกเขาดื่มน้ำผลไม้และน้ำเย็นก่อนออกมาจากบ้าน
เพราะเหตุนี้ฉินสือโอวจึงได้แต่ลูบท้องป่องๆของตัวเองไปมาแล้วพูดขึ้น “ใช่แล้วล่ะ อาหารที่เซนต์จอห์นไม่ค่อยอร่อยเท่าไร ตอนกลับมาพวกเราก็เลยยังไม่ได้ทานข้าวเลย ใช่ไหม ลุงเหมาคนแน่?”
เขาเน้นเสียงประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ
เหมาเหว่ยหลงพึ่งรู้ว่าตัวเองโดนเล่นงานเข้าแล้วก็เผยรอยยิ้มน่าเกลียดยิ่งกว่าเวลาร้องไห้ออกมา เขาพยักหน้าแล้วพูดตามน้ำ “ใช่ หิวมากเลย ฉันอยากกินสองลูกเลย!”
“เวลาที่นายหิวนายกินได้ถึงสามลูกเลยนี่นา” ฉินสือโอวมองไปยังเหมาเหว่ยหลงด้วยแววตาประหลาดใจ “ลุงเหมา รสชาติเกี๊ยวที่พวกเขาทำไม่ถูกปากนายงั้นเหรอ นายเลยกินได้แค่สองลูก?”
ดวงตากลมโตของเชอร์ลี่ย์มองไปที่เขาด้วยความประหม่า เหมาเหว่ยหลงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วพูดออกมา “ไม่ใช่แน่นอน อ่า ฉันแค่อยากจะอุ่นเครื่องก่อนสองลูกเท่านั้นเอง เอาแบบนี้นะ สามลูก เกี๊ยวของเชอร์ลี่ย์ กอร์ดอนกับมิเชล ต้องอร่อยแน่นอนอยู่แล้ว!”
ด้วยเหตุนี้พาวลิสจึงวิ่งเข้าไปในร้านอาหารอย่างมีความสุข เกี๊ยวน้ำของพวกเขาอยู่ในตู้เย็นของคุณลุงฮิคสันนั่นเอง
ไม่นานเกี๊ยวห้าลูกก็ถูกนำมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เหมาเหว่ยหลงกับฉินสือโอวนั่งอยู่ข้างในร้านอาหารพลางมองไปยังเกี๊ยวน้ำอย่างเหม่อลอย
ในวันที่อากาศร้อนกับเกี๊ยวน้ำร้อนๆ และความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนในท้องอีก เรื่องพวกนี้สามารถฆ่าคนได้เลยนะ
เชอร์ลี่ย์และคนอื่นๆ มองมายังฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงอย่างรอคอยพลางถามออกมาเสียงเบา “ทำไมพวกคุณไม่กินล่ะคะ?”
“มันร้อนเกินไปน่ะสิ” ฉินสือโอวยิ้ม เชอร์ลี่ย์ใช้ซ้อมจิ้มเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วเอาไปเป่า หลังจากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของฉินสือโอว
ฉินสือโอวกินเกี๊ยวลงไปในคำเดียว เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเชอร์ลี่ย์พลางเคี้ยวไปด้วยแล้วพูดออกมาอย่างคลุมเครือ “เป็นเด็กดีจริงๆ เชอร์ลี่ย์ อือ อร่อย รสชาติดีมากจริง ๆ”
คุณลุงฮิคสันนั่งกลืนน้ำลายมองดูอยู่ข้างๆ และในท้ายที่สุดเขาก็หมุนตัวหันไปยังห้องครัวอย่างอดไม่ได้พร้อมพึมพำออกมา “โชคดีที่ชีวิตนี้ฉันไม่แต่งงานแล้วก็ไม่มีลูก น่ากลัวจริงๆ”
ฉินสือโอวกินไม่ลงแล้ว ในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ เดิมทีเขาก็กินอาหารไม่ลงอยู่แล้ว นอกจากนี่พวกเขายังดื่มเครื่องดื่มจากเซนต์จอห์นมาจนอิ่มแล้วด้วย
ในเมื่อตัวเองกินไม่ลงแล้วเขาจึงเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กๆ เขามองไปยังเหมาเหว่ยหลง อืม ตอนนี้ลุงคนนี้แย่กว่าเขาเสียอีก ที่ด้านหน้าเหมาเหว่ยหลงมีเกี๊ยวอยู่สามลูก ถ้าไม่จุกตายก่อนก็คงจะดี หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองหู่จือกับเป้าจือ
ตอนนี้สุนัขแลบราดอร์ที่เชื่องมาตลอดได้หายไปแล้ว เมื่อมันทั้งสองตัวได้พบกับเครื่องปรับอากาศพวกมันก็ไปนอนแผ่อยู่ข้างหน้าเครื่องนั้นทันที เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวหันมามอง พวกเขาก็ราวกับใจตรงกันขึ้นมา มันพลิกตัวหนึ่งครั้งและเผยให้เห็นหน้าท้องของพวกมันที่กลมป่องออกมา
“ในเวลาสำคัญแบบนี้ไม่เคยพึ่งได้เลย” ฉินสือโอวพึมพำเบาๆ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อือ คิดออกแล้ว
“พาวลิส เอาเกี๊ยวของพวกฉันใส่กล่องซะ พวกเราจะไปยิงปลาที่ริมทะเลสาบ เราจะยิงปลาพร้อมกินเกี๊ยวไปด้วย ตอนกลางวันแบบนี้เหมาะที่จะยิงปลามากที่สุดเลย” ฉินสือโอวพูด “เชอร์ลี่ย์ มา เก็บเงินสิ เกี๊ยวห้าลูกเท่าไรเหรอ?”
กอร์ดอนพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตอนนี้อากาศร้อนมาก ฉิน คุณจะไปยิงปลาได้ยังไง? พวกคุณอาจจะเป็นลมแดดได้นะ”
ฉินสือโอวนิ่งไปครู่หนึ่ง อันที่จริงแล้วจะมีปลาที่ไหนให้ยิงในตอนที่พระอาทิตย์ดวงใหญ่อยู่กลางหัวกัน?
เหมาเหว่ยหลงกลั้นขำแล้วพูดขึ้นมา “ลุงเหมาลดน้ำหนักอยู่น่ะ ดังนั้นเลยต้องไปยิงปลาตอนกลางวัน เหงื่อจะได้ออกเยอะๆ”
เด็กๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที จากนั้นฉินสือโอวก็ค่อยๆ แอบยกนิ้วให้เหมาเหว่ยหลงแล้วพูดออกมา “ทำไมนายถึงได้ฉลาดแบบนี้นะ? ยกนิ้วให้ความฉลาดของนายเลย”
เชอร์ลี่ย์ไม่คิดเงิน ฉินสือโอวจึงยิ้มแล้วพูดออกมา “พวกเรากินเกี๊ยวน้ำของพวกหนูก็ต้องให้เงินพวกหนูสิ เพราะว่านี่คือธุรกิจ…ครอบครัวก็คือครอบครัว ธุรกิจก็คือธุรกิจ”
คุณลุงฮิคสันก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่แล้ว เด็กๆ ต้องจำประโยคนี้ไว้นะ ธุรกิจก็คือธุรกิจ อย่าเอาเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
ฉินสือโอวให้เงินเชอร์ลี่ย์สิบดอลลาร์ เกี๊ยวหนึ่งลูกราคาสองดอลลาร์แคนาดา ช่างถูกเหลือเกิน
……………………………………………………….