หวังเป่าเล่อวิเคราะห์ข้อมูลที่เพิ่งได้ไปพร้อมๆ ข้อมูลที่รู้อยู่แล้ว และชายหนุ่มก็ได้ข้อสรุปทันที ทั้งตัวเขาและเหออวิ๋นจื่อต่างก็มีอำนาจควบคุมทั้งคู่ คนใดคนหนึ่งย่อมต้องตายเพื่อที่อีกคนจะได้อำนาจควบคุมอย่างสมบูรณ์!
ข้อสรุปที่หวังเป่าเล่อได้มานี้ไม่ได้ต่างไปจากที่เขาคาดเดาเอาไว้ระหว่างเดินทางกลับมาอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากนัก แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดูปกติ ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาอาจไม่ได้รู้สึกรุนแรงเช่นนี้หากไม่ใช่เพราะเรื่องที่เพิ่งประสบมา การได้ค้นพบว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เก็บซ่อนความคิดอะไรบางอย่างเอาไว้และการที่รอดพ้นกับดักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาได้ทำให้หวังเป่าเล่อระวังตัวแจ
และนั่นก็เป็นเหตุให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป!
สิ่งนั้นก็คือ…วงแหวนปราณรอบนอกของดารานิรันดร์!
สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่า…มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับวงแหวนปราณนั้น การที่วงแหวนปราณมาปรากฏอยู่ที่นี่ดูไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ปัจจุบัน ต่อให้สองสำนักใหญ่ร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังมีเหออวิ๋นจื่อ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตระเตรียมวงแหวนปราณดังกล่าวแม้แต่น้อย ไม่ว่างจะมองอย่างไรก็ดูเป็นการเตรียมการเกินกว่าเหตุ…
เหตุใดสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงต้องทำอะไรมากมายเช่นนั้นด้วยเล่า พวกเขาตั้งใจใช้วงแหวนปราณเป็นเกราะป้องกันใครสักคนหรือ…ใครสักคนเช่นข้ากระมัง หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเหตุผลที่แท้จริงคือสิ่งใด ไม่มีความจำเป็นที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องหลอมวงแหวนปราณขึ้นเพื่อป้องกันตัวจากหวังเป่าเล่อเลย เพราะอย่างไรเสีย เหออวิ๋นจื่อก็ยังไม่ตาย ดังนั้นสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์จึงยังไม่ตกอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ
หากชายหนุ่มเป็นสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาคงไม่หลอมวงแหวนปราณขึ้นเพื่อกันตนเองออกไปแน่ กลับกัน หวังเป่าเล่อคงจะเปิดทางและเฝ้ารออย่างอดทนให้ตนเองตรงเข้าไปหาดารานิรันดร์มากกว่า
หรือว่าเหออวิ๋นจื่อตายเสียแล้ว ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในใจหวังเป่าเล่อขณะที่กำลังใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ก็ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูเข้าท่าที่สุดก็ตามที
หรือว่า…จะเป็นกับดักอีกอันหนึ่งกัน หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัว ชายหนุ่มยังขาดเงื่อนงำที่สำคัญมากๆ ไป เขาไม่สามารถหาคำตอบให้ปริศนานี้ได้โดยปราศจากรายละเอียดเหล่านั้น
ไม่สำคัญหรอก ข้าจะใช้ร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางเป็นเหยื่อล่อ และขุดเอาข้อมูลที่หาอยู่จากนั้นก็ลากความจริงมาให้ได้! ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจ้องมองไปยังดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่อยู่ห่างออกไป แล้วกระโจนครั้งเดียวไปอยู่ตรงหน้าค่ายที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์อยู่ เขาตั้งใจจะเปิดเผยการมาถึงของตนเอง
ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะเหาะออกไป จู่ๆ นัยน์ตาของเขาก็หรี่ลงแล้วกวาดขึ้นไปมองด้านบน มีเสียงครืนสนั่นขณะที่สายฟ้าเริ่มก่อตัวกันเหนือศีรษะของเขา ก่อนวงแหวนปราณพร่าเลือนที่ดูเหมือนผนึกจะมาปรากฏอยู่กลางอวกาศ คลื่นกดดันทะลักทลายลงมารอบตัวหวังเป่าเล่อและผนึกเขาเอาไว้ในพริบตา
พวกเขารู้แล้วอย่างนั้นหรือ ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมขึ้น ทว่าเมื่อร่างนับสิบมาปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณ ชายหนุ่มก็แอบยิ้มเยาะอยู่ภายใน
ร่างที่ยืนอยู่หน้าสุดคือประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้างๆ คือหญิงชราที่มีสีหน้าตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหรือชั้นสมบูรณ์ด้วยกันทั้งสิ้น
“หลงหนานจื่อ!” จิตสังหารฉาบเคลือบแววตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ร้องตะโกนออกมา ชายชราก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังหวังเป่าเล่อก่อนจะกวาดมือลงด้านล่าง ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันทีเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
เขาไม่ได้ดูแปลกใจเลยที่เห็นข้า แปลว่ารู้แล้วอย่างนั้นหรือว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายแล้ว เขาอาจจะรู้อีกด้วยว่าข้าได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายไม่ได้อยู่ที่นี่ แปลว่าเขาหนีออกมาจากดารานิรันดร์ไม่ทันอย่างนั้นหรือ วิญญาณเทพของเขาถูกทำลายแล้วหรือไร นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในศีรษะ พร้อมกันนั้นเองชายหนุ่มก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อเดาถูกต้อง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายอยู่บนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ที่อยู่ภายใต้อาณัติของอารยธรรมครามทองคำ การตายของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่ตระกูลเซี่ยเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยิ่ง มีบางอย่างที่หวังเป่าเล่อยังไม่รู้ แม้ว่าอารยธรรมครามทองคำจะไม่ได้เปิดใช้ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เป็นครั้งที่สอง จึงไม่สามารถส่งกำลังเสริมมายังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ แต่พวกเขาก็สามารถติดต่อกันผ่านดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ แม้จะต้องพยายามและใช้ทรัพยากรมากขึ้นสักหน่อยก็ตาม
ด้วยเหตุนี้…ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงไม่อาจซุกซ่อนความผิดพลาดของตนได้ เขาจำต้องเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้อารยธรรมครามทองคำรับรู้ ว่าการทำสงครามในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้ราบรื่นนัก ความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวา การยื่นมือเข้ามาของตระกูลเซี่ย และขณะนี้ การกลับมาของหลงหนานจื่อ ทำให้ประมุขสำนักเกลียดชังหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง จึงเตรียมพร้อมและเฝ้ารอให้อีกฝ่ายกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
ทันทีที่ชายชราพบร่องรอยของหวังเป่าเล่อ เขาก็เรียกบรรดาผู้ฝึกตนมารวมกัน ก่อนจะเปิดใช้ผนึกและนำทัพมาด้วยตนเอง!
หวังเป่าเล่ออาจจะรับมือประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และหญิงชราระดับดาวพระเคราะห์ได้หากเขาอยู่ในร่างสารัตถะที่แท้จริง อย่างไรเสียร่างนั้นก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์และสามารถสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นธรรมดาๆ ได้ แม้ชายหนุ่มจะไม่แข็งแกร่งเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง แต่ก็ยังยืนระยะได้หากต้องสู้กันจริงๆ
ทว่าร่างนี้เป็นเพียงร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง เป็นร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาเพื่อซ่อนกายสารัตถะที่แท้จริงเอาไว้ ไม่มีทางสู้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนได้แน่ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายทันทีที่มองเห็นประมุขสำนักมาถึง ก่อนจะแปลงกายเป็นหมอกหนาทึบแล้วรีบหนีทันที
ชายหนุ่มปล่อยวิชาดวงเนตรปีศาจไปพลางขณะกำลังหนี มีดวงเนตรสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในม่านหมอก เมื่อดวงเนตรนั้นลืมขึ้น พลังมหาศาลก็ไหลบ่าเข้าหากองกำลังสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อพยายามสกัดกั้น
ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวสั่นขึ้นมาทันที และไม่มีใครหนีรอดไปได้ พวกเขาต่างก็หยุดชะงักจากการไล่ตาม ราวกับว่ามีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนมัดพวกเขาเอาไว้กับที่ เป็นเรื่องง่ายสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะใช้พลังของดวงเนตรปีศาจสังหารผู้ฝึกตนที่ถูกมัดเหล่านี้เสีย
แต่เวลาในขณะนี้นั้นไม่เป็นใจ ดวงเนตรปีศาจอาจทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และสตรีระดับดาวพระเคราะห์ได้ หัตถ์ยักษ์จากประมุขสำนักปรากฏขึ้นในอึดใจต่อมา ก่อนจะพุ่งลงมาใส่หวังเป่าเล่อด้วยพลังที่พร้อมบดขยี้ทั้งสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ
พลังนั้นกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า ราวกับว่าสามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางมันได้ทั้งสิ้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในรูปหมอก แต่ก็ไม่อาจหลบการโจมตีได้พ้น ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตาข่ายกำลังพุ่งเข้ารัดกายเอาไว้ หัตถ์นั้นพุ่งลงมากระแทกหมอกที่กำลังลอยหนีอย่างจัง
หมอกดูราวกับว่ากำลังเดือดพล่านและเริ่มจางหายไป การโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางกระแทกใส่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ หมอกส่วนมากสลายกลายเป็นผุยผงก่อนจะละลายหายไปในอวกาศ
หวังเป่าเล่อคาดการไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องคล้ายๆ กันนี้ขึ้นเมื่อแรกหลอมร่างอวตารขึ้นมา เป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงเก็บสมบัติเวทเช่นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเอาไว้ในร่างอวตาร แม้จะช่วยรับมือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางไม่ได้มากนัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลัวที่จะระเบิดตัวเองทิ้งเพื่อซื้อเวลา ด้วยเหตุนี้ร่างอวตารของเขาจึงระเบิดขึ้นมาในอีกอึดใจต่อมา!
ราคาที่ต้องจ่ายคือร่างอวตารที่เสียหายไปครึ่งหนึ่ง แรงระเบิดส่งหมอกจางๆ นั้นลอยละล่องย้อนหลังไป ชายหนุ่มกระเสือกกระสนไปรวบรวมเอาร่างที่เหลือกลับมา ร่างที่รวมกันกลับมาใหม่นั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มีแววบ้าคลั่งฉาบเคลือบอยู่บนดวงตาทั้งคู่ สายตาที่จ้องมองประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่กะพริบนั้นมีความบ้าคลั่งและคั่งแค้นปรากฏอยู่
“ทีแรกข้าก็ถูกผู้อาวุโสฝ่ายขวาของเจ้าไล่ล่า มาตอนนี้ เจ้าก็ยังพยายามจะสังหารข้าอีก ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจะควบคุมดารานิรันดร์เท่านั้น…เจ้าทำเช่นนี้เพื่อจะให้เป็นไปตามแผนของเหออวิ๋นจื่อใช่หรือไม่ เหออวิ๋นจื่อ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อคำราม ชายหนุ่มมองดูราวกับเป็นอสูรตัวเล็กจ้อยที่ถูกต้อนจนมุมที่พยายามส่งเสียงคำรามขู่คู่ต่อสู้อย่างไร้ผล
“เหออวิ๋นจื่ออย่างนั้นหรือ” ประมุขสำนักส่งยิ้มเยาะ มีประกายเกรี้ยวกราดจางๆ สะท้อนอยู่ในแววตา หวังเป่าเล่อมองเห็นอารมณ์ที่วาบผ่านมาอย่างรวดเร็วของอีกฝ่ายทันเพราะจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มมองเห็นสีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ที่แสดงอารมณ์ออกมาคล้ายคลึงกัน
เขาไม่เข้าใจ แต่ความไม่เข้าใจก็ถูกกลบโดยความเคลือบแคลงสงสัย
“หลงหนานจื่อ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเสนอหน้ากลับมา!” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดถึงเหออวิ๋นจื่ออีก เขาหรี่ตาลงก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ ชายชราเตรียมการรับมือการหนีหางจุกก้นของหลงหนานจื่อเอาไว้เรียบร้อย แต่ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องใช้แผนนั้นแล้วในตอนนี้
แม้จะดูเหมือนว่าหลงหนานจื่อสามารถป้องกันการโจมตีครั้งก่อนหน้าได้สำเร็จ แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้รู้ดีว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อจนมุมแล้ว นี่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายที่ชายหนุ่มจะทำก่อนต้องตาย
“สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้ากล้าสังหารข้าอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแววตื่นตระหนกเมื่ออันตรายย่างกรายเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มถอยอีกครั้ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือแล้วยกเหรียญตราหยกชูขึ้นในอากาศ