ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 255 หากว่าเจ้าจูบเราครั้งหนึ่ง เราก็จะบอกเจ้า

อิ๋งฉีรู้สึกเหมือนโดนดาบแทงทะลุหัวใจ กระทั้งหนังศีรษะยังชาวาบ 
 
 
การแสดงออกที่โจ่งแจ้งของจีเฉวียนเช่นนี้ …..ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว 
 
 
ที่แท้แล้วนอกจากท่าทีที่ใช้ไม้อ่อนมากล่อมคนใจแข็ง [1] หรือฌ้อปาอ๋องง้างธนู [2] จีเฉวียนถึงกลับยังมีหนทางที่สามอีกด้วย 
 
 
หน้าด้านหน้าทน [3]  
 
 
พอหันกลับไปมองดู ก็เห็นแม่นางน้อยผู้นั้นได้แต่ขัดเขิน พูดสิ่งใดไม่ออกแล้ว 
 
 
อิ๋งฉีครุ่นคิดดูแล้ว บางทีแม้นางผู้นี้อาจถูกจีเฉวียนบังคับเอาตัวมา 
 
 
ยันต์คุ้มภัยในมือระอุอุ่นขึ้นมา กำเอาไว้ในมือจนแน่น เขาลุกขึ้นอีกครั้ง หันไปกำหมัดถวายคำนับจีเฉวียน “ฝ่าบาททรงมีพระทัยผูกพันลึกซึ้ง ทำให้ผู้คนหวั่นไหวไปด้วย ขอให้ทรงสมปรารถนาโดยไวพะยะค่ะ” 
 
 
ว่าแล้วเขาก็มิได้รอให้จีเฉวียนตรัสคำใดอีก อิ๋งฉีรีบล่าถอยออกมาอย่างว่องไว 
 
 
ยามที่เสด็จออกมาจากกระโจมแล้วนั้น ก็ยังต้องปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากออกไป 
 
 
“คุณชาย เมื่อครู่ท่านถูกฮ่องเต้ต้าโจวทำให้ลำบากใจหรือไม่?” เหล่าผู้ติดตามเห็นท่าทีของเขาเช่นนั้น ก็พากันเป็นห่วง 
 
 
อิ๋งฉีหันกลับไปเหลือบมองกระโจมแวบหนึ่ง ก็หันกลับไปมองดูทะเลทรายที่เวิ่งว้างอีกครั้ง ในใจยังคงรู้สึกถึงแรงเต้นตึกๆ ตักๆ ไม่หาย 
 
 
ที่ผ่านมาเขานึกว่าจีเฉวียนเป็นคนไร้หัวใจ วันนี้พอได้เห็น ถึงรู้ว่าเขาคิดผิดไปแล้ว 
 
 
หัวใจดวงนั้น จะเมื่อขยับก็ต่อเมื่อเขาตกหลุมรักอย่างจริงจัง 
 
 
“คุณชาย ท่านต้องการให้พวกเราทำสิ่งใดหรือไม่?” เหล่าผู้ติดตามเห็นเขายังคงไม่พูดไม่จาก็ยิ่งเป็นกังวลกว่าเดิม 
 
 
หากว่าคุณชายถูกฮ่องเต้ต้าโจวบีบคั้นรังแก พวกเขาย่อมไม่ยินยอมเลิกลาอย่างเด็ดขาด 
 
 
“พวกเจ้าพึงให้ความเคารพต่อฮ่องเต้ต้าโจว หากมิใช่เพราะพระองค์ทรงยอมถอยให้ พวกเราคงต้องเผชิญกับเหตุการณ์พลิกผันอีกมากมาย” 
 
 
อิ๋งฉีตรัสเพียงประโยคเดียว ก็พลิกร่างขึ้นไปบนรถเทียมอูฐ 
 
 
เมื่อเปิดผ้าม่านในตัวรถ ก็เห็นว่าท้องฟ้าสว่างมากแล้ว 
 
 
ยามนี้อากาศยังหนาวอยู่บ้าง รอจนพระอาทิตย์ลอยขึ้นสูง อุณหภูมิในทะเลทรายก็จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว 
 
 
ยามเที่ยง…….จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง 
 
 
…………………………….. 
 
 
ภายในกระโจม รอจนกระทั่งอิ๋งฉีจากไปจนลับตาแล้ว จีเฉวียนถึงได้หันสายพระเนตรกลับมา 
 
 
เขาหันพระเศียรกลับมาเหลือบมองตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง ในดวงตาหงส์มีประกายเศร้าสร้อย “ความปรารถนาที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝันของเรา ช่างอึดอัดและยากจะทนทานเหลือเกิน” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันกำลังดื่มน้ำอยู่ ก็สำลักจนเกือบจะพ่นน้ำออกมาแล้ว นางพยายามกลืนน้ำลงไป จนต้องไอออกมาอย่างรุนแรง ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท พวกเรามิใช่ตกลงกันดีแล้วหรือเพคะ ระหว่างเดินทางเพียงพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่พูดเรื่องความรู้สึก?” 
 
 
พี่ชาย เรื่องความปรารถนาเป็นเรื่องของท่าน หัวใจของข้าเป็นก้อนเหล็ก มันขยับเขยื้อนไม่ได้หรอก! 
 
 
เพราะท่านชอบข้า ข้าจึงจำเป็นต้องชอบท่านหรือ? 
 
 
ฟ้าไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้แบบนั้นสักหน่อย 
 
 
คำพูดนี้ แน่นอนว่าตู๋กูซิงหลันย่อมไม่กล้ากล่าวกับจีเฉวียนต่อหน้าง่ายๆ 
 
 
นางกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง พึมพำนับนิ้วแล้วจึงกล่าวว่า “หม่อมฉันนับนิ้วคำนวนดูแล้ว เกรงว่าใกล้จะได้เวลาที่ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว” 
 
 
ในโลกก่อนนางถือเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักพรต ผู้ที่เป็นนักพรต นอกจากสามารถกำจัดผีปราบปีศาจได้แล้ว ยังต้องรู้จักอ่านดูฮวงจุ้ย พยากรณ์อากาศ ดูภูมิประเทศ และอื่นๆ อีกมากมาย 
 
 
ระดับของนางนั้น เพียงแค่เห็นก้อนเมฆม้วนตัว สายลมพัดโบก เมื่อผสานกับลักษณะของภูมิประเทศ ก็สามารถที่จะบ่งบอกสภาพอากาศภายในอาณาบริเวณนั้นได้แล้ว 
 
 
เมื่อคืนนางทำการศึกษาอยู่ทั้งคืน ก็คำนวณเหตุการณ์ได้ว่าวันนี้จะมีสุริยุปราคาเกิดขึ้น 
 
 
ยามที่เกิดสุริยุปราคานั้น พลังหยางทั้งหมดจะถูกสกัดเอาไว้ ส่วนพลังหยินจะเพิ่มพูนเข้มข้น 
 
 
ในยามนั้นเอง มิว่าจะเป็นภูติผีปีศาจใดก็อาจจะปรากฏขึ้นมาได้ทั้งนั้น 
 
 
ทั้งยังมีโอกาสเกิดสถานการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมายขึ้นมาได้เช่นกัน 
 
 
การล่มสลายของแคว้นเซอปี่ซือเดิมทีก็ค่อนข้างแปลกประหลาด แคว้นหนึ่งล่มสลาย ประชาชมล้มตาย แต่ว่ากลับไม่เคยมีผู้ใดเห็นศพของพวกเขามาก่อน 
 
 
ดูผิวเผินคือถูกผืนทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลกลบฝังไปจนหมดแล้ว แต่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร จะมีใครรู้บ้างกัน 
 
 
เพราะเกรงว่าจีเฉวียนจะมาหยอดภาษารักกับนางอีก ตู๋กูซิงหลันรีบชิงถามออกไปก่อนว่า “ฝ่าบาทเพคะ มิทราบว่าก้าวต่อไปพระองค์ทรงวางแผนเอาไว้เช่นไรเพคะ?” 
 
 
 
 
 
 
 
 
สำหรับผู้ที่มีความสามารถเช่นจีเฉวียน มิว่าจะทำเรื่องใดย่อมต้องมีแผนการอย่างแน่นอน 
 
 
พอมาถึงแดนทะเลทรายก็กางกระโจมนอนไปคืนหนึ่ง ราวกับว่ามิได้มีสิ่งใดให้รีบร้อน 
 
 
คิดดูแล้วแสดงว่าเขาจะต้องเตรียมการมาอย่างถี่ถ้วนเป็นแน่ 
 
 
จีเฉวียนมองดูนาง ดวงเนตรเปี่ยมไปด้วยความเอาอกเอาใจ 
 
 
“หากว่าเจ้าจูบเราครั้งหนึ่ง เราก็จะบอกเจ้า” 
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “…….” ถือว่านางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นเถอะ 
 
 
ให้เจ๊ไปจูบนิดนึงนะหรอ เกรงว่าท่านคงจะไม่อยากจะมีใบหน้าอีกต่อไปแล้ว! 
 
 
จีเฉวียนนั่น……จริงๆ เลย นับตั้งแต่ที่เขาสารภาพรักออกมา ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้ยุทธวิธีแสดงพลังแบบท่านผู้นำใช่ไหม? 
 
 
นางรู้มาตลอดว่าจีเฉวียนเป็นคนไร้ยางอาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้ 
 
 
“ใบหน้าของเราก็ไม่มีพิษสักหน่อย จะมาทำเป็นรังเกียจเพื่ออะไร?” จีเฉวียนทางหนึ่งตรัส ทางหนึ่งก็หยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งขึ้นมา เช็ดถูใบหน้าข้างแก้ม พอเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่ลืมที่จะส่งผ้าผืนนั้นมาที่เบื้องหน้า ให้ตู๋กูซิงหลันได้ดู “นี่ไง ไม่มีฝุ่นละอองแม้แต่น้อย” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันพูดไม่ออกแล้ว ใบหน้าจะสะอาดหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักหน่อย 
 
 
ความลังเลของนาง ทำให้ฝ่าบาททรงจับจ้องกลับมาราวกับพยัคฆ์ดุดัน “ตู๋กูซิงหลัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า บนโลกใบนี้สตรีที่คิดจะใกล้ชิดเรา มีอยู่เกลื่อนแผ่นดินไปหมด เรามอบโอกาสให้กับเจ้าได้ใกล้ชิด เจ้าไม่ต้องการหรือไร?” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะไปมา “ไม่ต้องการ หม่อมฉันรักษาจารีตประเพณี ไม่อาจกระทำเรื่องที่ผิดธรรมเนียมได้” 
 
 
จีเฉวียนหัวเราะออกมาคำหนึ่งในทันที หันพระองค์กลับมาประสานสายตาทั้งสี่กับนาง “จารีตและขนบธรรมเนียม ผู้อื่นพูดออกมาเรายังพอจะเชื่อถืออยู่บ้าง เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนจึงกล้ากล่าวคำนี้ออกมา?” 
 
 
ว่าแล้ว พระองค์ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา ทัดปอยผมของนางลงไปที่ด้านหลังใบหู 
 
 
ปลายพระหัตถ์ไล้บางๆ จากขอบหูไปจนถึงลำคอของนาง จากนั้นก็ลากมาจนถึงปลายคาง จึงค่อยๆ ยกขึ้นมาอย่างช้าๆ ในชั่วพริบตาประหนึ่งประกายไฟจากก้อนหินพาดผ่านนั้นก็ทรงประทับจุมพิตลงไปอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง 
 
 
“เจ้าไม่ยอมใกล้ชิดเรา เราก็ได้แต่ใกล้ชิดเจ้าแล้ว” 
 
 
ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันกลายเป็นความตกตะลึงพรึงเพริด นางเกือบจะคว้ารองเท้ามาทักทายกับใบหน้าของเขาอยู่แล้ว 
 
 
คิดจะลวนลามก็ลวนลามไป แล้วยังจะมาทำเป็นพูดมากยักท่าอยู่ทำไม 
 
 
หากมิใช่เพราะว่าดวงพักตร์นี้งดงามจนเกินไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันมีหวังได้เลี่ยนตายไปแล้ว 
 
 
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จีเฉวียนถึงได้ปลดปล่อยนาง “วันนี้หลังจากเที่ยงเป็นต้นไป จะมีอันตรายนานาประการ จดจำเอาไว้ว่าจะต้องติดตามเราอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด ไม่อาจห่างแม้ครึ่งก้าว รู้หรือไม่?” 
 
 
สายพระเนตรของพระองค์เปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมาในทันที ตรัสแล้วก็ทรงล้วงเอาเชือกสีแดงเส้นหนึ่งออกมา ผูกปลายข้างหนึ่งเอาไว้บนข้อพระหัตถ์ ปลายอีกข้างหนึ่งผูกเอาไว้บนข้อมือของตู๋กูซิงหลัน 
 
 
ทันทีที่ผูกเสร็จก็เห็นเชือกเส้นนั้นหาบแวบไป ข้อมือของคนทั้งสองกลับเป็นปกติเหมือนดังที่ผ่านมา 
 
 
“ด้ายผูกชะตา?” ตู๋กูซิงหลันก้มศีรษะลงมองดูข้อมือของตนเอง ถึงได้พบว่าตนเองประเมินจีเฉวียนต่ำไปแล้ว แม้แต่สิ่งของเช่นนี้เขาก็ยังมี 
 
 
ด้ายเช่นนี้ทันทีที่ผูกลงไป ก็จะเหมือนกับมีสายโซ่ระหว่างคนทั้งสอง ภายในขอบเขตที่จำกัดสามารถรู้สึกถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายได้ 
 
 
ในโลกก่อน ยามที่ท่านอาจารย์ส่งนางออกไปฝึกฝน ก็มักจะใช้ด้ายผูกชะตาผูกเอาไว้บนข้อมือของพวกนางเช่นนี้ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูความเคลื่อนไหวของจีเฉวียน อยู่ๆ ก็คิดไปถึงชายชราขี้เหงาอย่างซื่อมั่วขึ้นมา 
 
 
นางพึ่งจะเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นศีรษะของคนสองคนโผล่เข้ามาในกระโจม 
 
 
“ฝ่าบาท ข้างนอกลมแรงมากเลย ทั้งยังมีเมฆครึ้ม ท้องฟ้าดูแล้วอึมครึมไปหมด ราวกับว่ามันจะหล่นลงมาแล้ว” หยวนเฟยเบียดเข้ามายืนอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน “หม่อมฉันกลัวมากๆ เลย ขอหม่อมฉันอยู่กับไทเฮาได้ไหมเพคะ?” 
 
 
ฮ่องเต้ก็ฮ่องเต้เถอะ ขอพักเอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะ เรื่องนี้มันสำคัญถึงชีวิต ขอนางอยู่ข้างๆ ไทเฮาเอาไว้ก่อน 
 
 
 
 
 
—— 
 
 
[1] 软磨硬泡 ruǎn mó yìng pào: ใช้วาจาหว่านล้อมจนกว่าจะยอมใจอ่อน 
 
 
[2] 霸王硬上弓: อันธพาลที่ใช้กำลังเข้าข่มเหง 
 
 
[3] 死皮赖脸sǐ pí lài liǎn: รุกไล่อย่างหน้าไม่อาย 
 
 
—— 
 
 
คุยกันนิดนึง 
 
 
ไรท์: ลูกน้องของอิ๋งฉี เรียกอิ๋งฉีเป็น คุณชาย (公子) (ไรท์เดาว่าผู้แต่งมีเจตนาปิดบังฐานะของเขา ไรท์ก็เลยคุณชายตามต้นฉบับไปนะจ๊ะ) 
 
 
รถเทียมอูฐ: อูฐเป็นสัตว์ทะเลทรายที่พบได้ทั่วไปในเขตซินเจียงของจีน ใช้เทียมเกวียน หรือลากรถได้เช่นเดียวกันกับม้า ถึงความเร็วจะช้ากว่าเล็กน้อย แต่เมื่ออยู่ในทะเลทรายอูฐแข็งแกร่งกว่า อาหารการกินการดูแลก็ง่ายกว่า เวลาปีนขึ้นปีนลงรถก็ง่ายเพราะสามารถสั่งให้อูฐนั่งลงได้ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset