“ทำไมคุณถึงตกลงไปในหลุม?” เย่ฉ่าวเฉินถาม
มู่เวยเวยสำรวจเสื้อผ้าของเธอและพูดว่า “ฉันเหยียบลงพื้นแล้วมันก็ตกลงไป”
เธอไม่มีทางบอกเขาว่าเป็นเพราะไปห้องน้ำเด็ดขาด มันฟังดูน่าอับอายเกินไป
“เท้ากับแขนของคุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
มู่เวยเวยตอบแบบเรียบง่ายว่า “ไม่หัก”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ใบหน้าที่นิ่งเฉยของเธอและอยากให้บทเรียนกับเธอโดยการสร้างปุ่มย้อนกลับไว้ข้างปากจากนั้นให้เธอกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป “กลับก่อนเถอะ ทุกคนเป็นห่วงคุณ คาดว่าพวกเขายังรอคุณอยู่”
มู่เวยเวยพยักหน้า
“กอดผมไว้ ผมจะพาคุณกลับคุณเดินช้าเกินไป”
มู่เวยเวยกอดเขาอย่างไม่เต็มใจและหลับตาลง
ลมพัดผ่านหูของเธอและได้ยินเขาพูดว่า “ถึงแล้ว” มู่เวยเวยลืมตาขึ้น สถานที่ที่เธออาศัยอยู่นั้นอยู่ห่างออกไปร้อยเมตรและไฟที่สว่างจ้า
“ไปกันเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะจับมือเธอ แต่กลับถูกมู่เวยเวยหลบอย่างชาญฉลาด
“ ฉันไปเอง”
ดวงตาสีม่วงของเย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและความรู้สึกอุดอู้ในใจก็กลับมาอีกครั้ง
ในขณะที่พวกเขาค่อยๆเดินเข้าใกล้ที่พักทีละก้าว ก็มีคนเห็นพวกเขาก่อนและตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “ประธานเย่กับเวยเวยกลับมาแล้ว” ในขณะนั้นสายตาของความกังวลและเป็นห่วงก็ถูกมองไปที่มู่เวยเวย ฝ่ายออกแบบหลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอก็วิ่งเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของเธอก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดอุบติเหตุขึ้น
“เวยเวย คุณทำพวกเราหัวใจแทบวาย คุณไปไหนมา?”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างอ่อนแรง“ ไม่เป็นไร ฉันแค่ตกลงไปในหลุม”
“ เสียงแหบแบบนี้ยังบอกไม่เป็นไร?มาดื่มน้ำก่อน” เหอเหม่ยหลิงเปิดขวดน้ำให้เธอ
มู่เวยเวยถือมันไว้ในมือไม่ได้ดื่ม ดื่มน้ำภายใต้การจ้องมองของผู้คนจำนวนมากในใจรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก
ในตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาแล้วโอบเอวเธอไว้พร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง เวยเวยเหนื่อยมากแล้ว ผมขอพาเธอไปพักผ่อนก่อน ทุกคนตามสบายเลย”
“โอเค โอเค…”
มู่เวยเวยอยู่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานเลยทำอะไรไม่ได้จึงปล่อยให้เขาโอมเธอขึ้นไปชั้นบนและเมื่อคลาดสายตาจากทุกคนแล้ว มู่เวยเวยก็สะบัดมือเขาออกไป
“เวยเวย คุณยอมรับความดีบนตัวผมที่มีต่อคุณสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?แม้แต่นิดเดียว?” เย่ฉ่าวเฉินทั้งเหนื่อยใจทั้งอึดอัด
มู่เวยเวยเปิดประตูห้องแล้วถอดรองเท้าทิ้งไว้และเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยเท้าเปล่า“ ไม่ใช่ไม่ได้ เพียงแค่ไม่จำเป็น ประธานเย่คุณไปทำธุระของคุณเถอะ ฉันอยากอาบน้ำดีๆอย่ามารบกวนฉัน “หลังจากพูดจบเธอก็ปิดประตูห้องน้ำดัง” ปัง ”
เมื่อยืนอยู่ภายใต้น้ำที่ไหลลงบนศีรษะที่รู้สึกอุ่น น้ำตาของมู่เวยเวยก็ไหลออกมาทันที ความแข็งแกร่งที่มีต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉินและเพื่อนร่วมงานของเธอมาถึงจุดที่เธอไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ในที่สุดตอนนี้เธอก็สามารถปลดปล่อยความรู้สึกแย่ทั้งหมดได้อย่างสบายใจ
ในขณะที่รอการช่วยเหลืออยู่ในหลุมนั้นเธอกลัวว่าตัวเองจะต้องตาย ไม่ว่าจะการร้องเพลงหรือนับดาวล้วนเป็นการให้กำลังใจตัวเอง โชคดีที่เย่ฉ่าวเฉินมาทันเวลา เธอจึงไม่ต้องค้างคืนในหลุมพรางนั้น
เย่ฉ่าวเฉินกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงอย่างหดหู่ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรทำยังไง เข้าใกล้เกินไปก็กลัวจะถูกมู่เวยเวยรังเกียจ พออยู่ไกลเกินไปเขาก็เอาแต่คิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้และกำลังคิดว่าช่วงนี้เธอกำลังทำอะไร ดูเหมือนต้องให้เธออยู่ในสายตาเขาถึงจะสบายใจ
คืนนั้นมู่เวยเวยออกมาจากห้องน้ำก็นอนลงบนเตียงและหลับไป เธอไม่ได้กินข้าวเพียงแค่ดื่มน้ำไปแก้วเดียว
ในความฝัน มีงูขาวตัวเล็กๆวนอยู่รอบๆเท้าของเธอ จากนั้นก็ไต่ขึ้นมาบนน่องเธอ มู่เวยเวยกลัวมากจนสะบัดแล้วโยนมันทิ้งไป แต่งูขาวตัวเล็กๆนั้นก็กลับมาหาเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทำไมเขย่าเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเขย่ามันทิ้งได้
ฝันร้ายทั้งคืน
เมื่อมู่เวยเวยตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธอรู้สึกมึนและปวดศีรษะ จมูกของเธอก็หายใจลำบากและเสียงของเธอก็หายไป
เอ่อ … น่าจะเป็นหวัด
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้อยู่ในห้อง มู่เวยเวยเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปชั้นล่าง มีคนจำนวนมากกำลังพายเรือในทะเลสาบ บางคนก็ตะโกนเชียร์อยู่ข้างริมทะเลสาบ
ในตอนบ่ายทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะเดิมและทุกคนเล่นกันอย่างบ้าคลั่งในช่วงเวลาสุดท้าย
“เวยเวย มานี่” เสี่ยวหลี่เห็นเธอจึงกวักมือเรียกอย่างตื่นเต้น เมื่อเธอเดินไปถึงเสี่ยวหลี่ก็จับแขนของเธอแล้วพูดว่า “เธอดูสิ แผนกออกแบบของเรากำลังจะชนะแล้ว”
มู่เวยเวยมองตามนิ้วของเธอและเรือลำเล็กก็กำลังแล่นไปข้างหน้า
“นี่มัน … ” มู่เวยเวยพูดออกมาอย่างยากลำบาก พึ่งพูดออกมาได้สองคำเธอก็เงียบทันที เสียงของเธอแหบเกินไปและรู้สึกเจ็บคอด้วย
“คอของเธอเป็นอะไร?” เสี่ยวหลี่ถามด้วยความเป็นห่วง
มู่เวยเวยทำอะไรไม่ถูกเลยสายมือไปมา หวังว่าเธอจะเข้าใจ
“เจ็บคอหรอ อ้อ ฉันเข้าใจ คงเป็นเพราะขอความช่วยเหลือเมื่อวาน” เสี่ยวหลี่ฉลาดขึ้นมา
มู่เวยเวยพยักหน้าด้วยความโล่งใจ
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องพูดอะไรแล้วแหละ ดื่มน้ำให้มาก ๆ กรี๊ด ชนะแล้วๆ แผนกของเราชนะแล้ว” เสี่ยวหลี่กระโดดและตะโกนอย่างตื่นเต้น
แผนกต่างๆของบริษัทกำลังแข่งพายเรือกันนิเอง
เรือทั้งห้าลำค่อยๆเข้ามาจอดทีละลำ และมู่เวยเวยถูกเสี่ยวหลี่ลากแล้ววิ่งไป เพื่อนร่วมงานในแผนกออกแบบเดินออกจากเรือและคนสุดท้ายคือเย่ฉ่าวเฉิน
เมื่อเขาเห็นมู่เวยเวยก็ยิ้มเบาๆแล้วกระโดดลงจากเรือและเข้ามาถาม “ตื่นแล้วหรอ?กินข้าวหรือยัง?”
มู่เวยเวยพยักหน้า แต่จริงๆแล้วเธอยังไม่ได้กิน ถ้าบอกความจริงตามนิสัยของเขา เขาต้องพาเธอไปกินข้าวแน่ๆและเธอไม่เต็มใจที่จะไปกับเขา
“ขอบคุณประธานเย่สำหรับความช่วยเหลือ เราได้รับโบนัสเมื่อไหร่แผนกเราต้องเชิญคุณไปทานอาหารด้วยแน่นอน” เหอเหม่ยหลิงเดินมา ดูไม่เคร่งขรึมเท่าตอนอยู่บริษัท ดูเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์มากขึ้น
“มันควรจะเป็นแบบนั้น” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ทีมข้างๆที่แพ้ไม่พอใจ “ประธานเย่ ทั้งๆที่คุณพูดชัดเจนแล้วว่าผู้บริหารระดับสูงไม่สามารถมีส่วนร่วมในเกมได้ แล้วทำไมคุณยังลงสนามด้วยตัวเอง”
เย่ฉ่าวเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ผู้บริหารระดับสูงไม่อนุญาตให้เข้าร่วม แต่ในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกในครอบครัวของพนักงาน แบบนี้น่าจะได้นะ”
ลีน่าเห็นด้วย “ใช่ๆ มู่เวยเวยอยู่ในแผนกเรา เธอเข้าร่วมไม่ได้ดังนั้นประธานเย่ควรลงแข่งแทนเธอ”
แผนกอื่นพูดไม่ออก
มู่เวยเวยยังคงนิ่งเฉยกับพฤติกรรมของเขาที่แสดงความรักในที่สาธารณะ แม้ในใจเธอจะรู้สึกไม่ชอบก็ตาม
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เย่ฉ่าวเฉินก็ซื้อยาแก้หวัดและยาอมพั้งต้าไหมาจากที่ไหนไม่รู้ มู่เวยเวยรู้ตัวเลยกินมันลงไป เธอไม่อยากแข่งกับร่างกายตัวเอง
ช่วงบ่ายทุกคนเริ่มเดินทางกลับอย่างไม่เต็มใจ
ชีวิตกลับมาสงบอีกครั้ง พ่อบ้านหวังสังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายและคุณหนูดีขึ้นมาก เพราะเย่ฉ่าวเฉินโกรธน้อยลงและมักจะเป็นฝ่ายถามมู่เวยเวยว่าเธอต้องการอะไร แม้ว่าส่วนใหญ่มู่เวยเวยจะปฏิเสธอย่างเย็นชา แต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่ออารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉิน บรรยากาศในบ้านกลมเกลียวกันแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ดี มู่เวยเวยก็ได้รับข่าวดีมากๆ และเพราะข่าวนี้ที่เข้ามาทำลายชีวิตที่ดูเหมือนจะสงบสุขของทั้งสอง
เพราะคนที่เธอรอคอยมานานก็ปรากฏตัวขึ้น
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นช่วงอาหารเช้า เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยกินอาหารและเตรียมตัวไปบริษัทอย่างเคย จางเห่อก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับกล่องของขวัญในมือ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงมาสภาพนี้” เย่ฉ่าวเฉินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
จางเห่ออ้าปากพร้อมกับดวงตาของเขาที่มองไปบนร่างของมู่เวยเวย ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่
เย่ฉ่าวเฉินเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ก็คิดว่าช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังเขาจึงพูดว่า “อย่าอ้ำอึ้งมีอะไรก็พูดมา ”
จางเห่อเดินไปแล้วยื่นกล่องของขวัญให้เขาและพูดด้วยความยากลำบากว่า “นี่ … มีคนวางไว้ที่ป้อมยาม คุณดูเองเถอะ”
เย่ฉ่าวเฉินวางช้อนลง ในมือแกะกล่องของขวัญสีดำออกและด้านในมี
ปืน มีร่องรอยการสึกที่ด้ามจับ
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นปืนนี้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เย็นชาอย่างมาก
มู่เวยเวยเหลือบมองอย่างสงสัย มันก็แค่ปืนไม่ใช่เหรอ? ทำไมแปลกใจขนาดนี้? หรือเป็นศัตรูที่ส่งมา?
เขากลับมา คราวนี้เป็นเขาจริงๆ
มีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้าหาญและหยิ่งผยองแบบนี้ ส่งข่าวถึงมือเย่ฉ่าวเฉินเองกับมือโดยไม่กลัวจะถูกตัดแขนทิ้งแม้แต่น้อย
ปืนกระบอกนี้เป็นปืนโปรดของเขามาก่อนและเขามอบให้เย่ฉ่าวเหยียน ในระหว่างการชุมนุมครั้งนั้นกระสุนของมู่เทียนเย่ยิงผ่านมือขวาของเย่ฉ่าวเหยียนจากนั้นฉ่าวเหยียนก็ตกลงจากหน้าผาและหายไปพร้อมกับปืนกระบอกนี้
แท้จริงแล้วเป็นเขานี้เองที่เอามันไป …
มู่เทียนเย่ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวยด้วยสีหน้าสับสน ไม่แน่ใจว่าจะบอกข่าวนี้กับเธอดีไหม เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์คืออะไร แต่รู้ว่าหนึ่งในเหตุผลที่มู่เทียนเย่กลับมาในครั้งนี้คือพามู่เวยเวยไป
มู่เวยเวยรู้สึกว่าเขากำลังจ้องเธอ เลยเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย“ มองฉันทำไม?”
เย่ฉ่าวเฉินปิดฝากล่องของขวัญแล้วหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ไม่มีอะไร”
เขาไม่สามารถปล่อยให้มู่เทียนเย่พามู่เวยเวยไปได้
ไม่ได้อย่างแน่นอน
คิดๆดูแล้วก็คงเป็นเพราะพระเจ้ากำหนดชะตาเอาไว้แล้ว ในตอนแรกเขากระตือรือร้นที่จะหาเบาะแสของมู่เทียนเย่จากมู่เวยเวยเพราะกลัวว่าเธอจะปิดบังเรื่องเกี่ยวกับมู่เทียนเย่แล้วไม่บอกเขา แต่นี่เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งปีบทบาทของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป
มือของเย่ฉ่าวเหยียนหายแล้ว ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อมู่เทียนเย่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้นแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามความคิดของเขา ทันทีที่เย่ฉ่าวเฉินใส่กระดาษโน้ตลงในกระเป๋าของเขา โทรศัพท์มือถือของมู่เวยเวยก็ดังขึ้น
เป็นหมายเลขแปลก
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นใครคะ?” มู่เหว่ยเวยเอื้อมมือไปหยิบขนมปังและมีน้ำเสียงโทนต่ำที่น่าฟังของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น “น้องเล็ก”
“ปึก” ขนมปังหล่นลงมาจากมือของเขาและหล่นลงบนโต๊ะ
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งและดวงตาของมู่เวยเวยก็ปกคลุมไปด้วยน้ำตาทันที เสียงนี้ดังขึ้นเป็นพันๆครั้งในความฝันของเธอและในที่สุดหูของเธอก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน แต่เธอไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
“น้องเล็ก นี่พี่ชายเอง” เสียงของมู่เทียนเย่กระทบกับแก้วหูแล้วตรงเข้าสู่หัวใจของเธอ
น้ำตาของมู่เวยเวยไหลพราก ลำคอของเธอสั่นสะท้านและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “พี่”
พี่ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว รู้ไหมว่าฉันรอพี่ยากลำบากแค่ไหน?
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ถูกแย่งไป จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของเย่ฉ่าวเฉิน
“มู่เทียนเย่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เย่ฉ่าวเฉิน ของขวัญที่ฉันให้นายชอบไหม?” เสียงที่ฟังดูขี้เกียจของมู่เทียนเย่ลอยมา
“ดูเหมาะกับฉันมาก” มืออีกข้างของเย่ฉ่าวเฉินเหยียดบนโต๊ะ “มู่เทียนเย่ เต่าหัวหดในที่สุดก็ปรากฏตัวสักที ฉันคิดว่านายตายที่มุมกำแพงนั้นซะแล้ว”
“เหอะๆ เย่ฉ่าวเฉินนายยังไม่ตายแล้วฉันจะกล้าตายได้ยังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเย็นชา“ มู่เทียนเย่ บัญชีเก่าระหว่างเราควรชำระสักหน่อยแล้วใช่ไหม?”
“ ได้เสมอ แต่ก่อนจะชำระฉันจะเป็นคนพาน้องสาวฉันจากไป”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวยที่ร้องไห้อยู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ ขึ้นอยู่กับว่านายจะมีปัญญาไหม”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็มาดูกัน แต่ฉันเตือนนายไว้ ถ้านายยังกล้าทำร้ายน้องสาวฉันแม้แต่ปลายเส้นผม ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะส่งระเบิดไปยังเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปของนาย คนอย่างฉันพูดได้ทำได้”
“ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก” ตอนนี้ฉันจะทำร้ายเธอลงคอได้อย่างไร?
“โอเค ครั้งนี้ฉันจะเชื่อนาย” หลังจากพูดเสร็จมู่เทียนเย่ก็วางสายไป
เย่ฉ่าวเฉินโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ มู่เวยเวยรีบหยิบมันขึ้นมาแต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว เธอโทรออกอีกครั้งพบว่าเขาปิดเครื่องไปแล้ว
“ พี่ชายฉันพูดอะไร?” มู่เวยเวยถามอย่างกังวล
“ไม่มีอะไร” เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธออย่างนิ่งเงียบ
มู่เวยเวยเชื่อก็บ้าแล้ว อารมณ์เธอกระวนกระวายอย่างมาก“ พวกคุณคุยกันนานขนาดนี้ จะไม่มีอะไรได้ไง?”
เย่ฉ่าวเฉินจับไหล่ของเธอทั้งสองข้าง พยายามทำให้เธอใจเย็นลง “เวยเวย แม้ว่าเราจะคุยอะไรกัน คุณคิดว่าผมจะบอกคุณหรอ?”
มู่เวยเวยแข็งทื่อ เหตุผลต่างๆก็ค่อยๆปรากฏขึ้นในใจ เธอโง่หรือไง? เย่ฉ่าวเฉินจะบอกเธอได้อย่างไรว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ตามคำพูดของเขาเพียงฝ่ายเดียว พี่ชายฉันน่าจะตกลงอะไรบางอย่างกับเขา
พี่ชายจะพาเธอไปใช่ไหม?
ความหวังที่ฝังลึกในใจ “บูม” ถูกจุดขึ้น
ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ พี่ชายรักเธอมากขนาดนี้ หลังจากจัดการกับสถานการณ์ต่างๆของเขาแล้ว เขาจะต้องพาเธอไปอย่างแน่นอน
เย่ฉ่าวเฉินเฝ้าดูการแสดงออกของเธอที่เปลี่ยนไป หัวใจของเขาก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วงและไม่สบายใจ
เพื่อป้องกันไม่ให้มู่เทียนเย่ปรากฏตัวกะทันหัน เขาต้องอยู่กับมู่เวยเวยตลอดเวลา
“ไปทำงานกัน” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเย็นชา
ในตอนนี้มู่เวยเวยใจเย็นลงแล้วพยักหน้าหยิบกระเป๋าและเดินไปยังประตูบ้าน
ระหว่างทางทั้งคู่ต่างคิดเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครพูดและบรรยากาศก็เริ่มดูไม่มีชีวิตชีวา
เมื่อเข้าไปในลิฟต์ เย่ฉ่าวเฉินกดไปยังชั้นทำงานของตัวเองและมู่เวยเวยเอือมมือกำลังจะกดไปที่ชั้นแปดซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกออกแบบ แต่เขากลับจับข้อมือของเธอไว้
“ วันนี้คุณไม่ต้องไปที่แผนกออกแบบแล้ว” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม
“ แล้วฉันจะไปทำงานที่ไหน?” มู่เวยเวยแปลกใจ
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ตัวเลขชั้นที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น “ตั้งแต่วันนี้ คุณไปทำงานในห้องทำงานผม”
“ฉันไม่ไป!” มู่เวยเวยปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
เย่ฉ่าวเฉินก้มมองลงไปที่ดวงตาที่กำลังโกรธของเธอและพูดทีละประโยคว่า “การคัดค้านถือเป็นโมฆะ เว้นแต่ คุณต้องการให้ผมกักขังคุณอีกครั้ง”
มู่เวยเวยนึกถึงชีวิตที่มืดมนที่เคยผ่านมาของเธอ น้ำเสียงของเธออ่อนลง“ แบบร่างการออกแบบต่างๆของฉันยังอยู่ในแผนกออกแบบ … ”
“ ผมจะให้คนย้ายขึ้นมา”
มู่เวยเวยทำได้เพียงยอมทำตาม แต่ในใจยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เขาตัดสินใจทำแบบนี้ไม่มีอะไรเป็นไปได้นอกจากเหตุผลของพี่ชายแน่นอน
เพียงแค่เพื่อออกจากผู้ชายเลวๆอย่างเย่ฉ่าวเฉินได้อย่างราบรื่น ตอนนี้ประนีประนอมสักหน่อยจะเป็นอะไรไป?
เมื่อถึงห้องทำงาน เย่ฉ่าวเฉินสั่งให้เลขาหลิวย้ายโต๊ะและเก้าอี้ไปวางไว้ข้างหน้าต่างที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
“ประธานเย่ นี้เป็นของทั้งหมดในแผนกออกแบบของมู่เวยเวย” เลขาหลิวถือแบบร่างการออกแบบกองใหญ่ไว้ในมือโดยมีกระถางต้นกระบองเพชรอยู่ด้านบนสุด
มู่เวยเวยรีบไปหยิบต้นกระบองเพชรอย่างรวดเร็ว เธอกลัวว่าจะไปโดนใบหน้าขาวๆของเลขาหลิว
เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่โต๊ะทำงานชั่วคราวที่อยู่ไม่ไกลจากเธอและพูดว่า “วางไว้บนโต๊ะก็พอ ให้เธอจัดการเอง”
“ขอบคุณค่ะๆ รบกวนคุณจริงๆ” มู่เวยเวยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เลขาหลิวกล่าวอย่างสุภาพว่า “เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ถ้าคุณยังขาดอะไรอีกก็บอกฉัน”
“ได้ค่ะ ขอโทษที่รบกวนนะคะ”
หลังจากผู้คนได้ข่าวคราวที่ไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาต่างบอกว่าต้องเป็นเพราะเย่ฉ่าวเฉินรักภรรยาของเขามากเกินไป เขาจึงอยากเห็นเธอตลอดเวลา
นับตั้งแต่นั้นภาพลักษณ์ของเย่ฉ่าวเฉินชายผู้แสนดีและสามีดีเด่นก็กลายเป็นประเด็นที่พูดคุยกันสำหรับพนักงานในห้องรับรองและโต๊ะอาหารอีกครั้ง
ในตอนเช้ามู่เวยเวยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานใหม่ของเธอรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างมาก
เนื่องจากชั้นห้องทำงานผู้จัดการบริษัทไม่รู้ว่าเป็นเพราะการรายงานหรือเป็นเพราะมีเรื่องต่างๆให้ตรวจสอบความแน่ใจ โดยเฉลี่ยประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีคนเข้ามาหนึ่งคน และสายตาที่คอยมองเธอไม่หยุด หลักจากสบตากับเธอก็จะยิ้มให้เธออย่างเกรงใจ
ในความเป็นจริง พวกเขามีอะไรให้รู้สึกเกรงใจคนที่ต้องทำตัวไม่ถูกคือฉันหรือเปล่า?
เดิมที่ฉันจะแก้ไขแบบร่างการออกแบบนี้ให้เสร็จแค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างมาก ช่วงเช้าฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
ไม่ง่ายเลยที่เธอจะรอดพ้นสายตาของผู้คนเหล่านั้น มู่เวยเวยก็โยนปากกาในมือลงอย่างหงุดหงิดและพูดว่า “พักแล้ว ฉันไปกินข้าวนะ”
“ รอเดี๋ยว ผมกับคุณไปพร้อมกัน” เย่ฉ่าวเฉินปิดคอมพิวเตอร์ลวกๆ
“ ฉันอยากกินมันคนเดียว” มู่เวยเวยพูดอย่างจริงจัง
เย่ฉ่าวเฉินเพิกเฉยต่อเธอ “คุณสามารถปฏิบัติกับผมราวกับว่าผมไม่มีตัวตน ไปกันเถอะ”
พูดขนาดนี้แล้วมู่เวยเวยยังพูดอะไรได้อีก? ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินด้วยกัน
ทั้งสองไปที่ร้านอาหารจีนที่อยู่ใกล้ๆ เย่ฉ่าวเฉินหยิบเมนูขึ้นมาและถามเธอว่า “อยากกินอะไร?”
“เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน, ต้มแซ่บปลาผักดอง, ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน” มู่เวยเวยไม่รู้เป็นอะไร ไม่กี่วันนี้เธอรู้สึกอยากกินแต่อาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว“ คุณไม่ชอบอาหารรสเผ็ดไม่ใช่หรอ?”
“ อยู่ๆก็อยากกิน”
เย่ฉ่าวเฉินพูดกับพนักงานเสิร์ฟว่า “เพิ่มกุ้งพัดข้าวโพดและพุทราตุ๋นยาจีนอีกอย่างละที่ เต้าหู้ผัดซอสเสฉวนเผ็ดน้อยหน่อยแล้วก็โยเกิร์ตอีกกล่อง”
“ได้ค่ะ ทั้งสองท่านโปรดรอสักครู่”
พนักงานเสิร์ฟจากไปและทั้งสองก็เงียบอีกครั้ง มู่เวยเวยวิเคราะห์ลวดลายที่สวยงามบนจานอย่างจริงจัง เย่ฉ่าวเฉินจ้องที่ใบหน้าของเธอในใจก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
“เวยเวย ” เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะเรียกเธอออกมา
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นเมื่อเธอได้ยินเสียงเรียกของเขาและมองเขาอย่างสงสัย
เย่ฉ่าวเฉินจับเข่าของเขาไว้แน่น“ ถ้าผมเป็นเสี่ยวจื่อตลอดไป คุณจะยังรังเกลียดผมแบบนี้ไหม?”
เปลือกตาของมู่เวยเวยกระตุก เขาหมายความว่าอย่างไร?
“เกลียด เพราะเดิมทีเย่ฉ่าวเฉินเป็นคนเดียวกับเสี่ยวจื่อ พวกคุณไม่สามารถแยกจากกันได้”
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกสูญเสีย ใช่เขาจะแสดงใบหน้าของเสี่ยวจื่อออกมาให้ผู้คนเห็นได้อย่างไร เสี่ยวจื่อเป็นสถานะของเขาตอนที่ใช้พลังพิเศษ อย่าแม้แต่จะพูดเลยเขาเองก็ไม่สามารถทนรักษาสถานะนั้นไว้ได้ ในความเป็นจริงเขาเองก็ไม่ยอมให้เขาเปลี่ยนแปลงไป
บางทีหนานกงเฮ่าอาจะจะสร้างปัญหากับเรื่องนี้ได้
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วมองไปที่เธอพร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนชาตินี้คุณจะไม่มีทางให้อภัยผม”
มู่เวยเวยหันหน้าหนีและมองไปที่การจราจรด้านนอก“เย่ฉ่าวเฉิน คุณใช้ชีวิตอย่างหยิ่งผยองและสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องการการให้อภัยจากฉันเลยสักนิด”
“ไม่ เมื่อก่อนผมเองก็เคยคิดแบบนี้ แต่ตอนนี้ … ” เย่ฉ่าวเฉินหยุดชั่วคราว “ผมเสียใจกับสิ่งที่เคยทำลงไป ผมอยากแก้ไขมันอีกครั้งแต่คุณกลับไม่ให้โอกาสผมเลย”
มู่เวยเวยยิ้มเยาะเย้ย“ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่สามารถทำเหมือนมันหายไปพร้อมกับสายลมได้ รอยแผลที่ทิ้งไว้บนร่างกายสามารถรักษาหายได้ แต่รอยแผลในใจนั้นไม่มีทางรักษาให้หายไปได้หรอกนะ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่แยแส
ทันทีที่อาหารมาเสิร์ฟ มู่เวยเวยก็ไม่เปิดโอกาสให้ได้คุยกับเขาอีก เธอเอาแต่ก้มหน้ากินอย่างเดียว
เย่ฉ่าวเฉินขยับตะเกียบได้สองสามครั้งก็ไม่มีอารมณ์กินต่อ เลยเอาแต่คีบอาหารให้เธอไม่หยุด
ช่วงบ่าย ในที่สุดการเยี่ยมเยียนในชั้นทำงานของผู้บริหารก็สิ้นสุดลง มู่เวยเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความง่วงและเกือบเอาหัวโขกกับโต๊ะหลายครั้ง
อาจจะเป็นเพราะตอนเที่ยงกินอิ่มเกินไปหรืออาจเป็นเพราะแสงแดดในช่วงบ่ายที่รู้สึกอบอุ่นมาก หลังจากหาวไปหลายครั้ง มู่เวยเวยก็หลอบลงกับโต๊ะทำงานและหลับไป
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและอุ้มเธอไปวางบนเตียงในห้องรับรอง ใบหน้าที่ขาวและอ่อนโยนของเธอกระทบกับแสงแดด ริมฝีปากของเธอที่มีเสน่ห์อย่างยิ่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงไปจูบหน้าผากแล้วลูบหน้าเธอพร้อมกับพูดเบาๆว่า “เวยเวย ผมจะไม่ปล่อยให้คุณจากผมไป ต่อให้คุณจะเกลียดผมไปตลอดชีวิตก็ตาม”
…
บ้านตระกูลมู่
รถมายบัคสีดำสามคัดจอดอยู่ตรงประตู มีชายคนหนึ่งลงจากรถเป็นชายร่างสูงกำยำ สวมเสื้อผ้าสีเทาและกางเกงขายาวสีดำ ภาพเงาลึกดวงตาที่แหลมคมคู่นั้นดูเหมือนจะซ่อนความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดและริมฝีปากบางโค้งงอของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นและหรี่ตามองไปที่บ้านหลังนี้ที่สวยงาม พร้อมกับแสยะยิ้มที่มุมปาก คุณลุงที่รักบ้านของผมแต่คุณอยู่อย่างสบายเชียว?
เขางอนิ้วของเขาแล้วเคาะประตูเรียกบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลัง
“ ใครครับ มาแล้วๆ … ”
ประตูเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ห่างหายไปนาน พ่อบ้านยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ทันที
“ ลุงกัว ไม่เจอกันนานเลยนะ” มู่เทียนเย่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ลุงกัวตะกุกตะกักยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกบอดี้การ์ดสองคนดันแขนให้เขาหลบไป
มู่เทียนเย่เดินเข้ามาเรื่อยๆจนถึงห้องนั่งเล่นในบ้าน
ฟางซินยี่ได้ยินเสียงดังขึ้นจึงหันหน้าไป เมื่อแธอเห็นหน้าเขาก็เกือบทำแจกันในมือตกแตก “มู่… มู่เทียนเย่ … ”
“ป้าสะใภ้ที่รัก คุณยังจำผมได้ไหม?” มู่เทียนเย่เดินเข้าไปหาเธอทีละก้าวโดยไม่พูดอะไร ฟางซินยี่ก็ก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ
“นาย … ทำไมนายกลับมาแล้ว?” ใบหน้าของฟางซินยี่ซีดเซียวและน้ำเสียงของเธอสั่น
มู่เทียนเย่นั่งไขว่ห้างลงบนโซฟาและยิ้ม“ป้าสะใภ้ นี่มันบ้านของผม ผมกลับมาไม่ได้เหรอ?”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันหมายถึง … ” เหตุผลที่ฟางซินยี่กล้าไล่มู่เวยเวยแต่งงานออกจากบ้านหลังนี้ไป ก็เพราะเห็นว่ามู่เทียนเย่ไม่อยู่แล้ว พวกเขาต่างคิดว่ามู่เทียนเย่ถูกศัตรูฆ่าตายไปแล้ว ซึ่งไม่มีใครคิดเลยว่าเขาจะกลับมา?
มู่เทียนเย่มองไปรอบๆห้องนั่งเล่น ที่ที่เคยมีรูปครอบครัววางอยู่กลายเป็นกระถางดอกไม้ไปซะแล้ว รูปครอบครัวน่าจะถูกคนบ้านนี้โยนทิ้งไปหมดแล้วแหละ
“ ที่ผมกลับมา ป้าสะใภ้ดูเหมือนจะไม่มีความสุข?” มู่เทียนเย่ยิ้มและเหลือบมองไปที่เธอ
ฟางซินยี่โบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ ฉันดีใจมาก”
“จริงเหรอ? แล้วยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น? มานี่สิ”
“นายครับ” บอดี้การ์ดที่ตามมาพูดขึ้น
“เอาเก้าอี้ให้ป้าสะใภ้ ปล่อยให้ผู้ใหญ่ยืนพูดมันดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่” มู่เทียนเย่พูดด้วยความยิ้มเยาะเย้ย
“ครับ นาย”
บอดี้การ์ดเอาเก้าอี้มาจากไหนไม่รู้แล้ววางไว้ตรงหน้าฟางซินยี่ดัง “ตึง” พร้อมกับพูดอย่างเย็นชาว่า “นั่ง”
ฟางซินยี่กล้าหรือที่จะไม่นั่ง? เธอนั่งลงตัวสั่น นิ้วทั้งสิบบิดกันแทบจะเป็นขนมเกลียว
“ป้าสะใภ้ เวยเวยน้องเล็กของผมอยู่ไหน?” มู่เทียนเย่แสร้งยิ้มทำเป็นไม่รู้
ฟางซินยี่เริ่มมีเหงื่อออกที่หน้าผากและพูดเบาๆว่า “เธอ … เธอแต่งงานแล้ว”
“เสียงดังหน่อย!” มู่เทียนเย่ตะโกนเสียงดัง
ฟางซินยี่หดตัวลงด้วยความตกใจ กลัวว่าเขาจะกระโดดมาแล้วฉีกตัวเองเป็นชิ้นๆ
“ เวยเวยแต่งงานแล้ว” เสียงนั้นดังขึ้นเล็กน้อย
“แต่งงาน?” มู่เทียนเย่ประหลาดใจ “เธอยังเรียนอยู่ที่โรงเรียน เธอจะแต่งงานได้อย่างไร?”
ฟางซินยี่เช็ดเหงื่อ ไม่กล้ามองไปที่คนกระหายเลือดอย่างเขา “ฉันก็ไม่รู้ มีวันหนึ่งเธอกลับแล้วบอกว่าเธออยากแต่งงาน เราก็เลยเห็นด้วย … ”
“จริงเหรอ?เธอแต่งงานกับใคร?”
“เย่ฉ่าวเฉินแห่งตระกูลเย่”
มู่เทียนเย่จ้องมองเธอสักครู่แล้วถามต่อว่า “แฟนของเธอคือลู่จื่อหางไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไปแต่งกับเย่ฉ่าวเฉินได้?”
ฟางซินยี่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“โอเค ถ้างั้นผมถาม เธอเต็มใจที่จะแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินไหม?”
ฟางซินยี่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ เธอเต็มใจ เราไม่ได้บังคับเธอ”
“ ผมจะถามอีกครั้งว่าเธอเต็มใจไหม?” น้ำเสียงของมู่เทียนเย่เผยให้เห็นถึงเจตนาที่จะฆาตกรรมอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นฟางซินยี่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ในขณะนั้นมู่อี้เหยาก็วิ่งลงมาจากบันไดพร้อมกับตะโกนใส่เขา “มู่เทียนเย่ นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาพูดจากับแม่ฉันแบบนี้”
มู่อี้เหยามองขึ้นไปบนเพดานและหัวเราะเสียงดัง ฟางซินยี่จับแขนมู่อี้เหยาเพื่อให้เธอหุบปาก แต่คุณหนูผู้หยิ่งผยองมีหรอที่จะหยุด
“โอ้ย ฉันไม่ได้ยินเรื่องตลกแบบนี้มานานแล้ว” มู่เทียนเย่พูดพลางกุมท้องของเขาไว้ “ฟางซินยี่ ผมไม่เห็นลูกสุดที่รักของคุณมานานแล้ว ทำไมถูกคุณสอนมาเป็นสภาพนี้? บรรพบุรุษของตระกูลมู่เห็นเข้าเป็นไปได้ไหมว่าจะเครียดจนต้องคลานออกมาจากหลุมฝังศพ? ”
มู่อี้เหยาเคยได้ยินคำพูดที่ร้ายแรงเช่นนี้มาก่อนที่ไหนละ ดวงตาของเธอโกรธจนแดงไปหมด“ มู่เทียนเย่ ตอนนี้ที่นี้คือบ้านของฉัน ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“บ้านเธอ?” มู่เทียนเย่มองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มและพูดอย่างเหน็บแนมว่า”มู่อี้เหยา เธอโตแต่ตัวไม่ได้สมองเธอต้องโตตามด้วย นี่บ้านเธอหรอ?”
“ฉันไม่สน ยังไงตอนนี้ฉันกับพ่อแม่อยู่ที่นี้ดังนั้นนี่คือบ้านฉัน แม้ว่านายจะกลับมาเราก็จะไม่คืนบ้านให้นาย” มู่อี้เหยาอยู่จนคุ้นเคยกับบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะกลับไปอยู่คอนโดในตึกแบบนั้นอีก
“เหยาเหยา!” ฟางซินยี่ตะโกนอย่างเย็นชา ลูกสาวคนนี้น้ำเข้าสมองหรือไง? คำพูดแบบนี้ยังกล้าพูดต่อหน้ามู่เทียนเย่?
“แม่ ทำไมต้องไปกลัวเขาขนาดนี้อย่างกับว่าเขากินเราลงไปได้” มู่อี้เหยาจับมือแม่แล้วพูดด้วยความโกรธ
มู่เทียนเย่ยิ้มอย่างดูถูกแล้วพูดว่า“ ไม่ๆ ผมไม่กินพวกคุณหรอก ผมทำได้แค่ให้พวกคุณคายสิ่งที่กินเข้าไปออกมาเท่านั้นเอง โทรหาคุณลุงสุดที่รัก ให้เขากลับมาเดี๋ยวนี้”
“ พ่อฉันยุ่ง ไม่มีเวลา”
ทันทีที่คำพูดของมู่อี้เหยาจบลง เสียง”ปัง”ก็ดังขึ้น แจกันข้างมือของฟางซินยี่ถูกยิงจนแตกสลาย ดอกไม้ที่เพิ่งใส่ในแจกันก็กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
บรรยากาศสงบลงทันที มู่อี้เหยากอดแม่ของเธอไว้แน่นแล้วมองไปที่มู่เทียนเย่ด้วยความหวาดกลัว
มู่เทียนเย่เล่นปืนในมือไปมาและมองไปที่พวกเขาด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความชั่วร้าย“ ตอนนี้มีเวลาหรือยัง?”
“นายไม่ต้องมาขู่ ฉันไม่กลัวนายหรอก” มู่อี้เหยายังคงปากแข็ง
“ปัง” เขายิงไปอีกหนึ่งนัด กระสูนเฉียดโดนผิวหนังของเธอทำให้เป็นแผลตื้นไม่มีเลือดออก แต่ ทำให้มู่อี้เหยาตกใจจนช็อกไปเลย
“ มีหรือไม่มี?” มู่เทียนเย่ยังคงถามต่อ
ฟางซินยี่กังวลและพูดอย่างรวดเร็วว่า “มีๆๆ เทียนเย่นายใจเย็นๆ พวกเราต่างก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ฉันจะโทรเรียกลุงของนายเดี๋ยวนี้”
“โทรตรงนี้” คำพูดของมู่เทียนเย่ทำให้เธอย่ำอยู่กับที่
ฟางซินยี่หยิบโทรศัพท์มือถือของเธออกมาด้วยความสั่น ค้นไปยังหมายเลขของมู่จางรุ่ย หลังจากดังขึ้นสี่ห้าครั้งอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “มีเรื่องอะไร? ผมคุยธุระกับลูกค้าอยู่ข้างนอก”
“จางรุ่ยกลับมาเร็ว ๆ ”
มู่จางรุ่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์“ ผมพูดแล้วไม่ใช่หรอว่าผมไม่ว่าง มีเรื่องอะไรดึกๆผมกลับไปค่อยคุย” จากนั้นในโทรศัพท์ก็มีเสียงชนแก้วดังขึ้น
พอฟางซินยี่ได้ยินดังนั้นก็รู้ทันทีว่าเขากำลังไปสังสรรค์ข้างนอกอีกแล้ว ทันใดนั้นเธอก็โกรธขึ้นมาทันที“มู่จางรุ่ย คุณกลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันกับมู่เทียนเย่กำลังรอคุณอยู่ที่บ้าน”
มู่จางรุ่ยไม่ทันได้คิด “ใคร? คุณอยู่บ้านกับใคร?”
“มู่เทียนเย่ เขากลับมาแล้ว” มีร่องรอยของความหดหู่และผิดหวังในน้ำเสียงของฟางซินยี่
“โอเคๆๆ ผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสาย ก็ย้อนกลับไปถึงคำถามของมู่เทียนเย่ที่ถูกมู่อี้เหยามาขัดจังหวะไว้ “เมื่อกี้ผมถามคุณว่าเวยเวยแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินด้วยความเต็มใจไหม?คุณคิดให้ดีก่อนค่อยตอบ มิฉะนั้นกระสุนนัดต่อไปจะยิงโดนจุดไหน ผมไม่สามารถรับประกันได้นะ ”
ฟางซินยี่กลืนน้ำลายอย่างประหม่าและพูดว่า “ตอนนั้น หลังจากที่นายหายตัวไปอย่างกะทันหัน บริษัทของตระกูลมู่ก็มีปัญหาเรื่องกองทุนครั้งใหญ่ เพื่อรักษาบริษัทที่พ่อแม่นายสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา เราไม่มีทางเลือกเลยให้เวยเวยแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน ตอนนั้นเวยเวยเองก็เห็นด้วย ถ้านายไม่เชื่อไปถามเธอได้ และหลังจากที่เธอแต่งงานแล้วเย่ฉ่าวเฉินก็ปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดี ซึ่งทุกคนก็เห็นกันอย่างชัดเจน ”
“ หมายความว่าพวกคุณขายน้องเล็กของผมเพื่อบริษัทของตระกูลมู่เหรอ?” น้ำเสียงของมู่เทียนเย่เย็นลง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
มู่อี้เหยากลับสู่สภาวะเดิม เธอนึกถึงครั้งก่อนที่มู่เวยเวยตบเธอต่อหน้าสาธารณชน จึงจ้องไปที่มู่เทียนเย่แล้วพูดว่า “มู่เวยเวยสามารถแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินได้เป็นพรที่เธอขอมาทั้งแปดชาติ เธอมีอะไรให้ไม่เต็มใจ”
“หุบปาก!” มู่เทียนเย่ชี้ไปที่เธอด้วยปืน “ถ้ายังพูดมากอีกประโยค เชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าเธอ”
จากการที่เขาสืบสวน มู่อี้เหยามีบทบาทสำคัญที่ทำให้เวยเวยกับลู่จื่อหางต้องเลิกกัน
มู่อี้เหยาตกใจกับสายตาของเขามากจนเธอหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของฟางซินยี่และไม่กล้าพูดอะไรอีก
เธอไม่เคยเห็นมู่เทียนเย่แบบนี้มาก่อน เพียงแค่เคยได้ยินคนนอกบอกว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้ดุร้ายมาก วันนี้ได้เห็นแล้วไม่เพียงแต่ดุร้ายเท่านั้นแต่เป็นพญายมกลับชาติมาเกิดต่างหาก
มู่เทียนเย่ขี้เกียจที่จะพูดเรื่องไร้สาระกับพวกเขา แล้วลุกขึ้นเดินไปรอบๆบ้าน นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังเหมือนเดิมแต่ภายในเปลี่ยนไปมาก ม่านสีเหลืองอ่อนที่แม่ชื่นชอบ รูปแกะสลักหินที่พ่อเก็บสะสมมาและเปียโนตรงมุมตึกที่เติบโตมาพร้อมกับเวยเวย หายไปหมดแล้ว
ที่นี่ไม่มีกลิ่นไอของความเป็นบ้าน
มีแต่ของของบ้านลุงที่ต่ำต้อย
“ แล้วภาพถ่ายก่อนหน้านี้ล่ะ?” มู่เทียนเย่ถาม
ฟางซินยี่มองไปที่เขาและพูดว่า “วางไว้ในห้องบนชั้นสาม”
ในตอนนั้นมู่อี้เหยาจะเอารูปทั้งหมดในบ้านหลังนี้ไปเผาทิ้ง โชคดีที่เธอห้ามไว้แล้วเอาไปเก็บไว้ในห้องว่างที่ไม่ได้ใช้งาน ไม่เช่นนั้นดูจากท่าทางของมู่เทียนเย่ในวันนี้คงเกิดพายุขึ้นอีกครั้ง
มู่เทียนเย่พูดกับบอดี้การ์ดเหล่านั้นว่า “ดูพวกเขาสองคนไว้” จากนั้นก็ขึ้นไปชั้นสามด้วยตัวเขาเอง
“ครับ นาย”
ห้องไม่ได้ล็อกแค่ผลักก็ถูกเปิดออกทันที มีชั้นฝุ่นหนาอยู่ภายในและมีใยแมงมุมอยู่บนหลังคา
มีเพียงโต๊ะและเตียงเล็กๆในห้อง กรอบรูปและอัลบั้มรูปต่างๆวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ บนเตียงนอนเต็มไปด้วยกล่องกระดาษแข็งสองสามลัง เมื่อเปิดออกเป็นหินแปลกๆและงานแกะสลักหินที่พ่อเก็บรวบรวมมาจากทั่วทุกมุมโลก
มู่จางรุ่ยยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง เขายังเก็บสิ่งเหล่านี้เอาไว้