ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 498 เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาไปชั่วชีวิต

“ตึงงง……” ดาบยักษ์ปะทะเข้ากับสามง่าม เกิดเสียงสนั่นบาดแก้วหู  
 
 
นางปัดสามง่ามเล่มนั้นออกไปจากอกของซื่อมั่วได้ทัน  
 
 
บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้ใช้ดาบยักษ์มานาน ข้อมือของตู๋กูซิงหลันถึงกับสะท้านจนชาวูบ  
 
 
ขณะเดียวกันยังต้องรับสายฟ้าที่ส่งผ่านมาจากร่างกายของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย  
 
 
สายฟ้านั้นไหลผ่านดาบยักษ์ตรงเข้าสู้ร่างกายของนาง  
 
 
นางเองก็เคยรับสายฟ้า แต่ว่าพลังของสายฟ้ากลุ่มนี้ยังรุนแรงกว่าสายฟ้าที่โหดที่สุดที่นางเคยรับมาอยู่อีกหลายขุม  
 
 
พอฟาดเปรี้ยงลงมา ถึงกับทำให้ร่างสะท้านจนเจ็บปวดไปทั้งตัว  
 
 
นางกัดฟันลงไป ดวงตาสะท้อนแววตาอดทนอดกลั้นเอาไว้ออกมา  
 
 
พายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงทำให้นางเปียกปอนไปทั้วร่าง เส้นผมยาวสลวยลู่ไปกับตัว ดาบยักษ์ในมือขยับวูบอีกครั้ง แทงเข้าใส่เงาร่างของคนที่อยู่ในแสงสว่างนั้นอย่างโหดเ**้ยม  
 
 
“ป้ง!” พอกวาดดาบออกไป ทั่วทั้งเรือนก็สั่นสะท้านไปทั้งหลัง  
 
 
ทันใดนั้นเหล่าคนที่เดิมทีมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างของซื่อมั่ว ก็ถูกตู๋กูซิงหลันดึงดูดความสนใจไปจนหมด  
 
 
ร่างของพวกเขามีแสงสว่างล้อมรอบ แต่นางก็รู้สึกได้ว่า ดวงตาที่อยู่หลังแสงสว่างเหล่านั้นหันมาจับจ้องที่ตัวนาง  
 
 
ขณะที่ดวงตาเหล่านั้นชะงักค้างอยู่วูบหนึ่ง โดยที่ยังไม่ทันได้สังเกตความในใดออก ดวงตาที่ปิดอยู่ของซื่อมั่วก็พลันลืมขึ้นมา  
 
 
ปลายนิ้วที่เรียวยาวของเขาเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงดีดพิณดัง ‘ติงตัง’ เสียงนั้นก็ปรากฏเป็นคลื่นเสียงรูปแบบหนึ่งที่แม้แต่ตาเปล่าก็ยังสามารถมองเห็นได้ ซัดสาดออกมา  
 
 
ชั่วขณะนั้นเอง เงาร่างในกลุ่มแสงที่รายล้อมอยู่รอบตัวของตู๋กูซิงหลันก็ถูกคลื่นเสียงนี้สะบั้นร่างออกมา คลื่นเสียงยังแทรกซึมเข้าไปในร่างที่เปล่งแสงเหล่านั้น ร่างที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆพลันติดไฟลุกโชนขึ้นมา  
 
 
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของซื่อมั่วก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่กว่าเดิม  
 
 
เขาลุกขึ้นมา ใช้มือเพียงข้างเดียวดีดพิณ เปล่งเสียงที่บีบคั้นออกมาขณะที่ถลาเข้ามาบดบังอยู่ตรงหน้าของตู๋กูซิงหลัน  
 
 
ใช่แล้ว เขาบดบังอยู่ที่ด้านหน้าของนาง รับพลังแสงที่สะท้อนออกมาจากร่างของเจ็ดแปดคนนั้นอยู่ตรงหน้านาง  
 
 
สิ่งที่เขายอมให้ตู๋กูซิงหลันได้เห็นมีแค่เพียงเงาหลังของเขาเท่านั้น  
 
 
เงาหลังที่คอยบังคลื่นลมฟ้าฝนมาให้กับนางโดยตลอด  
 
 
“ศิษย์เอ๋ย หลบไปซะ” เขาใช้มือข้างเดียวเล่นพิณ มืออีกข้างเปล่งแสงสว่างออกมา บิดร่างถอยหลังเล็กน้อย ก็จะส่งพลังเข้าไปในร่างของนาง  
 
 
แต่ขณะที่ยกมือขึ้นมานั้นเอง ตู๋กูซิงหลันก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ มือของนางกุมข้อมือของเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อาจารย์ช่างเหมือนกับจีเฉวียน ร่างกายเย็นเฉียบ ปราศจากไออุ่นแม้แต่น้อย  
 
 
นางส่ายศีรษะ มือก็กุมดาบยักษ์เอาไว้มั่น มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา “อาจารย์ ข้าโตแล้ว สามารถปกป้องท่านได้เช่นกัน”  
 
 
หลายวันก่อนหน้านี้นางพึ่งจะถอนยันต์รักษาจิตคืนชีพที่อาจารย์ผนึกเอาไว้ในร่างของนางออกไป เพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์ต้องสิ้นเปลืองพลังชีวิตไปกับร่างกายของนางอีก  
 
 
นางเองก็รู้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ทะเลไร้ก้น อาจารย์ได้รับบาดเจ็บสาหัส…. ตอนนี้อยู่ๆก็มีคนเหล่านี้บุกเข้ามา นางเกรงว่าในช่วงเวลาสั้นๆเขาอาจรับมือไม่ทัน  
 
 
ผู้คนเหล่านี้….ไม่เหมือนกับศัตรูที่ผ่านมา ทั่วทั้งร่างของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง เป็นพลังที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน พลังนั้นคล้ายจะไม่ใช่พลังที่คงอยู่ในโลกปัจจุบัน และมิได้มาจากโลกโบราณ  
 
 
ร่างเงาแต่ละร่างยังแข็งแกร่งยิ่งกว่ารัชทายาทของเผ่ามังกรทมิฬเยี่ยเฉิงอยู่หลายส่วน  
 
 
ร่างกายของพวกเขามีพลังแสงโอบล้อม…..ตู๋กูซิงหลันจึงไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของพวกเขาได้อย่างชัดเจน  
 
 
คนเหล่านี้……อาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน  
 
 
นางไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยให้อาจารย์คอยปกป้องนางอยู่ตลอดเวลา  
 
 
นางเองก็ต้องการที่จะ……เป็นฝ่ายปกป้องอาจารย์บ้างเช่นกัน  
 
 
ประโยคเดียวของนาง ก็ทำให้หัวใจของซื่อมั่วรู้สึกถึงความซาบซึ้งขึ้นมา ….ลูกศิษย์ที่เคยเช็ดอึเช็ดฉี่ให้จนเติบโตขึ้นมา ในที่สุดก็รู้จักพูดจาภาษามนุษย์บ้างแล้ว  
 
 
มีประโยคนี้ของนาง ก็เพียงพอแล้ว  
 
 
เขาไหนเลยจะยอมให้ศิษย์รักสุดหวงแหนจะต้องมาเสี่ยงอันตรายกัน?  
 
 
ขณะที่ซื่อมั่วกำลังซาบซึ้งอยู่นั้น ตู๋กูซิงหลันก็กล่าวต่อไปอย่างกลมกลืนว่า “อาจารย์…..เป็นอาจารย์หนึ่งวันก็เหมือนเป็นบิดาชั่วชีวิต ข้าจะไม่ยอมเสียบิดาไปเด็ดขาด!”  
 
 
หัวใจที่กำลังซาบซึ้งของซื่อมั่ว เหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าไปเต็มๆ  
 
 
แต่เพราะเขาเอาแต่รักษาสีหน้าเฉยชาเอาไว้อยู่ตลอด จึงไม่มีผู้ใดที่สังเกตเห็นอารมณ์อ่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา  
 
 
“บิดาของเจ้ายังไม่ตาย ยังไม่ต้องรีบร้อนรับอาจารย์ไปเป็นบิดาของเจ้าหรอก” เขากล่าวเสียงเข้ม ปลายนิ้วกรีดผ่านพิณโบราณหนักๆอีกครั้ง จนมันเปล่งเสียงต่ำลึกออกมา และสะท้อนคลื่นเสียงออกไป  
 
 
เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ พลังของคลื่นเสียงกลับอ่อนแออกว่าก่อนนี้อยู่ส่วนหนึ่ง  
 
 
คนเหล่านั้นก็เกิดความตื่นตัวจากเมื่อครู่ จึงพากันหลบหลีกอย่างรวดเร็ว  
 
 
พวกเขาแต่ละคนไม่มีผู้ใดที่อ่อนแอกว่าเยี่ยเฉิงแม้แต่คนเดียว พอพวกเขาเจ็ดแปดคนรวมตัวเข้าด้วยกัน ก็สามารถเรียกสายฟ้าที่น่ากลัวให้ผ่าลงมาในสวนได้ตลอดเวลา กลายเป็นฉากการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว  
 
 
พอพลังเสียงจากพิณของซื่อมั่วสะท้อนออกไปก้อนหินที่จัดเรียงเป็นกำแพงศิลาก็แตกกระจายเป็นผุยผง  
 
 
คนเหล่านั้นเหลือบมองดูแวบหนึ่ง ก็กุมสามง่ามในมือเหาะเข้ามาใหม่อีกครั้ง  
 
 
ตู๋กูซิงหลันยกดาบยักษ์ขึ้นมากระชับมั่น ฟาดฟันลงบนด้านหน้าตรงๆ  
 
 
นางใช้กำลังทั้งหมด โดยไม่รั้งออมแม้แต่น้อย……จากที่เมื่อครู่ได้ประมือกันสองสามกระบวนท่า ในใจของนางก็พอจะคาดเดาได้แล้ว…..  
 
 
เหล่าคนที่มีแสงสว่างรายล้อมเหล่านี้ ไม่ใช่คนไม่ใช่ผี……ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ…..เทพ  
 
 
กลิ่นอายของจิตวิญญาณเช่นนี้นางเคยสัมผัสได้จางๆจากร่างของชือหลี  
 
 
ชือหลีเป็นเทพแห่งสายน้ำบนโลก แม้ว่าพลังเทพมิได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็ยังมีกลิ่นอายเบาบางแบบเดียวกัน  
 
 
อาจารย์และลูกศิษย์ คนหนึ่งดีดพิณ อีกคนหนึ่งใช้ดาบ ต่อสู้ท่ามกลางพายุฝนและสายฟ้าฟาด สายฟ้าที่ฟาดลงมาแต่ละครั้งรุนแรงจนฟ้าหมุนแผ่นดินสะเทือน  
 
 
แต่ว่าในยามที่ต่อสู้กัน คนในเงาแสงเหล่านั้นคล้ายจะพยายามบุกเข้ามาใกล้ตู๋กูซิงหลัน ราวกับว่ากำลังพยายามสืบเสาะค้นหาบางสิ่งบางอย่างจากตัวนาง  
 
 
แต่ว่าทุกครั้งที่พวกเขาคิดจะตรวจสอบให้ลึกลงไป ซื่อมั่วก็จะต้องลงมือขัดขวางได้อย่างทันท่วงทีทุกครั้งไป ไม่ยอมเปิดโอกาสให้แก่พวกเขาแม้แต่น้อย  
 
 
พอหลายสิบครั้งเข้า ผู้คนเจ็ดแปดคนก็ถูกไฟแผดเผาจนหลงเหลือแค่เพียงคนเดียว  
 
 
“ตู๊ม!” ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกวาดดาบยักษ์เข้าใส่เขา สายฟ้าฟาดจากขอบฟ้าก็ผ่าลงมาใส่เขตอาคมนอกเรือนของซื่อมั่วอย่างรุนแรงจนแตกออก  
 
 
สายฟ้านั่นผ่าลงมาใกล้กับตำแหน่งของตู๋กูซิงหลัน  
 
 
ซื่อมั่วโบกมือออกไปครั้งหนึ่ง ก็โอบลูกศิษย์เข้ามาในอ้อมอกอย่างแนบแน่น  
 
 
ร่างของเงาแสงมลายหายไปพร้อมๆกับสายฟ้าที่ผ่าลงมา  
 
 
ขณะที่เงาร่างนั้นเลือนหายไป ก็ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังสะท้อนอยู่ในอากาศ  
 
 
“หมิงอ๋อง สวรรค์เก้าชั้นฟ้าย่อมต้องไม่ปล่อยท่านไป”   
 
 
เสียงนั้นสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในอากาศเหนือเรือนของซื่อมั่วอยู่เนิ่นนานกว่าจะเบาลงจนจางหายไป  
 
 
ตู๋กูซิงหลันยังคงถูกซื่อมั่วโอบเอาไว้อย่างแนบแน่น กระทั่งเมื่อแสงแปลบปลาบสุดท้ายเลือนไปแล้ว พายุฝนจึงหยุดลงอย่างกระทันหัน เขาถึงได้คลายมือออก  
 
 
ตู๋กูซิงหลันเห็นว่าบนฝ่ามือของเขาโชกชุ่มไปด้วยเลือด  
 
 
เป็นเลือดของเขาเอง  
 
 
เมื่อครู่ตอนที่ร่วมกันต่อสู้ นางไม่ได้ถูกสายฟ้าผ่าแม้แต่ครั้งเดียว กลับเป็นว่า ท่านอาจารย์รับความบาดเจ็บทั้งหมดเอาไว้  
 
 
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะไม่รู้ถึงฐานะของอาจารย์ แต่ก็รู้ว่าเขาแข็งแกร่งระดับไร้เทียมทาน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาหลั่งเลือด  
 
 
เลือดของเขาเป็นสีแดงทึบ ทึบจนเกือบจะดำ เลือดที่เปื้อนโดนร่างกายของนาง เย็นจัดจนซึมลึกถึงกระดูก  
 
 
………………..  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset