ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 242 เส้นผมสีแดง ดวงตาสีแดง งูเขียวหางยาว

“ฝ่าบาท อ้วนขนาดนี้ถือว่าเป็นความผิดของข้าเอง” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า นางไม่อยากจะก้มลงมามองตัวเองอีกต่อไปแล้ว 
 
 
ไว้จบจากการเดินทางไปแคว้นเซอปี่ซือ นางจะต้องไปหาหมอหลวงซุน ให้เขาทำยาลดความอ้วนออกมา 
 
 
แล้วนำไปแบ่งปันให้กับท่านราชครูผู้เป็นพี่น้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน 
 
 
ตอนนี้นางอยากจะไปยืนอยู่เบื้องหน้าท่านราชครูจริงๆ จะได้ปรับทุกข์ในหมู่คนอ้วนด้วยกัน 
 
 
หากมองออกไปทั่ววังหลวงของแคว้นต้าโจว เกรงว่าคงจะมีแต่ท่านราชครูเท่านั้นที่มีเนื้อหนังมากกว่านางแล้ว 
 
 
จีเฉวียนเบียดเข้ามาบนตัวนาง พลางเอื้อมหัตถ์ออกไปปลดม่านหน้าต่างลงมา จากนั้นก็หยิกแก้มนางไปทีหนึ่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงเนื้อนุ่มๆ เต็มมือช่างทำให้รู้สึกดียิ่งนัก 
 
 
อืม กลมๆ เช่นนี้ดีจริงๆ 
 
 
ที่ด้านนอกรถม้า เจ้าไก่ดำขนฟูที่ถูกเตะออกมาพึ่งจะร่อนลงไปบนรถม้าของหยวนเฟย 
 
 
กรงเล็บของมันเกาะแน่นลงไปบนหลังคารถม้า ยามเมื่อกรงเล็บที่แหลมคมทะลุลงไปก็เกือบจะกรีดเปิดกะโหลกของหยวนเฟยเช่นกัน 
 
 
ยังดีที่ตู๋กูเจวี๋ยลากนางออกมาในทันที ทำให้หยวนเฟยหลบพ้นได้ทัน 
 
 
ร่างของหยวนเฟยกว่าครึ่งเอนลงไปในอ้อมอกของตู๋กูเจวี๋ย นางรีบผุดลุกขึ้นมานั่งให้ตรง 
 
 
แล้วสะบัดตัวออกจากตู๋กูเจวี๋ยอย่างเร็ว 
 
 
ฮ่องเต้ผู้นั้นสมควรจะโดนเฉือนสักพันดาบ ปล่อยให้พระสนมของตนเองนั่งรถม้าร่วมกับขุนนางมาได้ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ 
 
 
ประเด็นสำคัญก็คือขุนนางผู้นี้ถึงกับเป็นคนที่ปากมากเป็นที่สุด เขาพูดคุยฟุ้งมาตลอดทางจนศีรษะนางแทบจะระเบิด 
 
 
จนกระทั่งมาถึงหนานเจียงแล้ว นางถึงได้รู้สึกว่าซาไปบ้างนิดหน่อย 
 
 
“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นถึงขุนนาง ย่อมมิบังอาจแตะต้องพระองค์อย่างแน่นอน” ตู๋กูเจวี๋ยเห็นนางป้องกันอย่างระมัดระวังขนาดนี้ ก็จัดแจงเสื้อผ้านั่งให้สง่างาม “ท่านดูเอาเถอะ ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยในตัวข้าถึงเพียงไหน? พระองค์มิได้ทรงกังวลว่ากระหม่อมจะคิดอะไรไม่ดีกับท่านเลยสักนิด” 
 
 
“ว่าแต่ก่อนหน้านี้ ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บ ก็เคยรบกวนพระสนมใส่ใจดูแล สุขภาพจึงได้ฟื้นคืนมาโดยเร็ว ว่าไปแล้ว บุญคุณนี้พี่ใหญ่ยังไม่ได้ชดใช้คืนให้กับท่านเลย นี่มิเท่ากับว่าบังเอิญหรอกหรือ? พวกเราได้ออกมาเดินทางร่วมกันพอดี แล้วก็ยังนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกันด้วย บุญคุณที่พี่ใหญ่ติดค้างท่าน ก็ให้ข้าชดเชยแทนเขาเถอะ ชดเชยได้ส่วนหนึ่งก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่ง ท่านว่าใช่หรือไม่?” 
 
 
หยวนเฟยมิได้กล่าวอะไรทั้งนั้น ที่จริงนางยังคิดจะหาเข็มมาเย็บปากของเขาอีกด้วย 
 
 
ครั้งนี้ฝ่าบาททรงนำนางออกมาจากวัง ก็เพราะว่าแคว้นเซอปี่ซือนั้นอยู่ใกล้กับดินแดนหนานเจียง นางคุ้นเคยกับพื้นที่ดี พูดตามตรงแล้วก็คือให้นางมาเป็นคนนำทางนั่นแหละ 
 
 
แต่ที่เอาตัวตู๋กูเจวี๋ยออกมาด้วยนั้นมันหมายความเช่นไรกันแน่? 
 
 
นางได้แต่กรอกตาขาว ตอนนี้คิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก 
 
 
ยิ่งไปกว่านั้นตู๋กูจุนเคยมีบุญคุณช่วยชีวิตนาง ที่นางดูแลเขาก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว นางไม่เคยคิดจะให้เขามาตอบแทนบุญคุณอะไรมาก่อนเลย 
 
 
ต่อให้อยากจะตอบแทน ก็สมควรจะต้องเป็นตู๋กูจุนมาด้วยตนเอง ไหนเลยจะสามารถให้น้องชายของเขามาแทนได้กัน? 
 
 
“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ พระองค์กรอกตาขาวเช่นนี้ไม่ดีเลยนะพะยะค่ะ เกิดว่านัยตาเกิดกรอกกลับมาไม่ได้แล้ว พระองค์มิต้องกลายเป็นพระสนมตาขาวไปหรอกหรือพะยะค่ะ? แม้คนจะพูดกันว่าการบริหารนัยตาเสียบ้างนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากว่ากรอกขึ้นฟ้าอย่างพระองค์เช่นนี้ ก็ไม่น่าจะดีเท่าไหร่แล้ว” 
 
 
หยวนเฟยไม่เพียงแต่ปวดศีรษะแต่ว่ายังปวดใจด้วย 
 
 
นางปวดใจด้วยความสงสารตนเอง 
 
 
มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้ไม่อยากจะนั่งรถม้าคันเดียวกันกับเขา ใครมันจะไปทนไหวกัน? 
 
 
ไก่ดำขนฟูยังคงเกาะอยู่บนหลังคารถ ตอนนี้มันเองก็หนวกหูตู๋กูเจวี๋ยเสียจนปวดหัวเช่นกัน มันกระพือปีกส่งเสียงร้องกะต๊าก กะต๊ากออกมา 
 
 
ที่ด้านหลังยังคงมีเถาวัลย์สีเขียวที่ดูราวกับมือผี ไล่ติดตามมาอยู่ตลอด 
 
 
เจ้าไก่ดำขยับปีกครั้งหนึ่ง ก็หันคอกลับไปพ่นลูกไฟออกมาชุดหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็แผดเผาเถาวัลย์สีเขียวพวกนั้น 
 
 
เถาวัลย์สีเขียวพอติดไฟ ก็ร้อนลวกเสียจนต้องม้วนตัวกลับไป 
 
 
ในป่าเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้นมา 
 
 
เปลวไฟจากเจ้าไก่ดำขนฟู ทำให้หมู่สัตว์มีปีกทั้งหลายพากันตระหนกจนโผบินขึ้นมา กลายเป็นเงาสีดำมากมายบินอยู่เหนือศีรษะ 
 
 
ราวกับเมฆสีดำพัดผ่านป่าออกไป 
 
 
“ป่าแห่งนี้ช่างแปลกพิลึกเสียจริงๆ กระทั่งเถาวัลย์เส้นหนึ่งก็คล้ายดั่งจะมีชีวิตขึ้นมา พระสนมหยวนเฟย ท่านว่าอีกสักครู่จะมีปีศาจเถาวัลย์โผล่ออกมาหรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยพูดพลางก็ล้วงเอาสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ทั้งยังถือดินสอถ่านเอาไว้แท่งหนึ่ง เริ่มจดบันทึกลงไป 
 
 
แม้หยวนเฟยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าในใจของนางก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ นางยื่นคอออกไปมองดูสมุดเล่มเล็กๆ เล่มนั้น 
 
 
ก็เห็นในสมุดเล็กๆ ของเขาเล่มนั้นบันทึกเรื่องราวของพวกภูติผีปีศาจเอาไว้มากมาย 
 
 
แต่รูปภาพเหล่านั้นออกจะเป็นแนวศิลปะผสมผสานมากเกินไป ช่วงเวลาสั้นๆ นางจึงมองไปออกว่าเป็นอะไร 
 
 
คล้ายจะเป็นพวกสิ่งมหัศจรรย์พันลึก ภูติผีปีศาจต่างๆ นานา 
 
 
“ดูเหมือนว่าท่านจะสนอกสนใจอะไรที่แปลกประหลาดสินะ?” หยวนเฟยพูดพลางก็ขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูเจวี๋ยอีกนิด 
 
 
บุรุษพี่น้องคู่นี้ช่างแตกต่างกันจริงๆ 
 
 
คนหนึ่งดุดันกำยำ ฟาดฟันอยู่แต่ในสนามรบ อีกคนหนึ่งพูดมากจนน่ารำคาญ ทั้งยังสนใจแต่ของพวกนี้ 
 
 
หากเปรียบเทียบกันแล้ว พี่ใหญ่ก็คือคนหนุ่มที่เอางานเอาการ 
 
 
ส่วนน้องรองก็คือคุณชายจอมเสเพล 
 
 
“แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ [1] ดอกไม้ ใบหญ้า พืชพรรณนานา ทั้งนกบนฟ้า ปลาในน้ำและสัตว์ในดินต่างก็สามารถฝึกฝนพลังจิต บำเพ็ญเพียรเพื่อแปลงเป็นปีศาจหรือเทพเซียนได้ทั้งนั้น พระสนมหยวนเฟยไม่ทรงรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าสนใจหรอกหรือ?” ตู๋กูเจวี๋ยขบปลายดินสอถ่านไว้ พลางเอียงศีรษะถาม 
 
 
หยวนเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบอย่างจริงจังว่า “คล้ายจะน่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ” 
 
 
ตู๋กูเจวี๋ยฟังแล้ว ดวงตาทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นมา หันไปจดจ้องมองนางอย่างจริงจัง ค่อยส่งสมุดบันทึกของตนออกไป “พระสนมโปรดทอดพระเนตร นี่คือเหล่าภูติผีปีศาจที่กระหม่อมได้บันทึกเอาไว้ในช่วงหลายปีมานี้ บอกกับท่านก็ได้นะ ในบรรดาทั้งหมดนี้ที่เก่งกาจที่สุดก็คืองูเขียวตัวหนึ่ง” 
 
 
ตู๋กูเจวี๋ยพูดจบ ก็เห็นหวังฉายงูเขียวที่พันอยู่บนข้อมือของหยวนเฟยแลบลิ้นออกมา 
 
 
ตู๋กูเจวี๋ยตบเข่าดังฉาด ชี้ไปที่งูเขียวแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว หน้าตาคล้ายกับงูเขียวน้อยตัวนี้เลย เพียงแต่ว่างูเขียวตัวนั้นมิได้อ่อนโยนสักเท่าไหร่ กระหม่อมจะบอกให้ท่านรู้ นางมีนิสัยชอบจับคนมาขัง พื้นอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่รูปร่างหน้าตากลับงดงามประหนึ่งเทพธิดา….” 
 
 
ยากนักที่หยวนเฟยจะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ พลิกดูสมุดเล่มน้อยของเขาไม่หยุดจึงเห็นว่าด้านในมีรูปเหมือนขาวดำอยู่มากมาย ในหน้าสุดท้ายของสมุดเล่มนั้น มีรูปเหมือนที่ละเอียดลอออยู่รูปหนึ่ง 
 
 
ลายเส้นที่อ่อนช้อย เปิดเผยรูปร่างที่งดงามไร้ที่ติ แม้แต่เกล็ดแต่ละชิ้นก็ยังดูแวววาวราวกับว่าสะท้อนแสงได้ 
 
 
ในขณะที่ตู๋กูเจวี๋ยพูดไม่ยอมหยุด หยวนเฟยก็ถามออกมาคำหนึ่ง “เส้นผมสีแดง ดวงตาสีแดง งูเขียวหางยาว?” 
 
 
ตอนนี้ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้เห็นว่านางเปิดไปยังหน้าสุดท้าย ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมา ดวงตาก็เป็นประกายวิบวับกว่าเดิม “พระสนม สวยงามหรือไม่? ข้าเห็นว่านอกจากน้องเล็กแล้ว งูเขียวตัวนี้สวยงามน่าดูที่สุดเลย” 
 
 
หยวนเฟย “……” นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนอัปลักษณ์นะ ขอถามหน่อยนี่ไม่คิดจะชมนางบ้างหรือไง? 
 
 
ภายในป่า งูยักษ์ตัวหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนหญ้ากินคนที่รายรอบ ราวกับว่ากำลังบิดตัวอย่างเกียจคร้านอยู่บนต้นไม้ที่เขียวครึ้ม 
 
 
มันกำลังแลบลิ้นออกมา ดวงตาสีแดงทั้งสองจดจ้องไปยังรถม้าด้านหน้า 
 
 
มันได้ยินทุกถ้อยคำที่กล่าวออกมา โดยไม่มีคำใดจะหล่นหายไปสักคำเดียว 
 
 
ประเด็นสำคัญก็คือ นางเป็นปีศาจงูหรือ? 
 
 
นางพื้นอารมณ์ไม่ดีที่ไหนกัน? นางมีนิสัยชอบจับคนมาขังตั้งแต่เมื่อไหร่? 
 
 
นางก็แค่จับมัดคนเอาไว้ร้อยกว่าคนเท่านั้นเอง ….ใครใช้ให้คนพวกนั้นชอบใส่ชุดขาวกันเล่า? 
 
 
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางก็กลับเนื้อกลับตัว [2] แล้ว ตอนนี้ก็กำลังพากเพียรบำเพ็ญตนอยู่ไม่ใช่หรือไง? 
 
 
“เฮ่อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอนางอีกน้า….” ตู๋กูเจวี๋ยพึมพำด้วยความคิดถึง พอคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ก่อนหน้านี้ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน ในสมองก็ผุดใบหน้าของชือหลีขึ้นมา 
 
 
 
 
 
—— 
 
 
[1] 大千世界 无奇不有 
 
 
[2] 迷途知返 
 
 
 
 
 
—— 
 
 
คุยกันนิดนึง: 
 
 
ไรท์ : เจวี๋ยน้อย วี๊ด ว้าย! คิดถึงใครหรือพ่อคุณ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset