อันหว่าจรือ “……..” นางคิดว่าตนเองชกออกไปเต็มแรง แต่ที่จริงแล้วกลับชกลงไปบนปุยดอกฝ้าย
คำพูดของตนเอง นางแพศยาผู้นั้นเห็นเป็นแค่เพียงลมพัดผ่านหูหรือ?
” ขี้ผึ้งทาปากอะไร? ” สีหน้าของนางเคร่งขรึมลง พูดอย่างอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก
ครั้งก่อนนางเพียงแต่เอ่ยปากไปเล่นๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางตัวร้ายผู้นี้จะมาทวงของกับตนโดยปราศจากความละอายเลยแท้จริงๆ?
เกรงว่าที่บอกว่าต้องการขี้ผึ้งทาปากคงจะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น แต่การหาโอกาสเข้าใกล้ฝ่าบาทต่างหากจึงจะเป็นเป้าหมายของนาง
พอเห็นกิริยาของนางเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ไม่คิดจะเกรงใจอีกต่อไป “ดูท่าความจำของเจ้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ “
พูดแล้ว นางก็หันไปเรียกเจ้าไก่ขนฟูที่ขุดหิมะหาที่อึอยู่ด้านข้างให้เข้ามาหา
เจ้าไก่ขนฟูกำลังอึได้ครึ่งทางก็ถูกเรียกเช่นนี้ ย่อมไม่พอใจอยู่บ้าง
ทรวงอกของมันขยับขึ้นลง ฝ่าเท้าก็จิกลงไปบนพื้น ” ติ๊งต๊องมันคิดถึงเจ้าพวกงูพิษสีแดงของเจ้ามากเลย ดูท่าแล้วคงจะเต็มใจค้นดูจากบนร่างของเจ้าหน่อย ดูสิว่ายังมีของกินอีกหรือไม่ “
ตู๋กูซิงหลันพูดจบ ก็เห็นเจ้าไก่ขนฟูนั่นดีใจจนตีปีก ท่าทางพร้อมท่ีจะบุกเข้าไปได้ทุกเมื่อ
อันหว่านจือคิดถึงสถาพตอนที่ตนเองถูกจิกจนพรุนในครั้งก่อน ก็ตระหนกจนหน้าเปลี่ยนสี
” ตู๋กูซิงหลัน ข้าขอเตือนเจ้าก่อน ที่นี่เป็นตำหนักตี้หัว ไม่ใช่ที่ๆ เจ้าจะมาก่อความวุ่นวายได้! ข้าเป็นถึงนางกำนัลประจำพระองค์ของฝ่าบาท หากว่าเจ้าทำอะไรกับข้า ฝ่าบาทจะต้องไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่! “
” ทุกวันนี้คนในวังต่างก็รู้ดีว่า ข้าคือสตรีที่ได้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทมากที่สุด หากว่าเส้นผมของข้าหลุดไปสักเส้นเจ้าก็อย่างหวังจะได้เอาตัวรอดไปได้เลย! “
ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปหานางอีกหลายก้าว สองตาจดจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ ” ดูท่าเจ้าจะไม่รู้จักมารยาทจริงๆ “
พูดแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปปลดปิ่นของอันหว่านจือลงมา ทันทีที่ปินหลุดออก มวยผมของอันหว่านจือก็หลุดลงมา ตู๋กูซิงหลันใช้ปลายนิ้วสะกิดเล็กน้อย เส้นผมของนางก็คลี่ออกอย่างง่ายดาย
อันหว่านจือตกตะลึงไปแล้ว นางทั้งตกใจทั้งกรุ่นโกรธ เส้นผมของนางถูกบำรุงด้วยเห่อโส่วหวู่ถึงได้ดกดำเงางามดุจขนกา แม้แต่พระสนมทั้งหลายในวังยังยากที่จะเปรียบเทียบได้ แต่ว่านังตัวร้ายนี่อยู่ๆ ก็มาสยายผมนาง!
ตู๋กูซิงหลันเชยคางของนางเอาไว้
จากนั้นก็ดึงกริชของตนออกมา นาบลงไปที่ดวงตาของอันหว่านจือ ” เราไม่ได้แตะต้องเจ้าสักเส้นผม แต่จะลงมือสักพันรอยคงได้สินะ”
” ของที่รับปากว่าจะให้เรา จะมอบออกมาหรือไม่? “
อันหว่านจือถูกลูบไล้ใบหน้าเช่นนี้ นางเองก็ชักจะมีโทสะขึ้นมาแล้ว
” ความอดทนของเรามีขีดจำกัด หากเจ้ายังจะพล่ามไร้สาระ เราก็ไม่รังเกียจที่จะลงมือโกนผมให้เจ้า “
ตู๋กูซิงหลันพูดจบประโยค โทสะในใจของอันหว่านจือก็ยิ้งพลุ่งพล่านขึ้นสูง
นางขบฟันกรอด กุมอกเสื้อเอาไว้ ถอยหลังไปหลายก้าว ” ฝ่าบาทเคยรับสั่งชื่นชมเส้นผมของข้าว่านุ่มนวลดุจปุยเมฆ เจ้าตายแน่ พระองค์จะต้องไม่ทรงปล่อยเจ้าไปแน่ “
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาในทันที ” เจ้าช่างดื้อด้านเสียจริงๆ “
นางยิ้มงดงามกว่าเดิม “ลูกชายอยู่ในตำหนักตี้หัวที่ด้ายหลังของเจ้านี้เอง เจ้าไปเรียกเขาออกมา เราจะดูซิว่า เขาจะไม่ปล่อยเราไปอย่างไร”
อันหว่านจือกำหมัดแน่น นังตัวร้ายนี้ไม่ได้จงใจที่ไหนกัน?
ฝ่าบาทพึ่งจะทรงพิโรธกลับวังไป หากนางไปรบกวนตอนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการเติมฟืนลงไปในเตาหลอมยาหรือ?
นางได้แต่กล้ำกลืนความโกรธลงไป ครู่ต่อมาถึงได้ค่อยๆ ล้วงเอาตลับสีผึ้งทาปากขนาดไข่ไก่ออกมา ” ให้เจ้า! “
ตลับขี้ผึ้งถูกโยนใส่หน้าตู๋กูซิงหลัน แต่ว่านางมีปฎิกิริยาว่องไว ตวัดฝ่ามือก็รับเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
นางควงกริชในฝ่ามือเป็นวงกลม จากนั้นก็เสียบมันลงไปในรองเท้าบูท ท่วงท่าแคล่วคล่องไม่ติดขัด กระทั่งอันหว่านจือที่กำลังหวาดผวายังตกตะลึง
นางเคยแต่ได้ยินว่าตู๋กูซิงหลันก่อนเข้าวังเป็นเพียงคุณหนูผู้อ่อนแอเท่านั้น ทำไม……
ครู่ต่อมาตู๋กูซิงหลันก็จดจ้องเข้าไปในดวงตาของนาง “เห็นแก่พระพักตร์ของฉางซุนฮองเฮา เราจะปล่อยเจ้าเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น หากว่ายังมีครั้งที่สาม ที่หลุดไปจะไม่ใช่แค่เส้นผมแน่”
สายตาของนางจ้องไปยังลำคอของอันหว่านจือ อันหว่านจือก็รู้สึกว่าลำคอตีบตันขึ้นมา ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างบีบรัดเอาไว้
นางรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา กระทั่งหัวใจยังรู้สึกเหน็บหนาว
นังตัวร้าย……..ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่?
ตู๋กูซิงหลันไม่รอให้อันหว่านจือกล่าวอะไร ก็ไปจากตำหนักตี้หัว
อันหว่านจือมองตามเงาหลังของนาง สายตาปรากฎแววเกลียดชัง และความแค้นอย่างรุนแรง
…………………………….
เมื่อฟ้าใกล้มืดค่ำขันทีฝ่ายพิธีการนำของมารับซูเม่ยเข้าไปในพระตำหนักตี้หัว
ข่าวที่ว่าซูกุ้ยเฟยถูกรับเข้าไปถวายตัวแพร่สะพัดไปทั่ววังอย่างรวดเร็ว ทำให้รอบๆ ด้านนอกของตำหนักตี้หัวกลายเป็นจุดรวมตัวของพระสนมจำนวนไม่น้อย แม้ว่าจะเป็นกลางฤดูหนาวที่มีหิมะตกจำนวนมากก็ไม่อาจดับไฟในใจของพวกนางไปได้
เดิมทีพวกนางยังเข้าใจว่าขันทีน้อยในตำหนักตี้หัวปล่อยข่าวลือออกมา เพราะตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์มาก็ยังมิเคยเรียกผู้ใดไปถวายตัวมาก่อน
กระทั่งเมื่อเห็นเกี้ยวสีทองที่ขันทีฝ่ายพิธีการหาบมาถึงประตูพระตำหนักตี้หัว พวกนางถึงได้อิจฉาจนตาแดงไปตามๆ กัน
” คนที่เกิดมาสวยช่างไม่เหมือนผู้อื่นจริงๆ ซูกุ้ยเฟยเพียงกลับเข้าวังมาก็เป็นที่โปรดปราน เฮ่อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเราจึงจะได้รับน้ำฝนจากฝ่าบาทบ้าง”
” อย่าได้รีบร้อน ไม่แน่ว่าพอฝ่าบาทได้ลิ้มรสสตรีสักครั้ง ก็จะอดพระทัยไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “
” จริงสิ ถึงแม้ซูเม่ยจะงดงาม แต่ฝ่าบาทก็คงจะมิได้เรียกนางถวายตัวทุกวัน เหล่าบุรุษล้วนชื่นชอบลองของใหม่ ของเดิมหากได้ชิมนานๆ ก็เลี่ยน “
“ใช่ๆๆๆๆ ถึงเวลานั้นโอกาสของพวกเราย่อมต้องมาถึง “
” อ้ายหยา เช่นนี้ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั้นจะรู้สึกเช่นไรบ้างกัน เคยได้ยินมาใช่ไหม นางกับซูเม่ยนะรักกันปานพี่น้อง คราวนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้ซูเม่ยถวายตัว คนในตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั่นจะไม่พลิกกลายเป็นศัตรูกับนางหรือ?
“ฮิๆๆ ไทเฮากับซูกุ้ยเฟยแย่งชิงฝ่าบาท เช่นนี้คงจะสนุกเสียยิ่งกว่าในโรงงิ้วเสียอีก”
” เช่นนั้นพวกเราก็รอชมเรื่องสนุกกันเถอะ”
…………………………
ในพระตำหนักตี้หัว ซูกุ้ยเฟยนั่งอยู่บนเกี้ยวรับตัว ที่ขันทีทั้งสี่หามมาวางไว้ในห้องบรรทมของฝ่าบาท
ยามที่ขันทีทั้งสี่หามเข้ามานั้น ต่างก็อดเกิดความสงสัยขึ้นมาเงียบๆ ไม่ได้ว่า ช่วงนี้พวกมันกินข้าวน้อยไปหรือไม่ คนสี่คนยกพระสนมคนเดียวเข้ามา ทำไมถึงได้กินแรงขนาดนี้
ซูกุ้ยเฟยผู้นี้ถึงแม้จะร่างสูงโปร่งมากอยู่สักหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นสตรี พวกมันช่วยกันยกเข้ามาไยจึงรู้สึกว่าหนักกว่าบุรุษผู้หนึ่งเสียอีก?
ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด สายลมภายนอกพัดไม่ยอมหยุด
พระตำหนักตี้หัวกลับคึกครื้น เหล่าขันทีน้อยต่างสุมหัวรวมกันที่ระเบียงนอกพระตำหนักพูดจากระซิบกระซาบกันไม่หยุด
อันหว่านจือชงชาร้อนๆ ออกมากาหนึ่ง เตรียมส่งเข้าไปในห้องพระบรรทม
เหล่าขันทีน้อยต่างไม่กล้ารั้งตัวนาง ยังดีที่หลี่กงกงมาทันเวลา ” แม่นางอัน อย่าได้โทษว่าบ่าวเฒ่าไม่ได้เตือนท่านก่อน วันนี้หากท่านก้าวขาเข้าไปในห้องบรรทมของฝ่าบาทเพียงก้าวเดียว เกรงว่าท่านอาจเดินตัวตั้งเข้าไปแต่ต้องนอนหงายออกมา”
” หลี่กงกง ข้าเพียงแต่จะเข้าถวายน้ำชาเท่านั้น ทุกคืนก่อนเข้าบรรทม ฝ่าบาทมักจะทรงดื่มชาที่ช่วยให้บรรทมได้ง่ายขึ้น”
หลี่กงกงก็มิไรรั้งนางอีก เขาเดิมเลี่ยงไปที่ด้านข้าง “คำพูดของบ่าวเฒ่ามีเพียงเท่านี้ ท่านไปเถอะ หากฝ่าบาทลงมีรับสั่งลงโทษลงมา ต่อให้เป็นอันหร่วนกูกูก็ปกป้องท่านไว้ไม่ได้”
อันหว่านจือเห็นเขามิได้รั้งนางไว้อีก ก็ชักจะเกิดความลังเลขึ้นมา
นางยกน้ำชาเดินไปจนถึงด้านนอกของห้องบรรทม แต่พอถึงข้างประตูกลับไม่กล้าเคาะประตูเข้าไปง่ายๆ
จึงได้แต่ถือน้ำชาเอาไว้ดักฟังอยู่ข้างประตูนั้นเอง
ภายในห้อง เงาตะเกียงสว่างวิบๆ
ซูเม่ยสวมชุดแดงเจิดจรัส ใบหน้าปราศจากการแต่งเติม แม้กระทั่งเครื่องประดับผมใดๆ ก็ล้วนถูกถอดออกไปจนหมด เส้นผมเพียงแต่ถูกมวยเอาไว้อย่างหลวมๆ เท่านั้น
เมื่อไร้ซึ่งเครื่องสำอางค์ใดๆ ช่วยแต่งเติม เส้นสายบนใบหน้าจึงมิได้ดูอ่อนโยนเช่นยากปกติ
จีเฉวียนประทับอยู่บนเก้าอี้นอน พิงพระองค์ไปกับเบาะนุ่ม ดวงพระเนตรหงส์กวาดมองซูเม่ยอย่างเย็นชา “ถอดเสื้อผ้า”
ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 147 บุรุษล้วนชอบลองของใหม่
Posted by ? Views, Released on November 9, 2021
, ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง
Recommended Series
Comment
Facebook Comment