วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 160 กลอุบายสาวงาม ฉันต้องการไปจากคุณ

เย่ฉ่าวเฉินรีบควักปืนออกมา จ่อไปที่สมองของมู่เทียนเย่ แล้วพูดว่า “ไสหัวออกไปจากคฤหาสน์ของฉัน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะยิงนายตาย”

มู่เวยเวยมองเขาด้วยความมึนงง “เย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องการฆ่าพี่ชายฉัน ถ้าเช่นนั้นลงมือฆ่าฉันก่อนเลย”

เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันดังกรอดแต่ไม่ได้มองหน้าเธอ เขานึกภาพออกถึงการแสดงสีหน้าเธอ ที่ไม่มองเพราะเขาไม่อยากเจ็บปวดหัวใจไปมากกว่านี้

อันที่จริง ตั้งแต่ที่เย่ฉ่าวฉ่าวเหยียนกลับมาในช่วงเวลานั้น เขากับมู่เทียนเย่ก็ไม่ได้โกรธแค้นกันถึงขนาดนั้น อยากไปเจอเขาตลอด เป็นความรู้สึกที่ในใจเหมือนพนันอยู่ ไม่ไปหาเขาระบายสิ่งนี้ออกมา ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด

ฆ่าเขา? ถ้าเขายังชอบมู่เวยเวยอยู่ เขาก็ไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้อีก

พูดคำร้ายกาจออกไป ก็เพื่อที่จะให้เขาออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ ออกไปจากมู่เวยเวย

มู่เทียนเย่ไม่ได้ตกใจอะไรมาก เขาเคยเจอดาบปืนมีดมาตั้งนานแล้ว เขาไม่แม้แต่จะให้ค่ามองแค่เพียงรอบเดียว พูดกระตุ้นว่า “เย่ฉ่าวเฉิน นายคิดว่าทำอย่างนี้แล้วฉันจะกลัวนายเหรอ ยังมีลูกน้องโง่เขาพวกนี้อีก? คนพวกนี้ยังไม่พอฉันแคะฟันเลย นายดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเขาพูดความจริง ต่อให้เขาฆ่าที่หัวใจ ต่อให้ปืนกี่กระบอกเล็งใส่มู่เทียนเย่ เขาก็สามารถที่จะหลบหนีไปได้

“มู่เทียนเย่ ฉันรู้ว่านายเก่ง แต่ว่าถ้าหากนายฆ่าคนพวกนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้า นายคิดว่าเวยเวยมีความสุข?”

ดวงตาคู่นั้นของมู่เวยเวยมองมู่เทียนเย่ ในแววตามีแต่ความขอร้องอ้อนวอน “พี่ พี่ไปก่อนเถอะ ไม่ต้องฆ่าคนอื่นเพื่อฉัน” โดยเฉพาะในนี้ยังมีคนที่เธอห่วงใยอยู่

มู่เทียนเย่ถอนหายใจลึก มองมู่เวยเวยด้วยความสงสัย พูดอย่างประนีประนอมว่า “ได้ พี่สัญญากับเธอ แต่ว่าเย่ฉ่าวเฉิน เรื่องที่เคยทำกับเวยเวย ต้องมีสักวันหนึ่งที่ฉันจะคืนกลับไปให้นายเท่าตัวเลย”

มู่เทียนเย่นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เขาตรวจสอบก็โมโหเดือดดาลขึ้นมา เขาไม่มีทางเชื่อ พ่อแม่กับน้องสาวที่ตัวเองรัก นึกไม่ถึงว่าจะถูกตระกูลเย่กระทำเช่นนี้ ช่วงเวลานั้น เขาเกลียดจนอยากพามู่เวยเวยออกไปรวมถึงทำให้เย่ฉ่าวเฉินละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ

ถูกแหย่ให้เจ็บปวดที่สุด เย่ฉ่าวเฉินดวงตาเปลี่ยนเป็นสีม่วงอยู่สักพัก ปากไม่ยอมถอยให้แม้สักนิด “มู่เทียนเย่ เรื่องที่ฉันทำฉันยอมรับผลที่ตามมา ตอนนี้ เลือกเอาว่าจะขึ้นรถรีบไสหัวไปทันที หรือจะให้ฉันส่งนายไปเจอพญายมทันที”

มู่เทียนเย่ไม่ใช่คนโง่ ถึงอย่างไรเขาก็กลับมาแล้ว วันนี้ไม่ได้ ยังมีวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ถัดจากมะรืนนี้ต้องมีสักวันหนึ่งที่สำเร็จ

แม้ว่ามู่เวยเวยอยากจะไปจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ แต่เธอก็ไม่อยากให้มู่เทียนเย่ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเธอ ฝืนยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เธอพูดว่า “พี่ อย่างนั้นก็เอาอย่างที่พูดนะ?”

“อืม พูดแน่ชัดแล้ว พี่เคยโกหกเธอเมื่อไหร่กัน?” มู่เทียนเย่ไม่กลัวสายตาข่มขู่ของเย่ฉ่าวเฉิน เดินมาลูบกระหม่อมมู่เวยเวย “ดูแลตัวเองดีๆ รู้ไหม?”

มู่เวยเวยรู้สึกแสบจมูก แต่ทว่าก็ยังยิ้มออกมาอย่างสดใส “วางใจได้ ฉันจะดูแลตัวเองดีๆ”

“มู่เทียนเย่ นายยังไม่ไสหัวไปอีก?”เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความโกรธ มู่เทียนเย่เห็นเขาไปอากาศเหรอ? อยู่ต่อหน้าเขานึกไม่ถึงว่าจะพูดคำประเภทนี้?

มู่เทียนเย่เงยศีรษะมองเย่ฉ่าวเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที “หลังจากที่ฉันไปถ้านายยังทำอะไรให้มู่เวยเวยลำบากใจอีก ฉันจะทำให้นายอยู่อย่างไม่สงบสุขแน่นอน”

“ฉันไม่มีทางทำให้เธอลำบากใจ”เย่ฉ่าวเฉินสัญญากับเขา

“อย่างนั้นก็ดี” มู่เทียนเย่พูดจบ เปิดประตูรถเดินขึ้นไป

เสียงรถดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินโบกมือให้บอดี่การ์ดหลีกทางให้หมด เสียงรถปอร์เช่ คาเยนน์ออกไปอย่างรวดเร็ว

รอจนรถหายไปลับสายตา เย่ฉ่าวเฉินก็ทรงตัวไม่ได้แล้ว “แหวะ” เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือด ดวงตาคู่นั้นค่อยๆเปลี่ยนสีทีละนิด

พ่อบ้านหวางตกใจรีบวิ่งมาพยุงเขา “คุณชาย คุณชาย” คุณอดทนไว้นะ ผมจะไปตามหมอหานมา

“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องเรียกเขา” เย่ฉ่าวเฉินเช็ดเลือดที่ริมฝีปาก หลังจากนั้นวางแขนพาดไหล่มู่เวยเวย พูดกับเธอเสียงต่ำว่า “พยุงฉันเข้าไปด้านใน”

มู่เวยเวยมองเขาอยู่สักพักหนึ่ง ใจจิตสับสนว้าวุ่นวางมือบริเวณเอวของเขา พาเขาเดินขึ้นบันไดไป

หรืออาจจะเป็นเพราะเขาปล่อยพี่ชายเธอไป หรืออาจจะเพราะในใจลึกๆไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องส่วนตัวของเขา

เข้ามาภายในห้องนอน เย่ฉ่าวเฉินล้มนอนลงบนเตียง สีหน้าซีดขาว

ไม่บ่อยครั้งที่มู่เวยเวยจะแสดงความเป็นห่วง “คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

เย่ฉ่าวเฉินหลับตาลง รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา พูดด้วยเสียงอิดโรยว่า”ชั่วพริบตาเดียวก็เปลียนแปลงไป สิ่งนี้การทำงานมีลักษณะเฉพาะ ฉันไม่เคยใช้มาก่อนและพยายามหลีกเลี่ยงเสมอ”

มู่เวยเวยพอได้ฟังสาเหตุนี้ นั่งลงบนโซฟาอย่างไม่พอใจ พูดเสียงกดต่ำ” ไม่เคยใช้มาก่อนก็ไม่ควรที่จะใช้มั่ว ” ยังมีอีกคำที่เธอยังไม่ได้พูดออกมา รีบวิ่งกลับมาเพราะอะไร? ทำให้เธอหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้

ถ้าเมื่อก่อนเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น มู่เวยเวยที่อยู่ในกำมือของเย่ฉ่าวฉ่าวเฉินไม่เพียงหมดสติไปหลายรอบ ตอนนี้ ภายในใจของเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกยินดีปรีดาและยังมีความเสียใจอยู่ ที่เสียใจคือเธอคิดที่จะหนีไปจากเขา ที่ยินดีปรีดาคือ เขายังมีการทำงานที่แปลกเฉพาะตัว เวลาที่เธอจะหนีไปเขาก็ยังที่จะรักษาเธอไว้ได้อยู่

แต่ว่า ครั้งนี้โชคดี ครั้งหน้าล่ะ เพียงแค่เธออยากจะหนีไปจากเขาบวกกับมีมู่เทียนเย่เข้ามา เขาต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดไว้ได้?

อยากให้เธออยู่ที่นี่ ลงมือทำรุนแรงก็ไม่ได้ ต้องทำให้เธอสมยอมพร้อมใจเอง

พอพิจารณาดูแล้ว เย่ฉ่าวเฉินคิดว่า ต้องพูดกับเธอตรงไปตรงมาสักครั้ง แต่ก็กลัวที่จะเสียเกียรติความเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่เป็นไร? ถึงอย่างไรเขาก็ยังเคยเหยียบเธอให้ต่ำลงอยู่ใต้เท้าของเขา ตอนนี้ก็คืนให้กับเธอไป

ตัวเองเป็นคนปลูกผลไม้นี้ ต่อให้ขมอย่างไรก็ต้องฝืนกลืนลงไป

ตอนนี้โลกจะตอบสนองเขา แต่ก็คงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง

ดิ้นรนลุกขึ้นจากเตียง เย่ฉ่าวเฉินจะมองเข้าไปในดวงตาของมู่เวยเวย พูดด้วยความจริงใจว่า”เวยเวย เธอให้โอกาสฉันอีกสักครั้งได้ไหม? ”

มู่เวยเวยได้ยินเขาพูดคำนี้ออกมาอย่างกะทันหันอยู่ในสภาวะพูดไม่ออกนิ่งมึนงงไป คำพูดที่ดูหน้าสงสารและจนตรอกของคนตรงหน้าเธอนี้ใช่เย่ฉ่าวเฉินคนนั้นจริงๆเหรอ?

สวรรค์รู้ คาดไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเฉินจะใช้คำพูดที่น่าสงสารนี้ออกมา

มู่เวยเวยไม่ได้พูดอะไร เย่ฉ่าวเฉินเดินกลับไป คุกเข่าลงที่พรม สองมือจับที่มือของเธอไว้ พูดอีกว่า”ฉันขอโทษเธอนะ เรื่องที่ผ่านมาเป็นความผิดของฉัน ฉันปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งหมดเป็นความผิดฉัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่มานั่งคิดว่าเธอให้ครั้งแรกกับฉันไหม ฉันแค่อยากให้เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ฉันสาบาน ฉันจะทำดีกับเธอให้มากๆ”

ถ้าหากจะบอกว่ามู่เวยเวยไม่ได้รู้สึกกับคำพูดของเขาในครั้งนี้ ก็คงจะเป็นการโกหก นับว่ารู้สึกดีอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่มีทางทำให้เธอเปลี่ยนใจ

หัวใจของเธอด้านชาไปตั้งนานแล้ว คำพูดที่หวานหอมเหมือนน้ำผึ้งกับคำสาบานจะมาใช้เปลี่ยนหัวใจที่ตายด้านของเธอ?

มู่เวยเวยถอนหายใจลึก มองที่ดวงตาคู่สีม่วงของเขาอย่างเย็นชา “เย่ฉ่าวเฉิน ในโลกนี้มีผู้หญิงที่ดีอยู่มากมาย พวกเขาน่ารักจิตใจดี สะอาดบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงยังดึงรั้งฉันไว้ไม่ปล่อยสักที?”

“เพราะว่าฉันรักเธอเข้าแล้ว ” เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมา แววตาคู่สีม่วงสั่นไหว

มู่เวยเวยเหมือนถูกผึ้งต่อยไปครึ่งร่างกายมึนงงเดินถอยหลังกลับไป มองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาดใจ “เย่ฉ่าวเฉิน คุณบ้าไปแล้ว?”

“เธอพูดถูก ฉันบ้าไปแล้ว ถ้าหากไม่บ้าจะรักเธอได้อย่างไร?” อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างตื่นตระหนก

“เย่ฉ่าวเฉิน…..คุณรู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร? คุณใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยมาพูดกับฉัน” มู่เวยเวยพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟา แต่ทว่ากับถูกเย่ฉ่าวเฉินกดลงไป

“เวยเวย ตอนนี้ฉันใจเย็นมากแล้ว ฉันรู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่” เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป และพูดอีกว่า “ฉันไม่อยากให้เธอไปจากฉัน ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเธอป็นภรรยา แต่เป็นเพราะฉันรักเธอ”

เป็นครั้งแรกที่เย่ฉ่าวเฉินพูดแสดงออกความรู้สึกกับผู้หญิงอย่างตรงไปตรงมา หัวใจของเขาเหมือนขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ เขาพูดอย่างยากลำบาก แต่ว่าเขาจำเป็นต้องพูด

มู่เวยเวยรู้สึกว่าสมองกำลังรู้สึกสับสน “เย่ฉ่าวเฉิน…..คุณ คุณไม่รู้สึกว่าคำพวกนี้หลุดออกมาจากปากคุณมันเป็นเรื่องน่าตลก?คนที่คุณรักควรที่จะเป็นเฉียวซินโยว? คุณจะรักฉันได้อย่างไร?”

“เรื่องของฉันกับเฉียวซินโยวครั้งนั้นเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ฉันแค่รู้สึกดีกับเธอนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่ารักเธอ ” เย่ฉ่าวเฉินพูดเพื่อล้างมลทินให้กับตัวเอง

ถ้าหากไม่เกิดเรื่องขึ้นที่โรงแรมครั้งนั้น ผู้หญิงอย่างเฉียวซินโยวไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลยและก็จะไม่มีความรู้สึกผิดทีหลังกับการทำร้ายกันเกิดขึ้น ตอนนี้มาเสียใจทีหลังก็ไม่ได้ช่วยอะไร

“ห้ะ เย่ฉ่าวเฉินคุณพูดคำพวกนี้ออกมาไม่รู้สึกอับอายเหรอ?”

“เวยเวย ฉันต้องทำอย่างไรเธอถึงจะให้อภัย?” เย่ฉ่าวเฉินคาดไม่ถึง เขาเป็นถึงผู้บริหารเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป วันหนึ่งก็ยังต้องมาคุกเข่าต่อหน้าผู้หญิงเพื่อขอร้องให้เธออภัยให้

อย่างไรก็ตามความรักเป็นเรื่องที่ทำให้คนคาดไม่ถึง ในระหว่างที่เธอกำลังเกลียดเขา แต่ทว่าเขาดันหลงรักเธอ

มู่เวยเวยผงกศีรษะ “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันเคยพูดแล้ว ฉันไม่ให้อภัยคุณและไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม ”

เย่ฉ่าวเฉินเหมือนถูกมีดแทงลงมาที่หัวใจ ทุกครั้งที่หายใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาผ่อนลมหายใจพูด “ตกลง เธอไม่ให้อภัยฉันก็ไม่เป็นไร แต่อยู่ที่นี้ได้ไหม? เหมือนกับตอนนี้ เธอทำงานออกแบบที่เธอรัก ฉันจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของเธอ เพียงแค่เธออยู่ที่นี่ เธออยากทำอะไรก็ได้หมด ตกลงไหม?”

มู่เวยเวยอยากพูดออกมาว่าไม่ได้ แต่มองสายตาคู่สีม่วงของเขาที่มีแต่ความน่าหลงไหลทำให้เธอไม่สามารถที่จะอ้าปากได้

บรรยากาศแทบจะแข็งตัว

เวลาผ่านไปหนึ่งนาทีหนึ่งวินาที เย่ฉ่าวเฉินรอนานมาก มู่เวยเวยไม่ได้ผงกศีรษะตอบตกลง แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ส่ายศีรษะปฏิเสธ นี่ใช่หรือไม่ใช่ว่าเขายังมีโอกาสอยู่?

…………..

ผ่านช่วงเวลาที่มู่เทียนเย่มาก่อกวน บอดี้การ์ดของคฤหาสน์ตระกูลมู่ต้องเข้มงวดขึ้น รถแต่ละคันที่เข้าออกก็จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ขนาดทุกครั้งเวลาที่เย่ฉ่าวเฉินออกจากคฤหาสน์ก็ยังต้องลดกระจกลง

เกี่ยวเนื่องจากมู่เทียนเย่ปรากฎตัวกะทันหัน ทำให้พ่อบ้านหวางสั่งที่สนามว่าทุกคนห้ามประมาทแม้แต่ครึ่งก้าว

บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขันครั้งสุดท้ายของการประมูลวันนี้อยู่ช่วงเช้าเวลาเก้าโมงตรง เย่ฉ่าวเฉินจำเป็นต้องไปเอง และทางฝั่งของบริษัทมู่ซื่อ มู่เทียนเย่ก็จะต้องไป

กำลังจะไป เย่ฉ่าวเฉินได้ให้จางเห่ออยู่ “ฉันไม่อยู่ ห้องทำงานห้ามให้คนเข้าไป มู่เวยเวยต้องการอะไรก็ต้องรอให้ฉันกลับมาก่อน”

“ครับ คุณชาย”

ถึงงานประมูล เย่ฉ่าวเฉินเจอมู่เทียนเย่อยู่ที่หน้าประตู มู่เทียนเย่ใส่สูทกับรองเท้าหนัง ด้านหลังของเขาคือผู้จัดการบริษัทที่เข้ามาใหม่ แต่ละคนมองแล้วดูไม่ธรรมดา เดินมาปะทะหน้ากัน ทำให้คนรู้สึกกดดัน

เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ที่บันไดก้มลงมองเขา “ประธานมู่ ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้เจอกันเร็วอย่างนี้”

“ใช่ ฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน” มู่เทียนเย่จ้องมองดวงตาคู่สีฟ้าของเขา มีความรู้สึกที่คาดไม่ถึง

วันนั้นหลังจากออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ เขาสั่งให้คนนำรูปทั้งหมดในช่วงหนึ่งปีที่เกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินมาให้ ในรูปเป็นตาสีฟ้า ทำไมวันนั้นเป็นสีม่วง? และอีกอย่างดูเหมือนว่ามู่เวยเวยไม่ได้แปลกใจอะไร สรุปว่าเขาซ่อนความลับอะไรในตัวของเขาอยู่?

“ประธานมู่ วันนี้พวกเราเย่ฮวางชนะแน่นอน ผมคิดว่าพวกคุณตระกูลมู่ควรที่จะกลับไปทำการแปรรูปอาหาร ทำไมจะต้องเอาเท้ามาปะปนกับอสังหาริมทรัพย์?” เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปพร้อมกับพูดถากถางอย่างเยือกเย็น

มู่เทียนเย่และคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินเข้าไป พูดด้วยความอวดดีว่า”เพราะว่าพวกคุณเย่ฮวางเข้าร่วมงานประมูลนี้ ผมก็คิดแค่ว่ามาเล่นๆเท่านั้น แพ้ก็ไม่ได้อะไร ในกรณีที่พวกเราชนะแค่ทำให้คุณโมโหก็ยังดี”

เย่ฉ่าวเฉินนับว่าอยู่ในสนามการแข่งขันมาหลายปี เหตุผลที่เอาแต่ใจในการประมูลเขาเพิ่งจะได้ยินครั้งแรก เรื่องจริง……โกรธมากจริงๆ

งานประมูลใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมปรบมือพร้อมเพรียงกัน เย่ฉ่าวเฉินเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รองผู้บริหารกับคนตำแหน่งสูงจำนวนหนึ่งของบริษัทเดินตามหลังเขาออกมา สีหน้าดูไม่ได้

ต่างจากมู่เทียนเย่ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“มู่ ชนะการประมูลแค่เล็กๆ จำเป็นต้องมีความสุขขนาดนั้นไหม?” ด้านหลังของเขามีต่างชาติคนหนึ่งผมเหลืองจมูกโด่งถามเขา ผู้ชายท่านนี้คือผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทซื่อมู่ที่เขารับมาใหม่

มู่เทียนเย่ลูบบริเวณไหล่ของชายคนนั้น มองไกลๆเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่อารมณ์หงุดหงิดอยู่ ยิ้มอย่างสะใจ “คุณไม่เข้าใจหรอก ผมอยากทำให้เขารู้ พวกเราตระกูลมู่ไม่ใช่ว่าเขาอยากกลั่นแกล้งก็กลั่นแกล้งได้”

ด้านนี้ มีคนจำนวนหนึ่งกลับไปที่บริษัทเพื่อจะประชุม รองผู้บริหารของเย่ฮวางโยนเอกสารลงบนโต๊ะ เขาโมโหจนแทบระเบิด ยุ่งอยู่กับงานนี้เกือบสองสามเดือน นึกไม่ถึงว่าจะถูกมู่เทียนเย่แย่งไป แต่ทว่ามู่เทียนเย่ใช้เวลาแค่หนึ่งอาทิตย์

“ในนี้ต้องมีอะไรที่ผิดพลาด ราคาการประมูลที่ต่ำสุดของบริษัทมู่ซื่อจะใกล้เคียงกับงบประมาณได้อย่างไร เพียงแค่ต่างสองตำแหน่ง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ”

เย่ฉ่าวเฉินนั่งสูบบุหรี่บนเก้าอี้ เขาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าผลออกมาอย่างนี้แล้ว

“และอีกอย่าง มู่ซื่อทำไมรู้หนังสือการประมูลราคาของเราอย่างละเอียด คาดว่าทุกคำที่พูดออกมามุ่งตรงมาที่จุดด้อยของพวกเรา หรือว่าพวกเขาจะรู้เนื้อหาในหนังสือการประมูลของเราตั้งแต่แรก ” คำพูดของรองประธานในครั้งนี้เป็นเหมือนลูกระเบิด ทิ้งลงในใจของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม ทุกคนชะงักแล้วนึกถึงคนคนหนึ่ง สายตาประสานกันมองมาทางเย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่อันดับแรก

เย่ฉ่าวเหยียนพ่นควันบุหรี่ออกมา มองดูทุกคนหนึ่งรอบ พูดอย่างเย็นชา “ไม่ต้องมองผม ผมจะบอกทุกคนอย่างชัดเจนว่า คนที่พวกคุณคิดคนนั้น ไม่มีทางทำเรื่องอย่างนี้ แพ้แล้วก็คือแพ้ ไม่ต้องผลักความรับผิดชอบให้คนอื่น หนังสือการประมูลของเราทำได้ไม่ดีเหมือนบริษัทมู่ซื่อ นี่คือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็แค่ที่ดิน สูญหายแล้วก็คือสูญหาย ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือสรุปสิ่งที่ประสบมา และไม่ใช่ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทุกท่านเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากมาย ผมคิดว่าสามารถทำได้ตรงจุดนี้”

ทุกคนฟังที่เย่ฉ่าวเฉินพูดต่างก็ก้มศีรษะลง

“โอเค ช่วงที่ผ่านมาทุกคนเหน็ดเหนื่อยกันมามาก กลับบ้านพักผ่อนเถอะ”

เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นเดินไปที่ห้องทำงาน เขาไม่สงสัยมู่เวยเวย เพราะว่าช่วงนี้เขาอยู่กับมู่เวยเวยตลอดเวลา ต่อให้เธออยากจะขโมยหนังสือข้อมูลการประมูลก็ไม่มีโอกาส และยิ่งไปกว่านั้น จากที่เขารู้จักมู่เทียนเย่ มู่เทียนเย่ไม่มีทางให้มู่เวยเวยเสี่ยงทำเรื่องอย่างนี้

จากที่เห็น ครั้งนี้มู่เทียนเย่เชิญผู้จัดการคณะกลุ่มทำงานที่เก่งมากมา

ภายในห้องทำงานผู้บริหาร มู่เวยเวยตั้งใจออกแบบงาน บนรูปนั้นเป็นเสื้อกันลมของผู้ชาย เธอเข้าบริษัทมารับหน้าที่ในการออกแบบเสื้อผ้าผู้หญิงมาตลอด เสื้อผ้าผู้ชายตอนอยู่มหาวิทยาลัยไม่เคยออกแบบมาก่อน ตอนนี้ใกล้จะลืมกระจัดกระจายหมดแล้ว

ได้ยินเสียงประตูดังขึ้น มู่เวยเวยได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้เลยว่าเป็นเย่ฉ่าวเฉินกลับมาแล้ว เงยศีรษะมองสีหน้าของเขา มีความเย็นชา

แพ้แล้ว?

“เลิกงานแล้ว กลับบ้าน” เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามา มู่เวยเวยไม่ส่งเสียงอะไรออกมาจัดการกับงานออกแบบของเธอ เรื่องในใจ เธอไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องนี้ หลีกเลี่ยงการสร้างความลำบากใจ

มู่เวยเวยจัดการเก็บกระเป๋าของตัวเองเรียบร้อย ถามเขาเหมือนไม่ได้เจตนาหรือตั้งใจ “เกิดอะไรขึ้น?ดูเหมือนคุณจะไม่มีความสุข”

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเธอนิดหนึ่ง “เธอเป็นห่วงฉันเหรอ? หรือว่าเป็นห่วงเรื่องประมูลในวันนี้?”

มู่เวยเวยอีกนิดหนึ่งก็หัวเราะออกมา กัดที่ริมฝีปาก “คุณไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้แล้ว”

สีหน้าเขาไม่ดีอย่างนี้ คงจะประมูลแพ้แน่นอน อย่างนั้นพี่ชายก็ชนะแล้ว?

“มู่เวยเวย ฉันแพ้แล้วเธอมีความสุขขนาดนั้นเลย?” เย่ฉ่าวเฉินดึงเอวเธอไว้ ถามเสียงต่ำ แต่ทว่าไม่ได้มีความโกรธอะไร

ถ้าหากสาเหตุนี้ทำให้เธอมีความสุข อันที่จริงก็ไม่ได้แพ้อย่างน่าเวทนา

มู่เวยเวยเงยศีรษะมองเขา สายตาแพรวพราวอย่างเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ “ตระกูลมู่ของพวกฉันชนะแล้ว แน่นอนว่าฉันต้องมีความสุข”

เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างนั้น ก้นบึ้งหัวใจจั๊กจี้ เขาก้มศีรษะลงไปที่บริเวณริมฝีปากเธอ….

เขาจูบอย่างอ่อนโยน เหมือนกับลิ้มลองอาหารรสชาติดี อีกนิดหนึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถลำลึกอยู่

สองมือผลักเขาออก ใบหน้าแดงระเรื่อ “ไปเถอะ ฉันหิวแล้ว”

ไฟของเย่ฉ่าวเฉินกำลังปะทุขึ้นมาเธอกับดับมอดมันลง กัดที่ใบหูเธอหนึ่งครั้ง พูดออกมาอย่างตำหนิว่า “ดูว่าคืนนี้ฉันจะจัดการกับเธออย่างไร”

แต่ทว่าวันนี้ตอนเย็น มู่เทียนเย่ปรากฏตัวขึ้นวันนั้นเขาให้คำมั่นสัญญาไว้

ทำเป็นปกติเหมือนเดิม เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยกลับคฤหาสน์ไปรับประทานอาหารเย็น หลังจากนั้นก็นอนที่ห้องรับแขกดูโทรทัศน์ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาทันที

มือคว้าหยิบขึ้นมาดู เธอดีดตัวขึ้นจากโซฟา

ตอนกลางคืนเวลาสี่ทุ่ม ขึ้นไปบนดาดฟ้าของคฤหาสน์ พี่จะมารับเธอ และอีกอย่างจะมีคนเอายานอนหลับให้เธอ หาทางให้เย่ฉ่าวเฉินดื่มยานั่น

หมายเลขของคนแปลกหน้า มู่เวยเวยตื่นเต้นอ่านข้อความอยู่สองรอบ หลังจากนั้นก็กดลบออก

“ดูอะไร? ทำไมดูมีความสุขขนาดนั้น?” เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ว่าเดินมาถึงด้านหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่

มู่เวยเวยรีบเก็บรอยยิ้มที่แสดงออกมาทางใบหน้า กดปิดหน้าจอโทรศัพท์อย่างใจเย็น พูดเสียงราบเรียบว่า”ก็แค่เห็นข่าวที่น่าสนใจเท่านั้น”

เย่ฉ่าวเฉินสัมผัสไม่ได้ถึงความแปลกของเธอ นั่งลงข้างเธอและยื่นมือออกไปโอบกอดเธอ ดูโทรทัศน์ด้วยกัน

ขณะนี้เวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ตามที่พี่นัดไว้ก็เหลืออีกหนึ่งชั่วโมงกว่า สายตาของมู่เวยเวยจ้องไปที่รายการในโทรทัศน์ แต่ทว่าในหัวสมองกำลังคิด รออีกสักพักจะทำอย่างไรให้เย่ฉ่าวเฉินดื่มยานอนหลับนั้นได้?

และอีกอย่าง ใครจะนำยานอนหลับนั้นมาให้เธอ?

สิบนาที ยี่สิบนาที ดูเหมือนว่าเย่ฉ่าวเฉินตั้งใจจะมาดูโทรทัศน์เป็นเพื่อเธอ นั่งลงแล้วไม่ลุกไปไหนเลย เวลาผ่านไปทุกหนึ่งนาที มู่เวยเวยร้อนใจอยากให้เวลาเดินเร็วกว่านี้ เขาไม่ออกไปจากตรงนี้ แล้วเธอจะไปเอายาได้อย่างไร?

“ทำไมวันนี้ตอนกลางคืนคุณดูว่าง?” มู่เวยเวยเริ่มถามเขา ถ้าตามความเคยชิน ตอนกลางคืนเย่ฉ่าวเฉินจะยุ่งอยู่ที่ห้องหนังสือหนึ่งชั่วโมง

เย่ฉ่าวเฉินจับที่ผมยาวของเธอ พูดด้วยความกลัดกลุ้มใจว่า”อารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทำงาน”

ตอนกลางวันอยู่ต่อหน้าลูกน้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร พอเวลาที่สมองว่างขึ้นมายังมีความรู้สึกทุกข์ใจ อย่างไรเสียหัวข้อนี้ก็สำคัญต่อการพัฒนาบริษัทในก้าวต่อไป

“ถ้าอย่างนั้น…..ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนคุณ”

เย่ฉ่าวเฉินมีปฏิกิริยาชะงักงันไปสักพักหนึ่ง แววตาจ้องมองใบหน้าของเธอ พูดด้วยความแปลกประหลาดใจว่า “เธอพูดจริง?”

มู่เวยเวยพยายามทำตัวให้ปกติ “จริง ดื่มเป็นเพื่อนคุณ ก็ถือว่าเป็นการอวยพรให้ตระกูลมู่”

เธอรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพียงแค่พูดอย่างนี้ เขาถึงจะทำให้ไม่สงสัยอะไร

“ฉันก็รู้ จุดมุ่งหมายของเธอไม่ได้บริสุทธิ์” เย่ฉ่าวเฉินบีบจมูกเธออย่างสนิทสนม ถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ มีเธออยู่เป็นเพื่อนดีกว่าดื่มเหล้าเมาอีก”

มู่เวยเวยดูท่าทีว่าเขาไม่ได้สงสัย ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก” ใช่ ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายของพวกเราไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อก่อนดื่มเหล้าด้วยกัน”

“พูดดูเหมือนว่าจะมีเหตุผล ” เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นเดินไปหาพ่อบ้านหวางสั่งให้เขาไปห้องเก็บเหล้าใต้ดินเอาเหล้าออกมา แต่ทว่าถูกมู่เวยเวยดึงไว้ก่อน “ฉันชอบรสชาติที่หวานนิดหนึ่ง อย่าให้พ่อบ้านหวางหยิบผิดนะ ฉันขอไปล้างเครื่องสำอางก่อน อยู่หน้าคอมพิวเตอร์มาทั้งวัน หน้ารู้สึกเหนียวๆมันๆ”

เย่ฉ่าวเฉินลูบผมของเธอ พูดว่า”ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเลือก”

อย่างนี้ก็ดีสิ มู่เวยเวยผงกศีรษะเป็นพัลวัน เย่ฉ่าวเฉินก้มตัวลงไปจิกที่ริมฝีปากของเธอ พูดเสียงอ่อนโยนว่า”อีกสักพักฉันจะขึ้นไปหาที่ห้องนอน”

มู่เวยเวยหน้าแดง ลุกขึ้นเดินไปทางบันได ในอีกมุมที่เขามองไม่เห็นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป

คนที่พี่ชายส่งมาสรุปว่าอยู่ที่ไหน? จะมาหาเธอไหม?

เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว……

ขึ้นมาถึงชั้นสอง มองดูไม่เห็นเงาของเย่ฉ่าวเฉินที่ห้องรับแขกแล้ว เธอเดินวนไปวนมาที่ห้องนอนอย่างรีบร้อน คนคนนั้นล่ะ? ขอร้องคุณรีบมาหาฉันเถอะ

เวลานี้ สาวใช้คนหนึ่งเดินขึ้นมา มู่เวยเวยมองเธอแวบหนึ่ง นี่ไม่ใช่สาวน้อยคนเดียวกันกับที่เธอแกล้งบ้าใส่แล้ววิ่งหนีไปคนนั้นเหรอ?

หรือว่าคือเธอ?

มู่เวยเวยแกล้งทำทีอยู่หน้าประตู

เคลื่อนไหวกระดูกกับเส้นเอ็น แต่ทว่าสายตาจ้องมองการก้าวเดินของเธอ เพียงแค่เห็นเธอไม่เงยศีรษะขึ้น รีบเอาขวดยาที่กำอยู่ที่มือยัดใส่มือของมู่เวยเวย หลังจากนั้นเดินไปข้างหน้าไม่หยุด

หนึ่งวินาทีมู่เวยเวยก็ไม่กล้าที่จะยืดขยายออกไป กลับหลังหันเข้าไปในห้องนอน

ใจเต้นแรงมากขึ้น มู่เวยเวยวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำตัวให้ปกติ ก้มศีรษะลงมองขวดยาที่อยู่ในมือ ข้างในเห็นชัดเจนว่ามีสารเหลวอยู่นิดหนึ่ง

นี่คือยานอนหลับ?

ยานอนหลับไม่ใช่ยาเม็ดสีขาว? เปลี่ยนเป็นสารเหลวได้อย่างไร?

ช่างเถอะ ไม่มีเวลามาคิดมากแล้ว เธอเชื่อว่าพี่ไม่มีทางโกหกเธอ

เริ่มล้างเครื่องสำอาง ไปไกลถึงว่าอีกสักพักจะใส่ยาอย่างไร ทำได้แค่ดูสถานการณ์ในตอนนั้นแล้ว

แท้ที่จริงการแต่งหน้าของมู่เวยเวยง่ายมาก นอกจากบำรุงผิวในทุกวัน ก็แค่ใช้แป้งรองพื้น เขียนคิ้วทาลิปสติก ขีดเขียนตาเดิมทีเธอก็ไม่ได้ทำ

เพราะฉะนั้น เธอล้างเครื่องสำอางไวมาก

ผู้หญิงที่มองดูกระจกอย่างสบายใจ เธอเริ่มมีแผนการมาอีกหนึ่งอย่าง สำเร็จก็ดี ถ้าหากไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร

เดิมที่วันนี้ก็ต้องถูกเขาย่ำยี

………

เย่ฉ่าวเฉินถือเหล้ามาหนึ่งขวดกับแก้วเหล้าสองใบผลักประตูห้องเข้าไป เดินผ่านห้องแต่งตัวก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้า

ชุดทำงานที่มู่เวยเวยใส่เมื้อกี้ได้ถอดออกแล้ว ตอนนี้ใส่ชุดนอนไหมเงาวาวพริ้วไหวสีดำ กระโปรงพอคลุมถึงบริเวณขาเท่านั้น….

มู่เวยเวยรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกคนที่มองอย่างชื่นชม รู้สึกเก้อเขินจับเสื้อบริเวณทรวงอกยกขึ้น พูดอย่างกล้ำกลืนว่า “ชุดอื่นของฉันยังไม่ได้ซัก”

“ชุดนี้ดีมาก….ดีมากๆ” เย่ฉ่าวเฉินเสียงสั่น ในมือถือขวดเหล้าอยู่พูด “เหล้าฉันเอามาแล้ว ไประเบียงเถอะ”

“อ้อ”

มู่เวยเวยเดินออกมาจากห้องแต่งตัว สีหน้าเรียบเฉย แต่ทว่าในใจร้องเสียงดังก้อง ทำไมชุดนี้ถึงสั้นอย่างนี้? เดิมทีเธอแค่อยากลองใส่ดู ถ้าหากว่าไม่เหมาะก็เปลี่ยน คาดไม่ถึงว่าบังเอิญหรือไม่บังเอิญเย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าห้องมาแล้ว

เวลานี้ใกล้จะสามทุ่มครึ่งแล้ว เธอมีเวลาอีกไม่มากแล้ว

พ่อแม่ ปกปักรักษาลูกสาวให้ครั้งนี้ทำสำเร็จด้วยนะ

มู่เวยเวยนั่งด้านในของโซฟา ขาทั้งสองข้างหนีบเข้าหากันหลีกเลี่ยงการเปิดเผยร่างกายมากเกินไป เย่ฉ่าวเฉินกำลังเทเหล้าอย่างเงียบๆ ผีรู้ว่าภายในใจของเขาตอนนี้กดไฟความต้องการอยู่มากเท่าไหร่

“คนนั้น…ฉ่าวเหยียนอยู่ยุโรปเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่เวยเวยเริ่มบทสนทนาตั้งแต่เย่ฉ่าวเหยียนไปจากที่นี่ มู่เวยเวยก็ขาดการติดต่อกับเขา

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มออกมา เทเหล้าเสร็จแล้วหนึ่งแก้วยื่นให้กับมู่เวยเวย “สบายดี อยู่ที่มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของอังกฤษตั้งใจศึกษาสถาปัตยกรรม”

“สถาปัตยกรรม? คาดไม่ถึงว่าเขาชอบสถาปัตยกรรม?” มู่เวยเวยถามด้วยความแปลกใจ

“ใช่ ฉันก็คาดไม่ถึง ความจริงฉันอยากให้เขาเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ แต่เขาบอกว่า เขาอยากเป็นสถาปนิก”

มู่เวยเวยโยกแก้วเหล้าไปมา รสชาติกลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูก

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเธอด้วยสายตาร้อนแรง พูดอย่างอบอุ่น “ฉันเลือกเหล้าขวดนี้มาจากห้องใต้ดินเป็นเหล้าที่หวานที่สุด ลองชิมดู”

มู่เวยเวยยกจิบแค่นิดหนึ่ง พูดอย่างดีใจและแปลกใจว่า”หวานจริงๆ นึกว่าไม่ถึงว่าเหล้าจะรสชาติหวาน”

“ถ้าชอบ ครั้งหน้าฉันจะสั่งมาอีกสักเล็กน้อย”

ตั้งแต่ที่เย่ฉ่าวเฉินสารภาพรักกับเธอ คำพูดหวานเหมือนน้ำผึ้งเช่นนี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันบนโต๊ะอาหาร เริ่มแรกมู่เวยเวยยากที่จะยอมรับได้ ถูกเขาพูดกรอกหูบ่อยขึ้น ก็มีภูมิคุ้มกันแล้ว ไม่ได้ประทับใจแต่ก็ไม่ได้รังเกียจ ก็เหมือนกับเขาพูดว่า “รับประทานอาหาร”

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณอย่าดีกับฉันเลย” มือข้างหนึ่งยื่นออกไปบนโซฟา สายเสื้อหล่นร่วงลงมาจากไหล่อย่างธรรมชาติ แต่ทว่าเธอไม่ได้รู้ตัวที่จะเลื่อนขึ้น พูดอย่างต่อเนื่องว่า “ฉันเป็นคนดื้อรั้น เรื่องที่ตัดสินใจแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจ เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องมาเสียเวลากับฉันแล้ว”

ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินวูบไหวไม่อยู่นิ่ง ดิ้นร้นอยู่ในชั่วขณะ วางแก้วเหล้าที่อยู่ในมือทันที ลุกขึ้นคร่อมร่างของมู่เวยเวย กดเธอลงที่โซฟา มืออีกข้างเกี่ยวสายเสื้อของเธอให้ลดต่ำลงอีก เสียงแหบพร่าพูดว่า”ก็ดี ฉันก็เป็นคนดื้อรั้น ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนที่ดื้อรั้นมาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะ?”

มู่เวยเวยพยายามหลบหน้า มือข้างที่ยื่นออกไปค่อยๆขยับไปทางโซฟาที่มีหมอนอิง เธอเคลื่อนย้ายไปทางด้านหลัง “เย่ฉ่าวเฉิน กลับไปนั่ง….หวูดๆ….”

เย่ฉ่าวเฉินกัดริมฝีปากที่พยายามหลบของเธอ กลิ่นหอมหวลของเหล้าที่อยู่บนร่างกายเธอ”ไฟที่แผดเผาหัวใจของเขาได้ระเบิดตูมออกมา อีกทั้งยิ่งเผามันยิ่งเข้มข้นขึ้น”

มู่เวยเวยรีบหยิบขวดยาที่ได้เตรียมไว้ออกมา ใช้นิ้วโป้งเปิดออก ฉวยโอกาสที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังหลงไหล เทยานั้นลงไปในแก้วเหล้า หลังจากนั้นได้ยัดขวดยาเข้าใต้โซฟาฝั่งพนักวางแขน

สายตามองเขาที่เหมือนจะถลกหนังของเธอออกมาให้ได้ มู่เวยเวยรีบใช้สองมือปิดบังที่ทรวงอกของตัวเอง หน้าแดงเหมือนแอปเปิ้ล “เย่ฉ่าวเฉิน ฉัน……พวกเราดื่มเหล้าก่อนดีไหม? ตอนนี้ฉันยังไม่อยาก…..”

ดวงตาคู่สีฟ้าของเขาเผาไหม้เหมือนเปลวเพลิง พูดเสียงหอบกระเส่าว่า”แต่ฉันจะอดทนไม่ไหวแล้ว”

สิ่งที่กั้นอยู่ที่กางเกงนั้น มู่เวยเวยรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงไฟที่ลุกโชนของเขา ยิ่งร้อนรน “เย่ฉ่าวเฉิน คุณบอกว่าจะทำดีกับฉัน? บอกให้คุณอดทนเท่านี้คุณทำไม่ได้?”

มือของเย่ฉ่าวเฉินที่วางลงบนเอวเธอหยุดชะงัก ถอดหายใจออกมาหนักๆ เขากลับไปนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาทันทีทันใด พูดอย่างหมดอารมณ์ “เวยเวย ไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องทำให้ฉันโมโห”

มู่เวยเวยจัดการกับเสื้อผ้าบริเวณทรวงอกของเธอ ข้างหนึ่งก็มองแก้วเหล้านั้น พูดว่า “คุณเป็นคนพูดเอง ฉันไม่ได้บังคับ”

“ใช่ๆๆ ทั้งหมดฉันหาเรื่องเอง” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างกล้ำกลืน ในที่สุดก็หยิบแก้วเหล้านั้นแล้ว หลังจากนั้นก็ดื่มเข้าไป

ใจของมู่เวยเวยที่ยกอยู่ครึ่งค่อนคืนได้ผ่อนคลายลงแล้ว เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างระมัดระวัง

ยาออกฤทธิ์เร็วมาก ไม่ถึงสองนาที เย่ฉ่าวเฉินก็เริ่มเวียนศีรษะแล้ว

เป็นไปได้อย่างไร? เพิ่งจะดื่มไปแก้วเดียวเท่านั้น? ยังไม่ถึงขนาดเมาเลย

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” มู่เวยเวยแกล้งถามเขา

เย่ฉ่าวเฉินกดที่จุดไท่หยาง “ไม่เป็นไร”

รอจนดวงตาของเขาเกิดภาพซ้อนขึ้นมาในเวลานั้น เขาพบว่า เขาไม่ได้เมาเหล้าแต่เขาถูกคนวางยา

อยู่ที่ระเบียงมีแค่เขากับมู่เวยเวย อย่างนั้น…..

เขาโผเข้าจับที่ไหล่ของเธอ ถามอย่างยังไม่กล้าที่จะเชื่อว่า “เธอ…. เธอวางยาฉันเหรอ?”

ถ้าบอกว่ามู่เวยเวยไม่กลัวนั้นคือไม่จริง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะกลัว อีกสักพักก็จะสี่ทุ่มแล้ว ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ครั้งหน้าถ้ามู่เทียนเย่ต้องการพาเธอออกไปก็ไม่ง่ายแล้ว

ใช้แรงทั้งหมดที่มีของเธอผลักเขาออกไป คิดว่าจะยาก นึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกเธอผลักล้มลงไปที่พื้น แล้วจะรออะไรอยู่ รีบวิ่งอย่างสุดฝีเท้าออกไปด้านนอก

“มู่เวยเวย หยุดเดี๋ยวนี้นะ ” เย่ฉ่าวเฉินร้องเสียงดัง เขาอยากลุกขึ้นมาจากพื้น แต่แขนขาทั้งสี่อ่อนแรงเหมือนกับผ้าฝ้าย ไม่สามารถใช้แรงได้ ไม่ง่ายที่จะยื่นแขนออกมา หนึ่งวินาทีถัดไปก็ล้มไปกองอยู่กับพื้น

มู่เวยเวยข้างหนึ่งก็มองการเคลื่อนไหวของเขา อีกข้างหนึ่งก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากับกางเกง ใจเต้นแรงมากขึ้น คาดไม่ถึงว่ายาที่พี่ให้จะดีขนาดนี้ เทียบกับในหนังกำลังภายในที่ใช้ยาตำรับสือเซียงล่วนจินส่าน ทำให้คนที่ได้รับพิษนั้นอ่อนแรงได้เลย

เอกสารทั้งหมดกับโทรศัพท์ได้เอาใส่กระเป๋า มู่เวยเวยจับกระเป๋าวิ่งก้าวยาวๆออกไปทางประตู

“เวยเวย……อย่าไป” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเศร้าโศกเสียใจ

มู่เวยเวยชะงักฝีเท้า หันร่างกายที่สั่นคลอนมามองเขา ห้าวินาทีหลังจากนั้น เธอหันหลังวิ่งไปที่ห้องน้ำ ออกมาอีกครั้งในมือถือผ้าขนหนูอยู่หลายผืน

” เย่ฉ่าวเฉิน ขอโทษนะ” มู่เวยเวยพูดจบ นั่งยองๆอยู่ต่อหน้าเขา ใช้ผ้าขนหนูปิดที่ปากเขามัดไว้ตรงท้ายทอย

ในตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินเหมือนกับปลาที่อยู่บนเขียงไม้ มู่เวยเวยกดขี่ก็ต่อต้านไม่ได้แม้แต่น้อยนิด บวกกับการง่วงนอนอย่างหนักปะทะเขาเข้ามาอย่างต่อเนื่องเขากำลังฝืนต่อความชัดเจนนั้น

“หวูดๆ——”เย่ฉ่าวเฉินใช้มือทั้งสองข้างที่ไม่มีแรงจับที่มือของเธอ สายตาคู่นั้นนอกจากจะโกรธแล้วยังมีการอ้อนวอน

“เย่ฉ่าวเฉิน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เส้นทางของพวกเราเดินคนละเส้นทางกัน ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีก สิ่งที่คุณติดค้างฉันพวกนั้น ก็คิดว่าวันนี้ได้คืนให้แล้ว ” พูดจบ มู่เวยเวยผลักมือทั้งสองข้างของเขาออก ไม่หันกลับมามองและเดินจากไป

“เวยเวย——เวยเวย——” ภายในใจของเย่ฉ่าวเฉินตะโกนเรียกเธอซ้ำๆ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะจับเธอมาลงโทษอยู่ข้างกาย แต่ทว่าเขาสามารถทำได้ แค่เพียงมองเธอเปิดประตูเดินออกไป หลังจากนั้น ค่อยๆหายไปจากหน้าประตู……….

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset