” อาการโคม่า ฉันเองก็พึ่งรู้เรื่องนี้ไม่นาน ตอนนี้พี่ชายของเธอยังไม่ได้สติต้องรอให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน……” พอพูดจบ มู่จางรุ่ยก็มีความคิดที่ไม่ดีผุดขึ้นมาทันที ” ใช่สิ เวยเวยตอนนี้เธอเป็นภรรยาของคุณชายเย่นี่นา เธอลองคิดหาวิธีขอเงินจากเขามาหน่อยได้มั้ย ตอนนี้พี่ชายเธออยู่ในอาการโคม่า จำเป็นต้องใช้เงิน มู่ซื่อในตอนนี้ก็ประสบปัญหาการเงินอยู่ เอางงี้ดีกว่ามั้ย เธอลองไปขอร้องให้คุณชายเย่ช่วย อย่างน้อยเธอก็อยู่ในฐานะภรรยาของเขา”
พอพูดเสร็จ ในดวงตาของมู่จางรุ่ยก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ใช่สิ เขาลืมไปได้ยังไงกัน ยังมีมู่เวยเวยนี่ไงที่เป็นบ่อเงินบ่อทองให้เขาได้! เขานี่จริงๆเลยลืมได้ไงกันเนี่ย ถ้าคิดได้ยังงี้แต่แรกก็คงจะรับสายและขอตังจากเธอไปตั้งนานแล้ว
“ให้ฉันไปขอตังจากเย่ฉ่าวเฉิน? ” มู่เวยเวยอึ้งไปเล็กน้อย มันจะเป็นไปได้ยังไง? ในสายตาของเย่ฉ่าวเฉินนั้นเธอก็ไม่ต่างอะไรกับคนใช้!
” ถูกต้องแล้ว ” ในแววตาของมู่จางรุ่ยเต็มไปด้วยความหวัง ” นอกจากขอความช่วยเหลือจากคุณชายเย่ ก็ไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้ว เธอคงไม่อยากให้พี่ชายเธอตายอยู่ที่สหรัฐอเมริกกาหรอกใช่มั้ย?
“ไม่ ฉันไม่ปล่อยให้พี่ชายฉันตายหรอก ” มู่เวยเวยรีบส่ายหัวทันที
มู่จางรุ่ยตอบกลับอย่างพอใจ ” คิดถูกแล้ว ตอนนี้พี่ชายเธอจำเป็นต้องใช้เงิน เธอก็เข้าไปขอเงินจากคุณชายเย่มา ก็ไม่มากเท่าไหร่ แค่หนึ่งล้านหยวนเอง! ”
“หนึ่งล้านงั้นหรอ ” มู่เวยเวยอุทานออกมาด้วยความตกใจ “นี่มันไม่มากไปหน่อยหรอ?”
“ไม่มากไปหรอก! “มู่จางรุ่ยส่ายหัว ” เงินเท่านี้สำหรับคุณชายเย่ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก แต่สำหรับพี่ชายเธอ มันสามารถช่วยชีวิตเขาได้เลยนะ!เวยเวย เธอต้องช่วยพี่ชายเธอให้ได้นะ สองสามวันมานี้ที่ลุงกับป้าไม่รับสายเธอก็เพราะไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเธอ แต่ว่าตอนนี้พวกเราหาทางออกไม่ได้แล้วจริงๆ ”
“……” มู่เวยเวยพูดไม่ออก ในหัวเธอเห็นแต่ภาพพี่ชายของเธอที่นอนติดเตียง เวลาผ่านไปนานพอสมควรเธอค่อยพูดขึ้นว่า ” ถ้างั้นฉันจะลองหาวิธีดูนะ! ”
หลังจากที่ออกจากบริษัทมู่ซื่อแล้ว มู่เวยเวยจึงบอกให้คนขับรถไปขับส่งเธอที่บ้านเย่ เธอมีเรื่องไม่สบายใจมาตลอดทาง
เงินตั้งหนึ่งล้านเชียวน่ะ……เธอจะพูดกับเย่ฉ่าวเฉินยังไงกันเนี่ย?
เธอคิดมากจนปวดหัว หลังจากที่เขาลงรถและกำลังเปิดประตูจะก้าวเท้าเข้าไปในวิลล่า มู่เวยเวยก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่แท้ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาบ้านนี่เอง
” ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พี่ฉ่าวเฉิน ตลกมากเลยพี่ว่ามั้ย นี่ถือเป็นวีรกรรมวัยเด็กของลูกพี่ลูกน้องฉันเชียวนะ! เสียงอันแหลมปรี๊ดของมู่อี้เหยาลอยมาแต่ไกล มู่เวยเวยเมื่อได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้วทันที
ตามหลอกหลอนฉันได้ทุกที่จริงๆ แม้กระทั่งในบ้านเย่ก็ยังตามมาอีก!
ทันทีที่มู่เวยเวยเดินเข้ามาเธอก็เห็นฉากบนโซฟา ที่มู่อี้เหยากำลังเกาะแขนเย่ฉ่าวเฉิน
อย่างสนิทสนม และคุยกันอย่างสนุกสนาน เรื่องราวที่คุยกันล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรอบตัวเธอทั้งนั้น แต่ว่าล้วนแต่เป็นเรื่องน่าอายของเธอ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาคุยกันอย่างถูกคอ มู่เวยเวยก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มากนัก สองคนนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ ทำตัวสวีทกันก็ไม่รู้กาลเทศะเลย……เอาเถอะ ถ้าพูดถึงความหนาของหน้าสองคนนี้ขนาดปูนซีเมนต์ยังต้องพ่ายแพ้เลย ก็แหงหล่ะพวกเขาเลยไม่แคร์สายตาคนอื่น พอคิดได้แบบนี้แล้ว ฉันก็เดินขึ้นชั้นบนไปอย่างสบายใจ
“หยุดนะ ”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเธอ และตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เดิมทีเย่ฉ่าวเฉินอยากจากสะบัดความเกาะแกะของมู่อี้เหยาออก แต่ในขณะนั่นเองเขาเห็นมู่เวยเวยกำลังเดินเข้ามาพอดี เขาอยากให้มู่เวยเวยแสดงอาการหึงหวงเขา เขาจึงไม่ได้จัดการใดๆกับกระทำนั้นของมู่อี้เหยา แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า มู่เวยเวยจะทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นแล้วเดินขึ้นห้องไป และด้วยเหตุผลนี้ทำให้เขาโกรธขึ้นมาทันที!
พอมู่เวยเวยได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เธอก็หยุดและหันกลับไปถามเย่ฉ่าวเฉินอย่างนิ่งๆว่า “มีเรื่องอะไรงั้นหรอ? ”