ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 191 ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งเมตตา

หากเปรีบเทียบกับบรรดาเหล่าพี่ชายน้องสาวที่เป็นหมู่มังกรและฝูงหงส์เหล่านั้นแล้ว เขาก็ต่ำต้อยจนกลายเป็นเพียงแค่เศษธุลีดินเท่านั้น 
 
 
” หรานอ๋อง ในเมื่อพวกเราก็ร่วมมือกันไปแล้ว ท่านเองก็ไม่มีทางถอยอีก ” คนชุดดำยังคงกล่าวย้ำอีก 
 
 
จีหรานเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่ลึกโหลของเขามีประกายสับสน เขาเม้มริมฝีปากไอออกมาเบาๆ ” ก้าวต่อไป เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด? “ 
 
 
” ล่อโอรสสวรรค์ออกไปทำพิธีขอพร และจากนั้นให้ชาวเมืองลี่โจวทั้งหมดได้ทราบข่าว ” คนชุดดำกล่าวพลางก็เหลือบมองอสรพิษจำแลงที่ด้านหลังของเขาไปด้วย ” ถึงตอนนั้น ก็จะเกิดฝนตกหนัก ให้อสรพิษจำแลงก่อกวนแม่น้ำลี่เหอ จนเกิดน้ำป่าไหลหลากอีกครั้ง “ 
 
 
” เมืองลี่โจวก็จมไปแล้ว หากยังมีน้ำหลากอีกครั้ง คงบาดเจ็บล้มตายจนมิอาจฟื้นคืนมาได้ ” จีหรานตอบเสียงต่ำ 
 
 
” เหอะๆ หรานอ๋อง เก็บความเสแสร้งแกล้งเมตตาของท่านไปเถอะ ” คนชุดดำยิ้มเย็นออกมา ” ตายไปคนหนึ่งก็คือตาย ตายร้อยคนก็คือตาย จะพันคนหมื่นคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน จะสำเร็จกิจการใหญ่ก็อย่าได้คำนึงถึงข้อปลีกย่อย ตอนนี้เจ้าค่อยมีใจห่วงใยชีวิตผู้คนขึ้นมาแล้วหรือ? “ 
 
 
หรานอ๋องหาคำพูดที่จะเถียงเขากลับไปไม่เจอ 
 
 
” อย่างมากก็รอจนถึงตอนท่านขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ค่อยสร้างอนุสรณ์หมื่นประชาขึ้นมา ทุกปียามเทศกาลเชงเม้งก็กราบไหว้สักครั้ง หากได้รับการจุดธูปจากโอรสสวรรค์ ก็ถือว่าเป็นบุญกุศลที่คนธรรมดาสะสมมาแปดชาติแล้ว “ 
 
 
คนชุดดำกล่าวจบแล้ว ก็ย้ายร่างมาปรากฎตัวตรงหน้าจีหราน ” หรานอ๋อง ขอให้ข้าได้เตือนท่านอีกคำหนึ่ง เพราะฐานะมารดาของท่านต่ำต้อย ท่านจึงต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้ผู้อื่นรังแก หากไม่เป็นฮ่องเต้ ชีวิตนี้ของท่านก็ไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นมาอยู่เหนือคนในตระกูลจีได้ “ 
 
 
พอพูดถึงมารดาที่เป็นนางกำนัล สีพระพักตร์ของจีหรานก็เปลี่ยนไปในทันที 
 
 
งูยักษ์ที่อยู่ข้างเขาก็ชักจะไม่สงบนิ่งอีกต่อไปเช่นกัน 
 
 
” ข้ารู้แล้ว ” ครู่ใหญ่หลังจากนั้น เขาถึงได้ผงกเศียรอย่างเงียบๆ 
 
 
…………………………………. 
 
 
ข่าวที่ว่าฝ่าบาทเสด็จมาตรวจดูภัยพิบัติด้วยพระองค์เอง ไม่ถึงสามวันก็พัดไปทั่วเมืองลี่โจวแล้ว 
 
 
เมืองที่ตกอยู่ภายใต้ไอหมอกหนาแน่นอย่างลี่โจวในที่สุดก็มีกลิ่นอายของผู้คนขึ้นมา ยามนี้จึงมีชาวบ้านมาออเฝ้ากันอยู่หน้าตำหนักของหรานอ๋อง คิดจะได้ชื่นชมพระพักตร์ที่แท้จริงของโอรสสวรรค์บ้าง 
 
 
ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เสด็จมายังลี่โจวด้วยพระองค์เอง นี่แสดงให้เห็นว่าในพระทัยของพระองค์ยังทรงคิดถึงพวกเขาอยู่ 
 
 
ที่เหลือก็ของเพียงฟ้าดินได้โปรดเมตตา อย่าได้ส่งเภทภัยใดๆ มาให้ลี่โจวอีกเลย 
 
 
ตำหนักหรานอ๋อง 
 
 
จีเฉวียนประทับนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานของห้องโถง จีหรานประทับยืนอยู่ด้านข้าง ด้วยท่าทาง ‘หวาดหวั่นยำเกรง’ อยู่ตลอด 
 
 
บนที่ประทับนั่น สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เย็นชา เพียงแค่ปรายพระเนตรมองก็เพียงพอจะทำให้ทั้งห้องเงียบลง 
 
 
” ฝ่าบาท ในเมื่อชาวบ้านทั่วทั้งเมืองลี่โจวต่างก็ทราบว่าพระองค์เสด็จมาที่นี่ ตอนนี้เกรงว่าคงปกปิดต่อไปไม่ไหวแล้ว ” ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจีหรานถึงได้กล้าสบสายพระเนตรที่เย็นชากล่าวทูลว่า ” มิสู้พระองค์ทรงเสด็จออกไปปรากฎองค์อย่างยิ่งใหญ่ พอชาวบ้านทราบว่าพระองค์ทรงห่วงใย ในใจก็จะได้มีหลักยึด “ 
 
 
ที่จริงจีเฉวียนทรงเสด็จมาลี่โจวเป็นการลับ ย่อมมิได้ทรงมีพระประสงค์ให้เรื่องราวแพร่ออกไป 
 
 
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแพร่ออกไป แต่ยังกระจายไปจนทั้วเมืองลี่โจวแล้ว 
 
 
ท่าทางของพระองค์ประหนึ่งมิได้ทรงคาดคิดมาก่อน นอกจากท่าทีพิโรธแล้วก็คล้ายกับว่ามิได้ทรงมีหนทางอื่นใดอีก 
 
 
จีหรานเห็นดังนั้น ก็ยิ่งประจักษ์แก่ใจว่า ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็ทรงเป็นเพียงแค่เสือกระดาษเท่านั้น มีเอาไว้ก็เพื่อข่มขู่ผู้คน แท้ที่จริงแล้วความสามารถใดใดของตนเองก็ไม่มี 
 
 
หลายวันมานี้ นอกจากทำสายตาเย็นชาใส่ผู้คน เขายังทำสิ่งใดได้อีก? 
 
 
จีเฉวียนทรงเอาแต่รับฟัง จนผ่านไปเกือบครึ่งวันถึงได้ตรัสอย่างยอมประนีประนอมว่า ” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีหนทางอื่นแล้ว “ 
 
 
ตรัสแล้ว ก็ได้ยินพระองค์รับสั่งถามจีหรานอีกว่า ” เช่นนี้เสด็จอาทรงคิดว่าต่อไปสมควรทำเช่นไร? “ 
 
 
จีหรานรู้สึกว่า หากว่าพระองค์มีพระประสงค์จะบรรทม เขาก็จะยื่นหมอนไปถวาย 
 
 
เดิมทีเขาคิดว่า ควรจะหาอะไรมาเป็นข้ออ้างให้พระองค์ยอมเสด็จออกไปขอพรดี 
 
 
แต่นี่ก็ไม่จำเป็นแล้ว โอกาสนั้นมาถึงด้วยตนเอง 
 
 
เขาระงับความยินดีเอาไว้ ยกมือขึ้นถวายคำนับจีเฉวียน ” ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าหากพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของชาวลี่โจวขอพรต่อเบื้องบนนับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด “ 
 
 
” พระองค์ทรงเป็นโอรสสวรรค์ของต้าโจว ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์ หากว่าพระองค์ขอพรด้วยพระองค์เอง ย่อมต้องทำให้สวรรค์เมตตาเห็นใจ เมืองลี่โจวจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน “ 
 
 
จีหรานทูลด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความจริงใจ ทูลจบแล้วเขาก็เสริมขึ้นอีกว่า ” อารามเทพธิดาที่นอกเมือง ก่อนหน้านี้ศักดิ์สิทธ์ที่สุดหากว่าฝ่าบาทเสด็จไปขอพร เช่นนี้แม้แต่เทพธิดาก็จะต้องเห็นใจ “ 
 
 
จีเฉวียนทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยท่าทางหนักพระทัย หลังใคร่ครวญอยู่อีกครึ่งวันก็ยังดำริสิ่งใดมิได้ 
 
 
” ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านอาว่า จัดการไปขอพรที่อารามเทพธิดาโดยเร็ว “ 
 
 
จีหรานได้ยินแล้ว ในพระทัยก็บังเกิดความยินดีขึ้นมาในทันที ” น้ำพระทัยของฝ่าบาทที่ทรงมีต่ออาณาประชาราษฎ์ ทำให้กระหม่อมต้องเทิดทูลแล้ว “ 
 
 
เดิมทีเขาคาดคิดว่า จีเฉวียนอาจจะทรงคิดหาหนทางอื่น เห็นเขาคร่ำเคร่งอยู่ครึ่งวัน นึกว่าจะหาหนทางได้เสียอีก 
 
 
ดูเอาสิ ที่แท้ก็มิได้เข้าใจอะไรเลย แต่กลับทำเป็นว่าเข้าใจดีเสียอย่างนั้น 
 
 
ว่าแล้ว ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า ” เสด็จอาทุ่มเทพระทัยและพละกำลังเพื่อเมืองลี่โจว เราต่างหากที่ต้องเคารพยกย่อง เรื่องของวันต่อๆ ไปยังคงต้องขอให้ท่านอาตระเตรียม “ 
 
 
จีหรานรีบคุกเข่าลงไปบนพื้น ถวายคำนับอย่างเต็มพิธีการ ” ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก ย่อมต้องทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถ แม้ตายก็มิเสียดาย “ 
 
 
………….. 
 
 
 
 
 
ภายในวันนั้น ก็มีข่าวออกมาจากตำหนักหรานอ๋อง ว่าอีกสามวันให้หลังฝ่าบาทจะทรงไปสวดขอพรให้กับเมืองลี่โจวในอารามของเทพธิดาเจิ้นเหอ 
 
 
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปตามบ้าน จนกระจายไปทั่วทั้งเมือง 
 
 
ชาวบ้านไม่น้อยที่อาศัยอยู่รอบๆ ต่างติดตามข่าวลือมา ด้วยหวังว่าจะได้เห็นพระพักตร์ของโอรสสวรรค์ 
 
 
อารามเทพธิดานั้นถูกทิ้งร้างมานานปี แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยได้รับการกราบกรานด้วยธูปหอมจำนวนมาก แต่แล้วแม่น้ำลี่เหอก็กลับท่วมหลากซ้ำซ้อน ยิ่งทียิ่งหนักหนา อย่างไม่เคยดีขึ้นเลยสักนิด 
 
 
ดูท่าเทพธิดาเจิ้นเหอผู้นั้นคงมิได้มีใจจะดูแลรักษาแล้ว ฝ่าบาทจะสามารถทำให้นางกลับมาพิทักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำนี้อีกครั้งได้หรือ? 
 
 
ชาวบ้านยังคงครุ่นคิดอย่างคลางแคลงใจ 
 
 
………………………………………. 
 
 
คืนนั้น สายลมยังคงพัดแรง 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมาที่นี่ได้หลายวันแล้ว ทุกวันพอตกค่ำก็จะได้ยินเสียงสายลมพัดแรงกว่าเดิม 
 
 
นับตั้งแต่คืนนั้น นางก็มิได้พบหน้าจีเฉวียนอีกเลย 
 
 
เหล่าองครักษ์ของเขาคอยจับตาดูนางอย่างเคร่งครัดเรียกว่าแทบทุกย่างก้าวถูกเฝ้าอยู่ตลอด ตู๋กูซิงหลันต้องใช้วิธีมากมายถึงจะสามารถสลัดหลุดจากพวกเขาไปได้ 
 
 
นางนำวิญญาณทมิฬไปถึงจุดที่แม่น้ำลี่เหอแตกท่วม 
 
 
ส่วนเจ้าไก่ขนดำฟูตัวนั้นก็คล้ายกับว่ามีเรดาร์ติดอยู่บนร่าง มิว่านางไปถึงที่ไหน มันก็สามารถติดตามไปจนถึงที่นั้นจนได้ ทั้งยังสามารถติดตามมาได้อย่างไร้ซุ่มเสียง 
 
 
พอนางตำหนิมันไปสองคำ มันก็เอาแต่ตีปีก ‘กุ๊กๆ กรู้’ มองนางอย่างไร้เดียงสา 
 
 
ตู๋กูซิงหลันจึงได้แต่จนใจ ต้องนำมันไปด้วยแล้ว 
 
 
ดังนั้นตอนนี้หนึ่งคน หนึ่งไก่และหนึ่งวิญญาณจึงยืนอยู่บนจุดแตกของเขื่อนด้วยกัน 
 
 
หลังแม่น้ำลี่เหอแตกทะลัก ก็มีฝนตกซ้ำอยู่หลายวัน ทำให้อุทกภัยหนักหนากว่าเดิม เมื่อสองวันก่อนฝนหยุดลงแล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำลี่เหอจึงเบาลงไม่น้อย 
 
 
สันเขื่อนที่ถูกท่วมจนจมไปแล้วจึงได้ปรากฎขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง 
 
 
สายลมกลางคืนพัดโชย พัดพาเอากลิ่นน้ำมาถึงจมูก 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูสายน้ำที่ขุ่นข้น ในสมองก็ปรากฎภาพของศิษย์น้องที่จมหายลงไปในทะเล 
 
 
ตอนนั้นนางได้แต่มองดูอยู่ด้านข้าง ทั้งยังเกิดความหวาดกลัวน้ำลึกติดอยู่ในใจมาตลอด 
 
 
ตอนนี้นางยืนอยู่ริมแม่น้ำ ลมกลางคืนพัดแรงจนเส้นผมละเอียดอ่อนของนางพลิ้วกระจาย ตู๋กูซิงหลันปิดตา พยายามละทิ้งภาพการตายของศิษย์น้องออกไปจากสมอง 
 
 
ครู่ต่อมาในมือของนางก็ปรากฎยันต์ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ใจกลางฝ่ามือปรากฎหมอกดำกลุ่มหนึ่งขึ้นมา 
 
 
หมอกดำนั้นก็ซึมเขาไปในแผ่นยันต์ เพียงเห็นนางยื่นมือออก ก็ผลักมันลงไปในแม่น้ำลี่เหอ 
 
 
นางดึงเอาพลังของหยกสรรพชีวิตออกมา ภานในยันต์อัดแน่นไปด้วยพลังหยินอย่างรุนแรง ขอเพียงสิ่งที่อยู่ในแม่น้ำรู้สึกถึงมัน จะต้องปรากฎตัวขึ้นมาอย่างแน่นอน 
 
 
มาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว หากไม่ท้าทายมันสักหน่อย เกรงว่าคงไม่อาจหาร่องรอยของพี่รองได้ง่ายๆ 
 
 
เพียงครู่เดียว ก็เห็นจุดที่ยันต์ถูกส่งลงไปเกิดน้ำวนขึ้นมา 
 
 
 
 
 
 
 
 
” กุ๊กกุ๊กกรู้ ~” ขณะที่เจ้าไก่ขนดำฟูตีปีกทั้งคู่ มันก็ยื่นหน้ายืดคอยาวขึ้นมา หันหัวมองออกไป แล้วก็พลันเห็น……… ​​​​​​​ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset