ตอนเย่ฉ่าวเฉินเห็นมู่เวยเวย สมองของเขาก็“ตูม”ระเบิดออกมา เขาตะลึงไปสองวินาที จากนั้นเขาก็รีบไปยังห้องน้ำหยิบผ้าขนหนูออกมาสองสามผืน และร้อนรนเอาไปพันปากแผลที่มีเลือดไหลออกมา
มู่เวยเวย มู่เวยเวย เธอเกลียดฉันขนาดนั้นเลยหรอ ถึงได้ใช้วิธีที่รุนแรงขนาดนี้แก้แค้นฉัน?
เธอรู้ไหมว่าฉันชอบเธอมากแค่ไหน เธอรู้ไหมว่าสำหรับเด็กคนนี้ฉันรอคอยมานานแค่ไหน ดังนั้นการจบชีวิตของตัวเองลงง่ายๆแบบนี้ เหมือนกับต้องการเอาความสุขทั้งหมดของชีวิตฉันใช่ไหม?
เธอบอกว่าฉันโหดเหี้ยม?หรือว่าเธอก็ไม่ได้โหดเหี้ยล่ะ?ให้ลูกที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกต้องมาตายตามไปพร้อมๆกับเธอ เธอเป็นแม่ที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลกนี้
เย่ฉ่าวเฉินใช้มือที่สั่นเทาไม่หยุดของเขาพันปากแผลอย่างดี รอบดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ หัวใจราวกับว่ากำลังจะหยุดเต้น
หากว่า ครั้งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ เขาจะทำยังไงดี? เขาไม่มีลูกก็ได้ แต่เขาไม่สามารถไม่มีเธอได้
“หมอหานล่ะ?หมอหานทำไมยังไม่มา”เย่ฉ่าวเฉินทั้งตื่นเต้นและกลัว ความรู้สึกแบบเมื่อคืนวานมันกำลังเริ่มกลับมาแล้ว
พ่อบ้านหวังพยายามปลอบใจเขา“คุณชาย หมอหานกำลังเดินทางมา อีกสักพักก็มาถึง”
“ให้เขาเร็วหน่อย!”เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าตัวเองกำลังควบคุมสติอารมณ์ไม่อยู่
พ่อบ้านหวังไม่กล้ามองดูสภาพตอนนี้ของเขา วิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อรอหมอหาน
แม่บ้านฉินวิ่งออกมาจากห้องครัว ใช้กระโปรงเช็ดมือไปพลางถามไปพลาง“เป็นอะไรหรอ?เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
พ่อบ้านหวังที่มีใบหน้าแซมร้องไห้พูดขึ้นว่า“คุณผู้หญิงฆ่าตัวตาย โดยการกรีดที่ข้อมือ”
“หา?”แม่บ้านฉินตกใจจนตาโต เธอไม่อย่าจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ฆ่าตัวตาย?เธอ……โอ้ย เด็กคนนี้ทำไมถึงได้ดื้อรั้นอย่างนี้นะ
“แล้วใครว่าไม่ใช่ล่ะ?”พ่อบ้านหวังมองไปที่หน้าต่างของชั้นสองครั้งเล้วครั้งเล่าด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับถอนหายใจและพูดว่า“คุณชาย ครั้งนี้คงจะรักเธอเข้าจริงๆซะแล้ว เมื่อกี้เธอไม่เห็นสีหน้าของเขา ขาวซีดไปหมด ฉันคิดนะ หากว่าครั้งนี้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับคุณผู้หญิงล่ะก็……”
“ถุ้ย ถุ้ย ถุ้ย!พูดเหลวไหลอะไร?”แม่บ้านฉินตีไปที่แขนของพ่อบ้านหวังหนึ่งที“เวยเวยเป็นคนดี ต้องไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอแน่”
“สวรรค์คุ้มครองด้วยเถอะ”
ทั้งสองคนสนทนากันเพื่อคลายเอาความกังวลที่อยู่ในใจออกไป สิบกว่านาทีหลังจากนั้น รถของหมอหานก็ได้เข้ามาปรากฏต่อสายตา เมื่อรถจอดเสร็จ พ่อบ้านหวังก็รีบร้อนวิ่งเข้าไปเปิดประตูให้ และดึงเอาแขนของหมอหานลากขึ้นไปยังชั้นบน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?”หมอหานที่กำลังเดินขึ้นชั้นบนถาม
“คุณผู้หญิง เธอกรีดที่ข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย”พ่อบ้านหวังพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ชิบหาย!”คนที่มีความยับยั้งช่างใจอย่างหมอหานก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดคำไม่สุภาพออกมา“เธอไม่ใช่กำลังตั้งครรภ์อยู่หรอ?เย่ฉ่าวเฉินทำอะไรกับเธออีก?”
“อันนี้……มันก็พูดยาก ถ้าคุณเข้าไปแล้วไม่ต้องถามจะดีที่สุด”พ่อบ้านหวังจะบอกเรื่องที่เกี่ยวกับมู่เทียนเย่ให้เขาฟังไม่ได้เด็ดขาด ฆ่าคนเป็นความผิดใหญ่หลวง หากว่าเรื่องกระจายออกไป อาจไม่ดีต่อเย่ฉ่าวเฉิน
หมอหานเชอะขึ้นหนึ่งครั้งอย่างไม่เกรงใจ“ฉันก็ขี้เกียจจะถาม มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีอย่างแน่นอน”
ถึงชั้นสอง หมอหานรีบเดินเข้าไปดูมู่เวยเวยที่อยู่ในห้องนอนอย่างกังวลใจ เย่ฉ่าวเฉินคุกเข่าอยู่ด้านข้างเตียง กุมมือข้างหนึ่งของเธอไว้ เบ้าตาเขามีสีแดงก่ำ เมื่อเห็นหมอหานเดินเข้ามาแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืน แต่เป็นเพราะว่านั่งคุกเข่านานเกินไป ทำให้เขาเกือบจะล้มลง“รีบช่วยตรวจดูเธอหน่อย”
เดิมทีหมอหานก็โกรธเย่ฉ่าวเฉินอยู่ แต่เมื่อเห็นสภาพที่น่าสงสารของเขา เสียงที่แหบแห้ง เรี่ยวแรงก็ลดไปเยอะ
นี่เป็นเพราะว่ารู้ตัวเร็ว มู่เวยเวยเลยเสียเลือดไปไม่มาก หมอหานได้สอบถามไปยังศาตราจารย์แพทย์หญิงรุ่นพี่ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน เมื่อพลิกตัวเธอกลับมา ศีรษะของหมอหานมีเหงื่อไหลซึมออกมานิดๆ
“ตอนนี้เธอพ้นขีดอันตรายแล้ว และเด็กก็ปลอดภัยดี แต่ร่างกายของเธอค่อยข้างอ่อนแอ”หมอหานมองดูเย่ฉ่าวเฉินที่ดูไร้ชีวิตชีวา จึงได้พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมว่า“คุณชายเย่ ตั้งแต่ที่ผมอยู่วงการนี้มานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นคนไข้คนไหนที่อาการหนักอย่างมู่เวยเวยเลย คุณลองทบทวนตัวเองดูดีๆ ตั้งแต่ที่คุณแต่งงานกับเธอ และจากที่ผมมาที่บ้านตระกูลเย่หลายครั้ง เธอก็เป็นคน มีเลือด มีเนื้อ และไม่ใช่สิ่งของที่คุณจะทำยังไงกับเธอก็ได้ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องมีสักวันหนึ่งที่เธอจะถูกคุณทำลายเหมือนตะเกียงที่หมดน้ำมัน
“หมอหาน ”พ่อบ้านหวังดึงที่แขนของเขาไว้ เป็นการบ่งบอกว่าไม่ต้องการให้เขาพูด
เย่ฉ่าวเฉินมองเขาด้วยความเย็นชา “ฉันรู้แล้ว”
หมอหานถอนหายใจ และเดินออกจากห้องไป
เขาอดทนมานานแล้ว สุดท้ายก็อดไม่ได้ เขาเป็นหมอ ทุกครั้งเห็นมู่เวยเวยก็เกิดความสงสาร ผู้หญิงดีๆถูกเย่ฉ่าวเฉินทรมานจนเป็นแบบนี้ วิณญาณพ่อแม่ของเธอที่อยู่บนสวรรค์คงจะเป็นทุกข์ใจน่าดู
“คุณชาย หมอหานเขาไม่ได้ตั้งใจ คุณอย่าโกรธไปเลย”พ่อบ้านหวังปลอบใจเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัว“ฉันไม่ได้โกรธ สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริง ฉันจะโกรธไปทำไม?ลุงหวัง ห้องของฉันจัดการทำความสะอาดเสร็จหรือยัง?”
พ่อบ้านหวังรีบพยักหน้า “เสร็จแล้วๆ ของทุกอย่างจัดเข้าที่หมดแล้ว ”
ตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากที่มู่เวยเวยเผาห้อง แย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้พักอยู่ที่ห้องของเขา และเป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้เข้าไปเหยียบห้องนั้นแม้แต่ก้าวเดียว แต่ตอนนี้ ในห้องนี้มีกลิ่นคาวเลือดเต็มไปหมด เขาก้มลงไปอุ้มเอามู่เวยเวยขึ้นมา พ่อบ่านหวังนำทางอยู่ด้านหน้าคอยเปิดประตูห้องให้เขา พรมเช็ดเท้า ตู้เสื้อผ้า เตียงนอน และโซฟาที่อยู่ตรงระเบียง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของใหม่แกะกล่อง
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ราวกับว่ามีพลังล้างความมืดมนทั้งหมดออกไป
เย่ฉ่าวเฉินวางเธอลงที่เตียงเบาเบา ห่มผ้าให้เธอ จากนั้นก็นั่งอยู่ที่ด้านข้างของเธอ
“คุณชาย คุณต้องการทานอะไรไหม?ตอนนี้ก็บ่ายสองแล้ว……”
“ฉันไม่หิว อะไรก็ไม่อยากกินทั้งนั้น”
พ่อบ้านหวังไม่มีคำพูดพร้อมกับเดินออกจากห้องไป ที่ชั้นล่าง หมอหานที่กำลังสูบบุหรี่อยู่อย่างสงบ
“คุณดูคุณสิ จะรีบพูดตรงไปตรงมาแบบนั้นทำไม?”พ่อบ้านหวังถามเขาพร้องกับหยิบบุหรี่หนึ่งมวนจุดไฟ อันที่จริงเขาไม่ได้สูบบุหรี่มานานมากแล้ว แต่เพราะวันนี้เกิดเรื่องราวที่ทำให้จิตใจไม่สงบสุข
หมอหานสูดหายใจเข้าแรงๆเต็มปอดหนึ่งครั้ง และหายใจเขาควันบุหรี่ออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ตอนนั้นฉันอดไม่ได้ที่จะไม่พูดความในใจออกไป รู้สึกอึดอัด”
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แต่ว่าเรื่องพวกนั้นหากไม่พูดออกไปจะเป็นการดีที่สุด”พ่อบ้านหวังเกิดสำลักควันบุหรี่ และไอออกมา
หมอหานหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับตบไปที่หลังของเขาและพูดว่า“ลุงหวัง สูบไม่เป็นก็ไม่ต้องบังคับตัวเอง”
หลังจากหยุดไอเสร็จ พ่อบ้านหวังโยนบุหรี่ที่เหลือครึ่งมวนลงที่พื้นและใช้เท้าดับไฟ พร้อมแสยะยิ้มเล็กๆและพูดว่า“ไม่ได้สูบของพวกนี้มานานแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะทนไม่ไหว……หมอหาน ตอนนี้ก็ตอนบ่ายแล้ว คุณทานอาหารเสร็จแล้วค่อยกลับเถอะ”
หมอหานเดินไปทางรถของตัวเองที่จอดอยู่และพูดว่า“ไม่ต้องหรอก ภรรยาของผมยังรอผมอยู่ระหว่างทาง ลุงหวัง ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นรีบโทรหาผมได้ทันที”
“ผมทราบแล้ว คุณรีบไปเถอะ”
แสงแดดที่สาดส่องลงมาจากดวงอาทิตย์ ทิวทัศน์ของแนวป่าที่มองเห็นจากที่ไกลๆดูแล้วทำให้คนที่เห็นภาพเกิดความประทับใจ แต่พ่อบ้านหวังกลับมีความรู้สึกว่า ใบไม่สีแดงเหล่านั้นมองดูแล้วกลับไม่สบายตา
……
เมือง G โรงพยาบาลส่วนตัวของคนรวย
หญิงรูปร่างสูงสง่า สวมโค้ทกันลมรองเท้าหนังสีเขียวขี้ม้ามีท่าทางเร่งรีบเดินเข้ามาที่ห้องผู้ป่วย บนเตียงของผู้ป่วยมีผู้ชายหนึ่งคนนอนอยู่ บริเวณใบหน้าสวมหน้าออกซิเจน ตามร่างกายมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ตั้งแต่ออกมาจากห้องผ่าตัด เขาก็ยังไม่ได้สติ
ผู้หญิงคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมกับนั่งขาไขว่ห้างกัน และค่อยๆพูดขึ้นว่า“ผ่านมาตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ฟื้น ?หมอได้พูดแล้วว่า ถ้าวันนี้คุณยังไม่พื้น ก็จะเป็นเจ้าชายนิทราไป ดูร่างกายที่ดูแข็งแรงของคุณสิ ไม่ควรที่จะถูกแผลเล็กๆพวกนี้เอาชนะได้”
ผู้หญิงมองไปที่ใบหน้าของเขาสักครู่ และพูดต่อว่า“รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว ยังไม่ทันได้รู้จักชื่อของคุณเลย แล้วเป็นคนที่ไหน เพื่อช่วยคุณฉันจ่ายเงินไปตั้งเยอะ ถ้าหากว่าคุณไม่ตื่นขึ้นมาล่ะก็ ฉันจะไปเอาค่ารักษาคืนกับใครล่ะ แต่ว่าเงินเป็นล้านๆคุณจะจ่ายให้ฉันไหวหรอ ?……คุณกับฉันเราต่างมีพรหมลิขิตต่อกัน สวรรค์ทำให้ฉันเลี้ยวไปเจอกับคุณ เอาเป็นว่า ถ้าคุณตื่นขึ้นมาแล้วคุณก็แต่งงานกับฉันเถอะ คิดซะว่าใช้ร่างกายของคุณจ่ายแทนคืนให้กับฉัน ถ้าพูดกันตรงๆแล้ว พี่สาวคนนี้ทั้งมีเงินเรื่องหน้าตาก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ขาดเพียงแค่ผู้ชายดีๆที่จะมาอยู่ข้างกาย เอาล่ะ ชั่งเป็นข้อตกลงที่น่ามีความสุขจริง”
ชายที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีปฎิกิริยาตอบสนอง แต่ถ้าหากเขาพื้นขึ้นมาได้ เขาคงจะยิ้มขึ้นอย่างเย็นชาพร้อมกับตอบกลับไปว่าคนอย่างฉันหนะไม่ขาดเงิน และไม่ขาดผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือมู่เทียนเย่ คนที่เมื่อคืนถูกคนทำร้ายตกทะเล
เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็บังเอิญจริงๆ
ผู้หญิงคนที่ช่วยมู่ทียนเย่ชื่อเสี่ยวซีหร่าน เป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงทางด้านความรวยที่สุดของเมือง G พ่อแม่อยู่ต่างประเทศ เป็นคนมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ทรัพย์สินมีประมาณห้าหมื่นล้านบาท แต่ว่าเธอไม่ชอบทำธุรกิจ ชอบเที่ยวไปรอบๆโลก มีความกล้าหาญเหมือนกับผู้ชาย ขึ้นเขา แข่งรถ ดำน้ำ ไม่มีอันไหนที่เธอทำไม่ได้ ไปจับมีขาวที่ขั้วโลกหนือ ไปขั้วโลกใต้เพื่อไปดูนกเพนกวิน สถานที่ที่เธอพอจะไปได้ เธอก็ไปเที่ยวมาหมดแล้วหนึ่งรอบ เพราะเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาดีแถมฐานะทางครอบครัวก็ร่ำรวยมาก ผู้ชายในเมือง G ต่างหมายปองเธอ เข้ามาต่อแถวคิวยาวเหยียด แต่ว่าเธอก็ไม่จนใจใครสักคน ไม่นึกเลยว่าวันนี้เธอจะเกิดความชอบผู้ชายคนนี้ขึ้นมา พรหมลิติชั่งเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ
ตอนบ่ายของเมื่อวาน เสี่ยวซีหร่านได้ไปดำน้ำ และขณะที่เธอกำลังดำน้ำดูปลาน้อยๆอย่างมีความสุขอยู่นั้น เธอก็มองไปเห็นสิ่งประหลาดที่มีขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลจากที่เธอ ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นฉลามตัวใหญ่กำลังว่ายเข้ามา แต่ตอนที่เธอกำลังจะเตรียมตัวว่ายน้ำหนี เธอกลับพบว่าสิ่งประหลาดที่มีขนาดใหญ่นั้นคือคน เธอจึงรีบว่ายเข้าไปและใช้มือข้างหนึ่งกอดรัดที่บริเวณเอวเพื่อป้องกันไม่ให้เขาจมลึกลงไป มืออีกข้างคลำดูที่บริเวณหน้าออกพบว่าหัวใจยังเต้นแต่ค่อนข้างที่จะเบา
เสี่ยวซีหร่านไม่พูดพร่ำทำเพลง เอาหน้ากากออกซิเจนของตัวเองสวมเข้าไปที่ปากของเขา และอุ้มเอาตัวของเขาว่ายไปทางเรื่อยอทช์ที่จอดอยู่ ปกติเธอไม่ใช่คนที่มีเมตาตา ถ้าหากว่าชายคนนี้ตายแล้ว เธอก็คนจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะว่าเขายังมีชีวิตอยู่เสี่ยวซีหร่านก็ไม่สามารถที่จะเบิกตามองเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตา
ที่ไหล่ของเขามีเลือดกำลังไหลออกมา เธอไม่กล้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ เพราะกลิ่นของเลือดมันจะดึงดูดให้สัตว์กินเนื้อในทะเลเข้ามาใกล้ จมูกการรับกลิ่นของพวกมันเร็วยิ่งกว่าจมูกสุนัขซะอีก
ว่ายไปได้สักระยะหนึ่ง เสี่ยวซีหร่านก็มีอาการหอบขึ้นเล็กน้อย เธอดึงเอาหน้ากากออกซิเจนเข้ามาซูดดมลึกๆอยู่สองสามที จากนั้นก็ใสกลับไปที่ปากของเขาเหมือนเดิม ทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายเสี่ยวซีหร่านก็แบกเขาขึ้นไปบนเหนือผิวน้ำได้
“OMG คุณลงไปดำน้ำยังไงถึงได้เก็บเอาผู้ชายกลับน้ำมาได้?”เพื่อนที่ขับเรื่อยอทช์มาส่งเธอมีท่าทางประหลาดใจมาก
เสี่ยวซินหร่านหายใจเข้าออกแรงๆอยู่สองสามทีก่อนที่จะตอบเขาว่า“นายยังมาหัวเราะอยู่ได้ รีบช่วยฉันเอาเขาขึ้นไปก่อน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
เพื่อนผู้ชายของเธอจับที่แขนทั้งสองข้างของมู่เทียนเย่ และใช้แรงดึงเอามู่เทียนเย่ขึ้นไปบนเรือ จากนั้นก็ดึงเสี่ยวซีหร่านขึ้นมา
“ว้าว เสี่ยวหร่าน เธอลองหันกลับไปดูสิว่า เธอดึงดูดอะไรเข้ามา”
เสี่ยวซีหร่านหันกลับไปดู เธอรู้สึกชาไปหมด ฉลามสี่ถึงห้าตัวกำลังว่ายวนเวียนห่างออกจากเรื่อยอทช์ประมาณสิบเมตร เมื่อมองเห็นแล้วรู้สึกเสียวหัวขึ้นมาทันที แต่ดีที่ตัวเธอเองว่ายน้ำได้เร็ว ไม่อย่างนั้นแล้วชีวิตของชายคนนี้คงจะไม่รอด
“เจี๋ย ลองดูซิว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เจี๋ยลองเอามืออังดูลมหายใจของเขาและเอามือเปิดดูที่ม่านตาของเขา จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ว่าดูถ้าแล้วจะช่วยไม่รอด”
เสี่ยวซีหร่านใช้สายตาจ้องไปที่เขา เธอนั่งคุกเข่าลงที่ด้านข้างของมู่เทียนเย่ และพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า“ไม่ใช้เรื่องง่ายๆที่จะเอาตัวเขาขึ้นมาได้ ถ้าหากเขาตายล่ะก็ ฉันก็เปลืองแรงไปโดยเปล่าประโยชน์หนะสิ เจี๋ย ขับเรือกลับ”
เจี๋ยยักไหล่ ปกติแล้วเธอจะเป็นคนที่ดื้อรั้น
……
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว มู่เทียนเย่ก็ยังไม่ได้สติขึ้นมา คุณหมอส่ายหน้าด้วยความจำใจพร้อมกับพูดกับเสี่ยวซีหร่านว่า “คนไข้ได้รับน้ำจำนวนมากเข้าไปที่สมองและร่างกาย ทำให้อวัยวะภายในร่างกายได้รับการติดเชื้อ แม้ว่าจะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ร่างกายของคนไข้ตอนนี้เข้าสู่สภาวะที่นอนไม่ได้สติ ถ้าหากไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เขาอาจจะ……ไม่สามารถที่จะตื่นขึ้นมาได้อีกเลย”
เสี่ยวซีหร่านได้มีการเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของคุณหมอเธอจึงมีทีท่าที่ค่อนข้างจะสงบ เธอเรียกรถมาถึงสองคันและนำตัวของมู่เทียนเย่กลับไปบ้าน
“ห้องนี้มีแสงแดดที่สาดส่องเข้ามากำลังพอดี เข้ามาๆ พาตัวของเขาเข้ามาได้เลย ”
“พวกคุณระวังกันหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สติ แต่ก็เป็นร่างของชายรูปงามนะ”
“เสี่ยวเย่จื่อ ต่อไปเรื่องการดูแลเขาก็ยกให้เธอแล้วนะ นี่เป็นคำแนะนำทั้งหมดที่หมอให้มา เธอจำให้ขึ้นใจและทำตามนี้ อ้อ ไม่ได้สิ เธอยังไม่ได้แต่งงาน ถ้าจะเช็ดตัวให้กับผู้ชายมันไม่ค่อยจะเหมาะสม ไปเรียกให้อาเฉิงมาที่นี่”
เสี่ยวเย่จื่อ ตึง ตึง ตึงวิ่งออกไป
เจี๋ยขมวดคิ้วมองดูเสี่ยวซีหร่านที่กำลังยุ่งทำโน้นที่ทำนั่นที เขาอ้าปากถามขึ้นว่า“เสี่ยวหร่าน ชายคนนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอเลย หรือว่าเธอคิดที่จะเลี้ยงเขา?คุณหมอก็พูดแล้วว่า บางทีชาตินี้เขาอาจจะไม่พื้นขึ้นมาแล้วก็ได้”
“แล้วยังไงล่ะ?ในทางกลับกันฉันเลี้ยงเขาได้และกัน”เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างไม่มีความรู้สึกอะไร“ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ฉันจะทำเรื่องพวกนี้ ฉะนั้นแล้วฉันจะล้มเลิกกลางทางไม่ได้จริงไหม”
“เสี่ยวหร่าน เรื่องนี้เธอลองคิดดูอีกที……”
เสี่ยวซีหร่านตัดบทของเขาทันทีพร้อมกับพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า“เจี๋ย เรื่องนี้ฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว ”
“แต่ว่าต่อไปเธอต้องแต่งงานนะ”
เสี่ยวซีหร่านยื้มแล้วพูดขึ้นว่า“เจี๋ย ปีนี้ฉันพึ่งจะอายุยี่สิบห้า นายก็จะพูดเรื่องแต่งงานกับฉันแล้วหรอ?ถ้าพูดกันตรงๆแล้ว ใครเป็นคนกำหนดว่าผู้หญิงจะต้องแต่งงานล่ะ?ฉันสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ต้องการเรื่องบนเตียงก็แค่โทรศัพท์หาผู้ชายสักคน แล้วจำเป็นอะไรที่จะต้องแต่งงงาน?”
เจี๋ยมีใบหน้าที่เอือมระอา“ก็ได้ๆ เธออยากทำอะไรก็เชิญเลย งั้นฉันไปก่อนล่ะ”
เรื่องก็เป็นแบบนี้ มู่เทียนเย่ได้กลายเป็นแขกคนสำคัญของเสี่ยวซีหร่านหญิงจากตระกูลสูงศักดิ์ของเมือง G และกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่ผู้ชายหลายคนอิจฉาริษยา เพียงแต่ว่าเขายังไม่รู้ตัว
……
คฤหาสน์ตระกูลเย่
ตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น มู่เวยเวยพึ่งจะได้สติขึ้นมา เห็นเย่ฉ่าวเฉินอยู่ตรงหน้า เธอก็ไม่พูดจาอะไรเลยสักคำ หลับตาลงแล้วนอนต่อ
มันต้องเป็นฉากหนึ่งในความฝันแน่ๆ เธอจำได้ชัดเจนว่าวันนั้นเธอได้กรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย ตอนนี้ควรจะอยู่ในนรกแล้ว ทำไมถึงยังได้มองเห็นเย่ฉ่าวเฉินอยู่อีกล่ะ?
“เวยเวย เธอไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวันแล้ว ทานอะไรหน่อยสิ”
ทำไมถึงยังได้ยินเสียงพูดของเขาอีกอยู่ล่ะ?
“เวยเวย เธออยากจะตบจะตีหรือต่อว่าฉันก็เชิญได้เลย ฉันรับได้ทั้งหมด อย่าทรมานตัวเองจะได้ไหม?”
มู่เวยเวยจึงรู้ได้ทันทีว่า ความจริงแล้วเธอยังไม่ตาย เธอเพียงแค่ต้องการที่จะหลีกหนีไปจากโลกใบนี้ แต่ทำไมเธอถึงได้ทำไม่สำเร็จล่ะ?
“เวยเวย ทานอาหารสักคำได้ไหม?คิดซะว่าทำเพื่อลูก”
เมื่อได้ยินคำว่าเพื่อลูกสองคำ มู่เวยเวยก็เบิกตาโตขึ้น ยกข้อมือที่มีผ้าพันแผลขึ้นมาดูพร้อมกับแสยะยิ้มด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด“เย่ฉ่าวเฉินฉันฆ่านายไม่ได้ แต่ถ้าฆ่าลูกของนายได้ ก็เท่ากับว่าได้แก้แค้นนายยังไงล่ะ แต่ว่าเรื่องเล็กๆแบบนี้ ฉันกลับทำไม่สำเร็จ นายทำไมต้องช่วยฉัน ?ให้ฉันตายไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับนายงั้นหรอ?”
“เวยเวย นี่ไม่ใช่แค่ลูกของฉันเพียงคนเดียว เขาก็เป็นลูกของเธอด้วย”เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
มู่เวยเวยแสยะยิ้มด้วยท่าทีประหลาดและความเย็นชา“ที่ฉันไม่ต้องการเขา นั่นก็เป็นเพราะว่าคุณบีบบังคับให้ฉันต้องทำ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาที่เศร้าหมอง แท้จริงแล้วตัวเองเป็นคนบีบให้เธอต้องทำอย่างนั้น และตอนนี้เขาไม่มีปัญญาที่จะบีบบังคับให้เธอทำอะไรอีกต่อไปแล้ว
เมื่อก่อนนี้ เขาสามารถข่มเหงในศักดิ์ศรีของเธอ ใช้ความตายของมู่เทียนเย่มาขู่บังคับเธอ ให้เธอต้องทำในเรื่องที่เธอไม่ต้องการที่จะทำ ถึงวันนี้ เธอไม่มีจุดอ่อนให้เขามารังแกแล้ว แม้แต่ลูกแท้ๆของเธอเองเธอยังไม่ต้องการ แล้วเขายังจะเหลืออะไรที่พอจะโน้มนาวเธอได้อีก
“เย่ฉ่าวเฉิน พวกเราหย่ากันเถอะ”มู่เวยเวยพูดขึ้นอย่างกะทันหัน เธอต้องการที่จะตาย แต่เธอไม่ต้องการที่จะตายที่บ้านของพวกตระกูลเย่ เธอไม่อยากเห็นป้ายหลุมศพที่เขียนคำว่าภรรยาของเย่ฉ่าวเฉินที่เป็นตัวหนังสือไม่กี่คำพวกนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วต่อให้เธอลงนรกไปแล้ววิญญาณของเธอก็คงจะไม่มีความสุขหรอก
เยฉ่าวเฉินมีสีหน้าที่เย็นชาขึ้น พร้อมกับพูดปฎิเสธอย่างไม่ลังเลใจ“ฉันไม่มีทางที่จะหย่ากับเธอแน่นอน”
มู่เวยเวยหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “เหอะๆ เย่ฉ่าวเฉิน ระหว่างคุณกับฉันมันมีความแค้นลึกถึงเลือดถึงเนื้อ แล้วทำไม่คุณยังจะมาปกป้องการแต่งงานแบบนี้ของพวกเราอยู่อีกล่ะ ?เย่ฉ่าวเฉิน เพื่อลูกแล้ว นายปล่อยฉันไปจะได้ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องที่ตาของเธอไม่ขยับ “เวยเวย นอกจากเรื่องการหย่าและเรื่องการตายสองเรื่อง เรื่องอื่นๆฉันล้วนแต่จะยอมทำตามที่เธอขอทุกอย่าง”
“ไม่ก็ตาย ไม่ก็ปล่อยให้ฉันไปจากที่นี่ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการที่จะทำ”เพราะเธอไม่อยากแม้แต่จะมองเห็นเขา ทุกครั้งที่มองเขาหน้าของพี่ชายก็จะลอยขึ้นมา
“ไม่ เธอยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง ”เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้นมาทันที“คลอดเด็กออกมาก่อน แล้วฉันจะปล่อยให้เธอไป”
“เหอะๆ เย่ฉ่าวเฉินคุณโกหกฉันไม่ได้หรอก คุณคิดว่าฉันโง่มากเลยหรือยังไง ?ถ้าเด็กคลอดออกมาแล้ว ฉันยังจะไปได้อีกหรอ?ถึงตอนนั้นคุณก็จะพูดกับฉันแน่นอนว่า รอให้ลูกโตก่อน……”
เย่ฉ่าวเฉินยืนขึ้น เดินลงน้ำหนักที่ฝีเท้าออกไปทางด้านนอก “เชื่อไม่เชื่อมันก็เรื่องของเธอ ฉันจะให้แม่บ้านฉินเอาข้าวเข้ามาให้”
เพียงแค่รู้ว่าในหัวของเธอคิดอะไรอยู่ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง
มู่เวยเวย เธอต้องการที่จะให้ฉันปล่อยเธอไป ?แล้วมีใครบ้างล่ะที่คิดจะปล่อยฉันอยู่ต่อไป?
อย่างไรก็ตามเรื่องมันผิดมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว งั้นก็ให้มันผิดต่อไปเถอะ
มู่เวยเวยมองขึ้นดูที่เพดาน ตาของเธอก็รู้สึกแสบขึ้นมา เธออยากจะร้องไห้ แต่ว่าตอนนี้เธอไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมาแล้ว
ไม่นาน แม่บ้านฉินก็ยกอาหารขึ้นมา และวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง เธอมองมู่เวยเวยด้วยสายตาที่รักใคร่เอ็นดู เบ้าตาก็มีน้ำตาซึมๆออกมา “เด็กดี ทำไมถึงได้ทำร้ายตัวเองแบบนี้ ?มีเรื่องอะไรทำไมถึงได้ไม่พูดกันดีๆล่ะ?”
มู่เวยเวยหัวเราะออกมาหนึ่งครั้งเหมือนคนเสียสติ “แม่บ้านฉิน ฉันอยู่ที่นี่……”เธอทุบแล้วทุบอีกที่หน้าอกด้านซ้ายพร้อมกับพูดต่อว่า“ตรงนี้มันว่างเปล่าแล้ว อะไรก็ไม่มีเหลือแล้ว งั้นมีชีวิตต่อไปจะมีความหมายอะไร?”
แม่บ้านฉินเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากบริเวณมุมตา “เด็กน้อย เธอพึ่งจะอายุเท่าไหร่เองก็จะพูดคำว่ามีชีวิตต่อไปจะมีความหมายอะไร ฉันแม่บ้านฉินมีชีวิตมาถึงหกสิบกว่าปีแล้ว ยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ คนอื่นล้วนแต่พูดกันว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากบนโลกนี้ดีกว่าต้องตายไป ตลอดชีวิตของคนเราไม่มีอะไรที่ลำบากขนาดที่จะก้าวข้ามผ่านไปไม่ได้”
“แม่บ้านฉิน สิ่งที่คุณพูดฉันเข้าใจ แต่ฉันไม่อยากจะใช้ชีวิตที่มันลำบากแบบนี้ ฉันรู้สึกเหนื่อยมากๆแล้ว”
แม่บ้านฉินกุมมือที่เย็นของมู่เวยเวยเอาไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันรู้ดี ถ้าเหนื่อยแล้ว ก็หยุดพัก ถึงเวลากินก็ต้องกิน ถึงเวลานอนก็ต้องนอน ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรแล้ว แม้ว่าเธอไม่อยากที่จะใช้ชีวิตที่ลำบากนี้แล้ว เวลาจะเป็นคนผลักเธอให้ข้ามผ่านไปได้”
ความอบอุ่นเริ่มที่จะกลับมานิดหน่อย ราวกับว่าได้เปิดบ่อน้ำตาของเธอขึ้น รอบๆตาของเธอเริ่มมีความชุ่มชื้น
“เด็กดี ตลอดชีวิตของคนเรามีใครไม่มีอุปสรรค์บ้างล่ะ?ทุกๆคนก็ต้องเดินไปข้างหน้า ฟังคำพูดของแม่บ้านฉินนะ ใช้ชีวิตให้ดีๆ ต่อไปรอถึงตอนที่เธอแก่ แล้วหันกลับมามองชีวิตช่วงที่ผ่านความลำบากมาได้ เธอก็จะรู้เองทันทีว่าเรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องคลื่นลมเล็กๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา และไหนยังจะพ่อแม่ของเธอก็คงไม่อยากเห็นเธอในสภาพแบบนี้แน่”
ทันใดนั้นตาที่ชุ่มๆของเธอก็เริ่มมีน้ำกลิ้งไหลลงมา ทำให้ปอยผมของเธอเปียกเล็กน้อย
แม่บ้านฉินใช้มือหยาบๆเช็ดน้ำตาให้กับเธอ พร้อมกับพูดด้วยความหวังดีว่า “เด็กดี อย่าร้องไห้เลย ทานอาหารสักหน่อยไหม?ไม่ว่าเธอตอนนี้อยากจะทำอะไร ก็ต้องมีเรียวแรงซะก่อน”
มู่เวยเวยค่อยค่อยกลืนน้ำตาลง
แม่บ้านฉินเห็นเธอไม่ปฎิเสธ ก็พยุงตัวของเธอลุกขึ้นมาจากเตียง จากนั้นก็รินซุปที่ตุ๋นจากRไป๋กับปลาจากหม้อซุปลงใส่ถ้วย ความร้อนกำลังพอดี
“นี่คือซุปที่ฉันตุ๋นเมื่อตอนบ่าย ดื่มสักหน่อยเถอะ ”แม่บ้านฉินใช้ช้อนตักน้ำซุปป้อนไปที่ปากของเธอ มู่เวยเวยอ้าปากทานซุปลงไป
ซุปปลาที่รสชาติกลมกล่อมและอุ่นกำลังดีหล่อลื่นคอที่กำลังแห้งและลงไปในกระเพาะที่ว่างเปล่า ดูเหมือนกับว่าอวัยวะภายในร่างกายทั้งหมดได้รับการหล่อเลี้ยง เสียงร้องเอะอะ และความตื่นเต้น เธออยากที่อยากจะทานอีก
“อันที่จริงแล้ว ตอนที่ฉันยังเป็นสาว ฉันก็มีลูกสาวหนึ่งคน”แม่บ้านฉินป้อนเธอเข้าไปอีกคำ และเห็นว่าเธอกำลังเงยหน้าขึ้นมาตัวเองอยู่ เธอพูดต่อไปว่า“ปีนั้นฉันอายุ26ปี ลูกสาวของฉันยังมีอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ ตาโตๆ เวลายิ้มออกมาชั่งดูน่ารักน่าชัง ชื่อเล่นว่าจิ่วเยว่ นั่นเป็นเพราะเธอเกิดในเดือนเก้า”
“เธอ……ตอนนี้……”มู่เวยเวยถามเธอ
“เธอตายไปแล้ว”แม่บ้านฉินมีความโศกเศร้า ดวงตาของเธอมีน้ำตาซึมๆออกมา“ฉันยังจำได้ว่า ตอนนั้นเป็นช่วงของฤดูร้อน ฝนตกหนักหลายวันติดกัน ข้างในบ้านมีน้ำไหลเข้ามา เตียงเอย ผ้าห่มเอย ของทุกอย่างเปียกไปหมด ตามร่างกายของเสี่ยวจิ่วเย่วมีผื่นขึ้นเต็มไปทั่ว เมื่อเธอคันเธอก็จะร้องไห้ขึ้นมาตลอด ทำให้ฉันรู้สึกสงสาร จึงให้พ่อของลูกดูแลเธอ และตัวฉันเองก็วิ่งตากฝนออกไปซื้อยา……นึกไม่ถึงเลยว่า……”
นานแล้วที่แม่บ้านฉินไม่ได้เล่าถึงเรื่องเก่าเรื่องนี้ ตอนนี้พูดขึ้นมา เหมือนกับว่าภาพมันติดอยู่ที่ตา เธอใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบลงมาและพูดต่อว่า“ระหว่างทางที่ฉันซื้อยากลับมา ก็มองเห็นหมู่บ้านเล็กๆของฉันจากระยะไกลๆ ฉันรีบวิ่งเข้าไปดู ก็พบว่าเกิดดินทะล่มลงมาทับลงทมบ้านของฉัน ……จิ่วเย่วและพ่อของเธอออกมาไม่ทัน……”
มู่เวยเวยรู้สึกใจเต้นแรง หรือว่าที่เธอไม่เคยเห็นแม่บ้านฉินกลับบ้าน แท้จริงแล้วแม่บ้านฉินไม่มีให้บ้านกลับไปตั้งนานแล้ว
“หลังจากนั้น คุณปู่กับคุณย่าของจิ่วเย่วก็ขับไล่ฉันออกไปจากบ้าน ฉันจึงได้มาเข้ามาหางานทำในเมือง หางานมาตั้งหลายเดือน และลำบากมาตั้งหลายหน ตอนนั้นฉันก็มีความคิดแบบเดียวกันเธอ ต้องการที่จะตายไปให้พ้นๆ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็หยุดความคิดนั้นลงและยังได้พบกับท่านผู้หญิง ท่านรับฉันเข้ามาอยู่ที่บ้านตระกูลเย่”
“งั้นหลังจากนั้นคุณก็ไม่ได้แต่งงานหรอ?”มู่เวยเวยถามด้วยความไม่เข้าใจ
เมื่อแม่บ้านฉินเช็ดน้ำตาเสร็จ ก็ถอนหายใจและพูดขึ้นว่า“ท่านผู้หญิงท่านเป็นคนมีจิตใจเมตตา แนะนำผู้ชายให้กับฉันหนึ่งคน พูดแล้วก็แปลกพอกำลังจะพูดคุยเรื่องการสู่ขอแต่งงาน สุดท้ายเขาก็ถูกรถชนแขนขาขาด ทุกคนจึงพูดว่าฉันเป็นตัวกินสามี ต่อมาฉันก็ไม่มีใจที่จะไปหาใครอีกแล้ว ทำไมต้องไปทำร้ายคนอื่นอีกล่ะ?ดังนั้น คนเราไม่ว่าจะตอนไหนก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป เพียงแค่มีชีวิตอยู่ถึงจะมีความหวัง ถ้าหากว่าตายไปแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเหลืออีกเลย ”
จากวันนั้น ตระกูลเย่ก็กลายเป็นบ้านของแม่บ้านฉิน ญาติสนิทเพียงคนเดียวของเธอก็คือคนในกระกูลเย่ เรื่องเล่าที่น่าเศร้าใจได้ถูกเล่าจนถึงตอนจบ พร้อมกับซุปปลาในถ้วยที่มองเห็นเพียงก้นถ้วย