บทที่ 8 บ้านหลังใหม่
เมื่อฟ้าสาง มู่หรงเสวี่ยได้พูดคุยกับมู่หรงเฟิงหัวและ จางเข่อเหรินเรื่องที่เธอต้องการย้ายออกไปข้างนอกเพียงลำพัง
“ไม่ได้! ลูกจะอยู่แบบนั้นได้ยังไง? ถ้าลูกออกไปอยู่ข้างนอกจริงๆ คนเป็นแม่จะสบายใจได้ยังไงล่ะลูก?” ก่อนที่จะได้ฟังเหตุผลของมู่หรงเสวี่ย จางเข่อเหรินก็รีบปฏิเสธขึ้นมาทันที
“ทำไมลูกถึงอยากที่จะออกไปอยู่ข้างนอกล่ะ?” ส่วน มู่หรงเฟิงหัวที่ขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ได้ขัดคำในทันที เขาเปลี่ยนเป็นถามเหตุผลแทน
“เฟิงหัว คุณจะถามทำไม? เหตุผลมันไม่สำคัญ” เมื่อพูดจบก็มองค้อนไปที่มู่หรงเฟิงหัวซึ่งแสดงออกชัดเจนว่า ‘กล้าดียังไงถึงพูดแบบนั้นออกมา’ และ ‘เลิกพูดเรื่องที่จะให้ลูกออกไปอยู่คนเดียวตามลำพังไปได้เลย’
เมื่อถูกอำนาจของภรรยาขู่บังคับ มู่หรงเฟิงหัวก็ทำได้แค่กระแอมออกมาหนึ่งที จากนั้นก็หันกลับไปดูข่าวเศรษฐกิจตามเดิม
อาการของพ่อเธอเป็นเรื่องที่เธอเคยเห็นมาแล้วจนชิน แต่เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้เพราะแม่เธอมักจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ และนี่ถือเป็นคำตัดสินสุดท้ายของครอบครัว
“พ่อคะ แม่คะ หนูรู้ว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงหนู แต่ว่าหนูโตแล้วนะคะ หนูไม่อยากพึ่งครอบครัวไปซะทุกอย่าง หนูอยากลองพึ่งตัวเองบ้าง พ่อกับแม่คงไม่อยากให้หนูเป็นไข่ในหินหรอกใช่ไหมคะ? อีกอย่าง ตระกูลมู่หรงมีศัตรูอยู่ไม่น้อย หนูไม่อยากเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังพ่อกับแม่อีกต่อแล้ว สัญญากับหนูนะคะแม่”
หลังจากที่ได้ฟังดังนี้ มู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินได้หันมามองหน้ากัน ทั้งสองต่างเห็นการเคลื่อนไหวของสายตาที่ไม่ต่างกัน ที่ลูกสาวของพวกเขาพูด ฟังแล้วมีเหตุผลจริงๆ
“แต่ถ้าลูกอยากออกไปอยู่เองคนเดียวแล้ว ลูกจำเป็นต้องย้ายออกไปจากที่นี่ด้วยเหรอ?” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ได้เข้มเหมือนในตอนแรก
เมื่อได้ยินคำถามนี้ มู่หรงเสวี่ยเข้าใจแล้วว่าตัวเองเริ่มมีโอกาสบ้างแล้ว จึงรีบตอบกลับไปว่า
“ถ้าหนูอยู่ที่บ้าน พ่อกับแม่ก็จะคอยปกป้องหนูตลอดสิคะ แล้วอย่างนี้ หนูจะไปหาประสบการณ์มาจากที่ไหนล่ะ? อีกอย่าง หนูจะกลับมาหาพ่อกับแม่ที่บ้านแน่นอนค่ะ ในอนาคต ถ้าไม่มีธุระอะไร หนูจะกลับบ้านอาทิตย์ละครั้งก็แล้วกันค่ะ พ่อกับแม่จะได้สบายใจ โอเคไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยจับแขนจางเข่อเหรินหลวมๆและสั่นเบาๆราวกับว่ากำลังเซ้าซี้อีกฝ่ายอยู่ วินาทีแรกที่เรื่องนี้เกือบจะไม่ได้รับอนุมัติจนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย
จางเข่อเหรินปวดหัวจริงๆ นี่เธอขัดใจลูกสาวไม่ได้เลยรึไงนะ?
“ถ้าอย่างงั้น ลูกจะต้องกลับบ้านทุกอาทิตย์ ถ้าแม่รู้ว่าลูกไปทำเรื่องเหลวไหลอะไรมาก็แล้วแต่ แม่จะไม่ให้ลูกย้ายออกไปไหนอีก” ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจง่ายๆ แต่เธอก็ไม่ใช่คนหัวโบราณสักหน่อย อีกอย่าง ที่ลูกสาวของเธอพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผล เธอจะคอยปกป้องลูกสาวตลอดไปไม่ได้ อีกอย่าง นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ลูกสาวของเธอได้เรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตัวเอง
มู่หรงเสวี่ยมีความสุขมากจนถึงขึ้นกระโดดจุ๊บ จางเข่อเหรินหลายทีและร้องออกมาว่า “เย้! หนูรักแม่ที่สุดเลยค่ะ! แต่ว่าวันนี้เป็นวันหยุด เอาเป็นว่า หนูจะมาบอกเรื่องที่อยู่กับแม่อีกที หลังจากที่ตกลงเรื่องบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ พ่อกับแม่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการเรื่องบ้าน แล้วก็วันนี้หนูไม่จำเป็นต้องขอเงินเพิ่ม เงินที่พ่อกับแม่ให้หนูไว้ก่อนหน้านี้เพียงพอกับการที่หนูจะสร้างธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วค่ะ ฮิฮิ” แน่นอนว่าเธอจะไม่ขอเงินจากพวกท่านเพิ่มอีกต่อไป
สามปีก่อนพ่อของเธอได้โอนหุ้นของมู่หรงกรุ๊ปให้กับเธอ 5% และทุกๆปี เธอจะได้รับเงินปันผลเกือบ 10 ล้าน มากกว่านั้นคือเงินที่พ่อแม่ให้เธอมา ไม่ใช่เงินน้อยๆเลยสักนิด แถมในบัญชีของเธอก็มีเงินที่สูงถึง 50 ล้านแล้วด้วย
พูดถึงเรื่องหุ้น มู่หรงเสวี่ยก็นึกถึงเรื่องที่น่าเศร้าเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ในชีวิตที่แล้วของเธอ ฟางฉีฮัวบอกเธอว่าเขาเงินขาดมือ และในตอนนั้นเธอรักเขามากเสียด้วย แล้วอย่างนี้ เธอจะทนให้เขาเป็นทุกข์เรื่องเงินได้ยังไงล่ะ เธอถึงกับได้โอนหุ้น 5% เป็นชื่อเขาโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ตอนนั้นเขาประทับใจในตัวเธอมาก และได้ให้คำสาบานเอาไว้ว่าจะทำดีกับเธอไปตลอดชีวิต แต่สำหรับเธอแล้ว เธอกลับคิดว่า ตราบใดที่เขายังรักเธอแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วจริงๆ…
เป็นเพราะความโง่เขลาของตัวเอง เธอถึงได้มองไม่เห็นธาตุแท้ของอีกฝ่าย จนหัวใจต้องเจ็บช้ำเจียนตาย
แต่ถึงอย่างนั้น มู่หรงเสวี่ยแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ออกไปดูบ้านใหม่
พอคิดว่าตัวเองยังเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยม ฉะนั้นบ้านใหม่จึงควรอยู่ใกล้โรงเรียน เธอจะได้ไปโรงเรียนสะดวก
ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็เลือกห้องสวีทธรรมดาขนาด 120 ตร.ม ที่อยู่บนชั้น 8 ของชุมชนสวนสีเขียวของโครงการหนึ่งของเฟิงหัว และที่นี่ห่างจากโรงเรียนเพียงแค่ 1,000 เมตรเท่านั้น
โครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารของเฟิงหัวโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เธอจึงมั่นใจมากว่าภายในห้องจะมีความสะดวกสบายที่รองรับอยู่แล้ว แต่จริงๆคือเธอไม่ได้อยากจัดหาเฟอร์นิเจอร์ใหม่เองต่างหากล่ะ
ราคาห้องอยู่ที่ 12 ล้านหยวน หลังจากที่จ่ายค่าห้องไปเต็มจำนวนแล้ว เงินในกระเป๋าของมู่หรงเสวี่ยจึงเหลืออยู่ไม่มากนัก เห็นที เธอคงต้องรีบหาเงินมาเพิ่มให้ได้เร็วที่สุดแล้ว
จริงด้วย มู่หรงเสวี่ยนึกเรื่องความสามารถในการมองเห็นของเธอขึ้นมาได้ ในชีวิตที่แล้วเธอตามฟางฉีฮัวไปที่สวนหินหยก ที่นั่นมีสถานที่ที่ให้คนได้เล่นพนันหินกัน ทุกคนที่ไปต่างก็ลงเดิมพันได้ไม่มากก็น้อย บางทีเธออาจจะใช้ความสามารถนี้ในการโกงได้ก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยหยิบบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าและนั่งรถไปยังสวนหินที่ว่าในทันที