ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 134 ครอบครัวใจเย็น

บทที่ 134 ครอบครัวใจเย็น
โดย
Ink Stone_Fantasy

มองดูกระรอกดินที่ขดตัวเป็นก้อนด้วยความหวาดกลัว ในใจของฉินสือโอวก็งงงวยขึ้นมาทันที
เวลาที่ไม่มีอะไรให้ทำ เขาก็จะอ่านหนังสือของแคนาดาที่แนะนำข้อมูลเกี่ยวกับพืชพันธุ์ และชนิดของปลาในอเมริกาเหนือ รวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับกระรอกดินพันธุ์เล็กใหญ่ด้วย
ตามที่เขารู้มาทั้งหมด กระรอกดินพวกนี้รับมือได้ยากมาก ความจำของพวกมันดีมาก ความระมัดระวังตัวก็สูง ปีนป่ายได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดอย่างหนึ่ง คือมันมีความสามารถในการขุดเจาะที่ดีมาก เมื่อเจอสัตว์นักล่าบดบังทางหนี ก็จะสามารถขุดรูหรือเจาะผนังหนีไปได้!
ในหนังสือเรื่องสัตว์น่ารู้ในแคนาดาบอกไว้ว่า เวลาที่กระรอกดินชนิดนี้อยู่บนพื้นหญ้า จะสามารถขุดรูขนาดเล็กที่กว้างพอที่พวกมันจะมุดเข้าไปได้ภายในเวลาสี่วินาที จากนั้นเมื่อมุดลงไปในรูแล้วก็จะขุดรูต่อไป โดยทั่วไปแล้วไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่จะจับมันได้ นอกเสียจากนกอินทรีทองและเหยี่ยวทะเลทรายที่องอาจห้าวหาญ
แต่กระรอกดินตัวนี้กลับถูกล้อมรอบเอาไว้ได้สักพักหนึ่งแล้ว มันอยากจะขุดรูลงไปหลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่ได้ลงมือเลย นี่ค่อนข้างที่จะผิดปกติ
ฉินสือโอวเดินไปดูรอบๆ ที่นี่คือตำแหน่งของสวนผัก ห่างไปอีกสิบกว่าเมตรจะเป็นประตูใหญ่ของฟาร์มปลา และทั้งสองด้านของประตูใหญ่ยังมีรั้วที่ทำมาจากไม้ ตามรั้วไม้มีพืชหญ้าอยู่อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะทั้งสองด้านของประตูใหญ่ที่มีไม้พุ่มขึ้นหนาแน่น
ดินบนฟาร์มปลาทั้งชุ่มชื้นและร่วนซุย ดังนั้นจึงทำให้สามารถมองเห็นร่องรอยบางส่วนได้ อย่างเช่นรอยเท้าของหู่จือและเป้าจือ เมื่อมองดูก็รู้ว่าวิ่งมาจากประตูใหญ่ ซึ่งก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้กระรอกดินตัวนี้ถูกพบที่ประตูใหญ่ จากนั้นจึงถูกหู่จือและเป้าจือไล่ตามมาเรื่อยๆจนถูกล้อมไว้ที่นี่
เมื่อเป็นอย่างนี้ กระรอกดินที่หลบอยู่ในไม้พุ่มตรงประตู ทำไมถึงต้องวิ่งมาบนทางโล่งๆเพื่อหาเรื่องตายกันล่ะ?
คิดมาถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็นึกถึงสุภาษิตหนึ่ง ที่เรียกว่า แผนล่อเสือออกจากถ้ำ!
เขาเดินไปที่ประตูใหญ่แล้วใช้กระบอกปืน แหวกไม้พุ่มพวกนั้นให้เปิดออก เมื่อเห็นดังนี้ กระรอกดินที่ขดตัวอยู่บนพื้นก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา พยายามจะกระโดดเข้าไปหาเขาอย่างสุดชีวิต
หู่จือคว้าโอกาสนี้ กระโดดขึ้นมาจับกระรอกดินแล้วตะปบมันลงไปที่พื้น เมื่อหล่นลงสู่พื้นดินแล้วก็ใช้อุ้งเท้ากดไว้ แค่รวดเดียวก็สามารถกดคอของกระรอกดินเอาไว้ได้
นี่เป็นความฉลาดของหู่จือและเป้าจือ ถ้าฉินสือโอวไม่ได้ออกคำสั่ง พวกมันก็จะไม่กัดเหยื่อจนตาย
แน่นอนว่า เมื่อมันถูกทำอย่างนี้ กระรอกดินตัวน้อยก็ใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ทว่ามันก็ยังพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะปีนไปที่ประตูใหญ่
ฉินสือโอวค่อนข้างรู้สึกช็อก ขณะเดียวกันก็สามารถยืนยันสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ได้แล้ว เข้าผิวปากหนึ่งครั้ง หู่จือก็ปล่อยกระรอกดินออก มันลุกขึ้นทันที แล้วจึงมุดเข้าไปในพุ่มไม้อย่างโซซัดโซเซ
ฉินสือโอวเขี่ยพุ่มไม้ออกรูขนาดเท่ากำปั้นของเขา ก็ปรากฏขึ้น เมื่อใช้ไฟฉายส่อง ก็สามารถมองเห็นกระรอกดินตัวที่ได้รับบาดเจ็บกำลังขวางรูอยู่ ข้างหลังมีลูกสัตว์ที่เหมือนกับหนูอยู่อีกจำนวนหนึ่ง
กระรอกดินจะสืบพันธุ์ปีละหนึ่งครั้ง ในฤดูใบไม้ตัวเมียจะแสดงอาการกำหนัดและหาคู่ ระยะเวลาในการตั้งครรภ์หนึ่งเดือนโดยประมาณ พวกสัตว์ตัวเล็กที่พึ่งมีขนขึ้นพวกนี้ ก็น่าจะเป็นลูกของแม่กระรอกดินตัวนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ ตอนที่ถูกหู่จือและเป้าจือเจอตัว เจ้ากระรอกดินจึงยอมที่จะวิ่งออกไปตายแต่ไม่ยอมที่จะมุดเข้าไปในรู
เพราะเดี๋ยวจะจบสิ้นกันหมด!
หู่จือและเป้าจือเฝ้าอยู่ที่ปากรูทั้งสองด้านซ้ายขวา ขอเพียงแค่ฉินสือโอวสั่งขึ้นมาคำเดียว พวกมันทั้งคู่ก็จะจัดการเข้าโจมตีรังของเจ้าหัวขโมยตาโตให้สิ้นซาก
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย? ถ้าเป็นแค่กระรอกดินขโมยผักหนึ่งตัว จะฆ่าทิ้งก็คงไม่เป็นไร แต่นี่หนึ่งรังเชียวนะ อีกทั้งความไม่เห็นแก่ตัวและสัญชาตญาณความเป็นแม่ของกระรอกดินตัวน้อยก็ทำให้เขาช็อกมากจริงๆ
เขาบอกให้อีวิลสันที่กำลังรอกินเนื้ออยู่กลับไปนอนที่ท่าเรือ ฉินสือโอวไล่หู่จือกับเป้าจือไปก่อน เขาไปหาแบล็กเบอร์รีมาหนึ่งกำแล้ววางไว้ที่ปากรู จากนั้นนั่งยองๆลงแล้วชี้ไปที่สวนผักพร้อมทั้งพูดขึ้นว่า “ไม่อนุญาตให้ไปขโมยผักอีก เข้าใจไหม?”
เมื่อพูดจบแล้ว เขาก็หัวเราะออกมา กระรอกดินตัวนี้จะไปเข้าใจได้ยังไงกันล่ะ?” มันยังไม่เคยได้รับการแก้ไขจากพลังของจิตสำนึกโพไซดอน การกระทำเมื่อสักครู่ก็เป็นเพราะสัญชาตญาณของแม่สัตว์ในการปกป้องลูกสัตว์ ไม่ใช่เพราะมันฉลาดจนถึงขั้นนั้น
กระรอกดินตัวนั้นก็ไม่ได้สนใจฉินสือโอวจริงๆ มันรีบปกป้องลูกๆที่อยู่ในรังเอาไว้
ลูกอ่อนพวกนั้นยังเพิ่งจะลืมตาได้ไม่นาน วิ่งก็ยังวิ่งไม่ได้ แต่ประสาทในการรับกลิ่นของพวกมันก็ว่องไวมาก เมื่อได้กลิ่นหอมของแบล็คเบอร์รี พวกมันก็ส่งเสียงร้องจิ๊ดแล้วปีนออกมา แม่กระรอกดินรีบมาขวางไว้ มัวแต่ดูซ้ายไม่ดูขวา ลูกของมันก็ปีนออกมาได้อยู่ดี
กระรอกดินเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร พวกมันชอบผลไม้ประเภทเบอร์รีเป็นพิเศษ แต่เนื่องจากเห็นผลเรื่องความสูง พวกมันจึงเก็บผลไม้เบอร์รีประเภทไม้พุ่มทั้งหมดไม่ถึง จึงไม่ได้กินของพวกนี้บ่อยนัก
ฉินสือโอวให้หู่จือและเป้าจือเฝ้าอยู่ที่สวนผักต่อ ถ้าเจ้ากระรอกดินยังกล้ามาแก้แค้น ถ้าเช่นนั้นหู่จือและเป้าจือก็คงจะให้อภัยมันไม่ได้แล้ว
เขาลองคิดๆดูแล้ว เจ้ากระรอกตัวนี้น่าจะพาลูกๆของมันหนีไปภายในคืนนี้ เหมือนกันกับเม่นพวกนั้น
แต่ปรากฏว่าเขาทายผิด หลังจากตื่นมาตอนเช้า เขาวิ่งผ่านประตูใหญ่ แล้วแหวกพุ่มไม้ดู ก็เห็นแม่กระรอกที่กำลังเลียขนลูกๆของมันอยู่ ส่วนแบล็กเบอร์รีที่อยู่ตรงปากรูก็ไร้ร่องรอยไปนานแล้ว
“ให้ตายเถอะ ช่างใจเย็นจริงๆเลยนะ” ฉินสือโอวอดที่จะอุทานอย่างทอดถอนใจไม่ได้ เขาไปเอาแบล็กเบอร์รีและเชอร์รีมาวางไว้ที่ปากรูอีกนิดหน่อย
รอจนเขาเดินไป แม่กระรอกดินก็รีบมุดออกมาทันที มันใช้ขาหน้าอุ้มเอาแบล็กเบอร์รีแล้วมุดกลับเข้าไปในรู เมื่อแบ่งให้ลูกๆมันแล้ว ตัวมันเองก็เริ่มยกขึ้นมากินด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
รถบีเอ็มดับเบิลยูของเออร์บักก็ขับเข้ามา กระจกรถถูกลดลง ปรากฏให้เห็นใบหน้าที่มีอายุและดูเหนื่อยล้า เขาถามขึ้นมาว่า “เฮ้ ฉิน นายกำลังทำอะไรอยู่?”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “เมื่อคืนหู่จือและเป้าจือจับกระรอกดินที่แอบมาขโมยผักได้รังหนึ่ง ผมว่ามันดูเชื่องๆดี ก็เลยปล่อยพวกมันไป เมื่อสักครู่ก็เพิ่งจะป้อนผลไม้ไปครับ”
เขารู้สึกว่าสภาพจิตใจของเออร์บักดูแย่มาก รอจนถึงอาคารที่พัก ฉินสือโอวจึงอุ่นนมสดให้เขาดื่ม
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” ฉินสือโอวยิ้มถามเขา
เออร์บักดื่มนมเข้าไปหนึ่งอึกแล้วยิ้มออกมา “ไม่มีอะไร เฮอะเฮอะ แค่แวะเข้ามาดูนายหน่อย ช่วงก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้อยู่ที่เมืองแฟร์เวล ออกไปต่างเมือง แต่กลับรู้สึกว่าที่บ้านเกิดก็ดีกว่าอยู่ดี ใช่แล้ว ฉันก็เลยอยากจะมาหาพวกนายสักหน่อย”
ฉินสือโอวรู้สึกว่าเออร์บักต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ คำพูดพวกนี้ดูน่าสับสนอยู่นิดหน่อย คลุมเครือไม่ชัดเจน นี่ไม่ใช่ลักษณะของทนายความที่เก่งกาจอย่างเออร์บักเลย
ทว่าเชอร์ลี่ย์ เด็กๆที่เหลือก็เดินยิ้มหัวเราะลงมาข้างล่างกันเสียก่อน เมื่อเห็นเออร์บัก เด็กๆทั้งสี่คนก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้นดีใจ พร้อมทั้งบรรยายให้เขาฟังถึงเรื่องผลการขายของในงานกิจกรรมการจำลองและแผนที่จะเข้าไปขายเกี๊ยวในเมือง
เมื่อถูกเด็กๆทั้งสี่คนเข้ามาขัด ฉินสือโอวจึงทำได้แค่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
เออร์บักยิ้มอย่างใจดีและอ่อนโยน เมื่อฟังเด็กๆทั้งสี่คนเถียงกัน ใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความพึงพอใจ
รอจนเด็กๆทั้งสี่คนไปล้างหน้าแปรงฟัน เขาก็ดื่มนมสดที่เพิ่งดื่มไปเมื่อสักครู่อีกครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนจะอ้วกออกมา แต่เขาก็ใช้มือนวดบริเวณหน้าอกและกลืนมันกลับเข้าไป
ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ทัน เออร์บักก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขากลั้นไม่ไหว จนต้องอ้าปากพ่นเอาลูกธนูน้ำออกมา
ถึงจะบอกว่าเป็นลูกธนูน้ำ แต่ที่จริงแล้วของที่อ้วกออกมาล้วนแต่เป็นนมที่เพิ่งดื่มเข้าไปเมื่อสักครู่ อีกทั้งอ้วกหนึ่งครั้งยังพุ่งไปไกลตั้งสองสามเมตร!
ฉินสือโอวรีบเข้าไปประคองเออร์บัก แล้วถามกับเขาว่า “เฮ้ คุณปู่เออร์ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ครับ?”
เออร์บักใช้กระดาษเช็ดปากเช็ดบริเวณตามมุมปากแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ท้องมัน ไม่สบายท้องบ่อยๆ……”
“ไม่สบายท้องจนอ้วกออกมาแบบนี้เลยเหรอครับ?”ฉินสือโอวไม่เชื่อแน่นอนอยู่แล้ว “คุณเป็นอะไรกันแน่ บอกผมมาเถอะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตอนนี้คุณเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งกังวล”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ” เออร์บักยิ้ม “นายอย่ากังวลจนคิดไปไกลสิ ฉิน”
ฉินสือโอวยักไหล่อย่างจนปัญญา “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ผมทำได้แค่พาคุณไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ”
“ไปตรวจดูอีกคงไม่เป็นไร”เออร์บักอดยิ้มไม่ได้ “ฉันจะบอกนายให้นะ พอคนเราแก่แล้ว ก็จะป่วยออดๆแอดๆแบบนี้ล่ะ แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอก”
ฉินสือโอวคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เขาดูเวลา ตอนนี้ที่จีนน่าจะประมาณสามทุ่มกว่า เขาจึงโทรหาเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งที่เป็นหมอ เล่าอาการของเออร์บักให้ฟัง แล้วจึงถามเขาว่าเออร์บักป่วยเป็นอะไรกันแน่
…………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset