อ่านโดจิน doujinza.com
ตอนที่ 40 ย้อนกลับ
“โดยทั่วไปแล้วหยกเลือดสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและจิตวิญญาณของบุคคล แต่ปัญหาคือต้นกำเนิดของหยกเลือดนี้ไม่บริสุทธิ์” หยางซือเหมยเห็นว่าเขาไม่เชื่อเธอจึงไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม
“หนูแนะนำคุณได้เพียงเท่านี้ และสิ่งที่หนูพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมดส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นก็แล้วแต่คุณ แต่อย่าปล่อยให้ความไม่รู้ทำให้สมาชิกในครอบครัวของคุณต้องเสียชีวิต”
เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็หันหลังเดินจากไป
“คุณพ่อรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยเหรอ?” มินชิงฮัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อืม! วัตถุโบราณที่ปิดทองของราชวงศ์ชิงที่ฉันได้มาก่อนหน้านี้ซื้อมาจากเธอ เด็กอายุน้อยเช่นนี้มีการพูดจาที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ ฉันไม่รู้ว่าเธอถูกเลี้ยงดูมายังไงถึงได้มีความสามารถมากขนาดนี้” มินยู่หลินกล่าวขณะที่เขาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากกล่าวจบลงความสนใจทั้งหมดของเขาก็พุ่งตรงไปยังสร้อยข้อมือหยกเลือดที่หวังชิงเซียนสวมใส่อยู่ ขณะที่เห็นว่าสีของมันเป็นสีแดงเข้มที่ดูเหมือนเลือด อีกทั้งหยกนั้นยังเป็นผลึกที่โปร่งใส และเมื่อมาจับคู่กับข้อมือของเธอที่ปราศจากสีเลือดมันก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกน่าหวาดกลัวจนขนหัวลุก
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีอาการป่วยเมื่อเธอสวมใส่สร้อยข้อมือเส้นนี้ มันดูช่างเหมาะสมกับท่าทางที่สง่างามและอ่อนโยนของเธอ ทำให้ในตอนนั้นทุกคนต่างก็ชื่นชมมันโดยไม่มีที่สิ้นสุด
โดยสร้อยข้อมือหยกเลือดเส้นนี้มินชิวฮัวเป็นคนนำมันกลับมาจากเมืองซินเจียงเพื่อมอบให้กับหวังชิงเซียนเป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงาน ซึ่งเธอหวงแหนมันมากและไม่เคยถอดมันออกจากข้อมือเลย
และในเวลานี้หมินชิงฮัวยังคงจ้องมองไปที่สร้อยข้อมือหยกเลือดนั้น และไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ตาม ยิ่งมองมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดูแปลกมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงเอื้อมมือไปปลดมันและเลื่อนสร้อยข้อมือหยกเลือดเส้นนั้นออกจากข้อมือของภรรยาด้วยความหวังบางอย่างในหัวใจ
จากนั้นเขาก็เห็นว่าใบหน้าซีดเซียวที่ดูคล้ายกับซากศพของเธอเริ่มมีความสดใสขึ้นมาและรู้สึกได้ว่าการหายใจของเธอก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นเช่นกัน
เขาจึงรีบแกะผ้ายันต์ที่แปะอยู่บนใบหน้าของเธอ แต่ทันใดนั้นจมูกของเขาก็ได้กลิ่นที่รุนแรงจากมัน ทำให้เขาเกิดอาการเวียนศีรษะจนต้องทรุดตัวลงบนเตียง ส่งผลให้เขาไม่สามารถถือสร้อยข้อมือหยกเลือดเส้นนั้นเอาไว้ได้ และด้วยเสียงดังกริ๊ง…มันก็ร่วงหล่นลงบนพื้นและแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในฉับพลัน
และเมื่อเห็นว่าบุตรชายของตัวเองสลบไสล มินยู่หลินจึงรีบกดกริ่งในห้องเพื่อเรียกหมอแต่ก็อดเสียดายไม่ได้ที่สร้อยข้อมือหยกเลือดเส้นนั้นแตกละเอียดไปต่อหน้าต่อตา
อย่างไรก็ตามเมื่อแพทย์ตรวจร่างกายแล้วก็ระบุว่าที่เขาเป็นลมหมดสติเนื่องจากได้รับผลกระทบจากกลิ่นของยากล่อมประสาทชนิดร้ายแรง และหวังชิงเซียนก็ได้รับผลกระทบจากกลิ่นของยากล่อมประสาทชนิดนี้เช่นเดียวกัน
ส่วนที่มาของมันนั้นเกิดจากแผ่นยันต์ที่ถูกนำมาอาบด้วยยากล่อมประสาท ดังนั้นเธอจึงหลับใหลอย่างสงบไปในทันที
ด้วยเหตุนี้มินยู่หลินจึงพบว่าตนเองตกหลุมพรางของนักบวชจอมปลอม และในตอนนั้นมินกังน้อยก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะที่เขาจ้องมองไปยังสร้อยข้อมือหยกเลือดที่แตกอยู่บนพื้น
“คุณปู่!ดูนั่นสิ!”
และเมื่อหันไปมองเขาก็เห็นเส้นใยของหยกเลือดที่ฟุ้งกระจายออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงปะทุและในที่สุดมันก็กลายเป็นควันที่ชัดเจนและจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่คือ…
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าหลังของเขาถูกปะทะด้วยความหนาวเหน็บที่ยากจะอธิบาย!
คำกล่าวของเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นเป็นความจริง!
ต้นตอของความโชคร้ายทั้งหมดมาจากสร้อยข้อมือเส้นนี้จริง ๆ ด้วย!
แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นคือใคร?
***
ตอนนี้หยางซือเหมยได้เดินกลับไปที่ห้องผู้ป่วยที่บิดาของเธอนอนรักษาตัวอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขณะที่เธอต้องการจะปอกแอปเปิ้ลให้บิดา
แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เย็นยะเยือกแทรกเข้ามาในตัวเธอจากบริเวณปลายเท้าแล่นขึ้นไปสู่เส้นประสาทที่อยู่บริเวณศีรษะ ส่งผลให้ร่างกายของเธอเย็นเฉียบเข้าไปถึงกระดูกราวกับถูกยิงด้วยลูกศรที่มีความเย็นนับล้านดอก
“โอ้ยยยย…”
และในทันทีทันใดเลือดปริมาณมากก็พุ่งออกมาจากริมฝีปากของเธอ ขณะที่กระดูกทุกส่วนในร่างกายเริ่มปวดร้าว รวมไปถึงอวัยวะภายในทั้งหมดรู้สึก ราวกับว่าถูกกดทับด้วยหินนับหมื่นก้อน ทำให้เธอรู้สึกแทบจะทนไม่ไหวโดยมันเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เท่านั้นยังไม่พอในตอนนี้หัวใจของเธอก็รู้สึกราวกับว่าถูกงูพิษจำนวนนับไม่ถ้วนกัดแทะจนทำให้เธอล้มกลิ้งลงไปนอนกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ลูก! เป็นอะไรไป! ทำไมถึงเป็นแบบนี้? หมอ! หมอ! ช่วยเธอด้วยครับ!”
เมื่อหยางชิงเห็นสภาพของหยางซือเหมยจึงลืมอาการบาดเจ็บที่ขาของตัวเองไปเสียสนิทขณะที่รีบร้อนกระโดดลงจากเตียงส่งผลให้กระดูกที่ยึดเข้าที่ได้ไม่นานต้องแตกหักอีกครั้ง ทำให้เขาถึงกับล้มลงบนพื้น
แน่นอนว่าในเวลาต่อมาห้องพยาบาลก็เริ่มวุ่นวายเมื่อแพทย์และพยาบาลรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ โดยแพทย์รีบทำการตรวจสอบอาการของหยางซือเหมยทันที
แต่ก็แปลกมากที่อาการป่วยของเด็กน้อยผู้นี้ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจและข้อมูลอื่น ๆ ของเธอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นปกติดี โดยพวกเขาค้นพบเพียงว่ามีเพียงเส้นเอ็นที่ฉีกขาดกับกระดูกที่หักอย่างกะทันหันเท่านั้น
และในขณะที่คณะแพทย์ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นนักบวชหยูชิงก็ปรากฏตัวขึ้น เนื่องจากเมื่อเช้านี้เปลือกตาของเขาเกิดอาการกระตุกอย่างไม่หยุดหย่อน และเมื่อคำนวณแล้ว เขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับหยางซือเหมยจึงรีบเดินทางเข้ามาในเมือง
“อาจารย์คะ…”
เมื่อได้เห็นนักบวชหยูชิงหยางซือเหมยก็ร้องเรียกชายชราอย่างอ่อนแรง ขณะที่ร่างกายของเธอไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เนื่องจากอวัยวะภายในของเธออยู่ภายใต้แรงกดดันที่มากจนแทบจะทนไม่ได้
ต่อมานักบวชหยูชิงจึงตรวจสอบสภาพร่างกายของเธออย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ยิ่งตรวจสอบมากเท่าไหร่คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดมากขึ้นเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าหยางซือเหมยกำลังทุกข์ทรมานจากการภาวะคุณไสยย้อนกลับ ทำให้พลังงานทางจิตวิญญาณของเธอเกิดอาการสับสน นอกจากนี้สิ่งร้ายที่แฝงตัวอยู่ในโรงพยาบาลยังใช้โอกาสนี้ในการบุกรุกอวัยวะภายในของเธอทำให้เส้นเอ็นเสียหายและกระดูกของเธอต้องแตกหัก
“ซือเหมย! เจ้าสร้างกรงเล็บหกเหลี่ยมเจ็ดจุดเหรอ?”
หยูชิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
ขณะที่ท่านอาจารย์กำลังรอคำตอบ จังหวะนั้นหยางซือเหมยก็นึกถึงตอนที่ตนเองสร้างกรงเล็บหกเหลี่ยมเจ็ดจุดเพื่อทำลายฮวงจุ้ยที่ดีของหลุมฝังศพบรรพบุรุษผู้ใหญ่บ้าน ต่อมาเด็กน้อยจึงลดเปลือกตาลงและพยักหน้า
“ไอ้หยา…”
ด้วยคำตอบที่ตรงไปตรงมาของลูกศิษย์คนโปรด ทำให้หยูชิงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะกล่าวว่า
“อาจารย์สอนมาตลอดว่าการก่อตัวสามารถฆ่าคนจากระยะไกลโดยไร้ร่องรอยได้โดยการทำลายฮวงจุ้ยของครอบครัวเขา อย่างไรก็ตามเมื่อพบผู้ที่มีพลังมากกว่ามันจะทำให้เกิดการย้อนกลับที่ร้ายแรงซึ่งสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้”
การตอบสนองนี้ผู้ที่อยู่ในสาขาวิชาเดียวกันทุกคนต่างก็ทราบและมีการสร้างข้อกำหนดขึ้นมาว่า เมื่อทำลายรูปแบบของอีกฝ่ายพวกเขาจะต้องพยายามลดการตีกลับของรูปแบบซึ่งจะทำให้ผู้เจ้าของรูปแบบไม่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งธรรมเนียมนี้สามารถปกป้องผู้อื่นและตัวเองได้
ท้ายที่สุดแล้วเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า ดังนั้นเมื่อมีผู้มีพลังก็ย่อมมีผู้ที่มีพลังเหนือกว่าอย่างแน่นอน ทำให้ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า การก่อตัวของพวกเขาจะไม่ถูกทำลายโดยคนที่แข็งแกร่งกว่า
อย่างไรก็ตามผู้มีวิชาที่ทำลายรูปแบบฮวงจุ้ยของหยางซือเหมยในครั้งนี้ไม่สนใจธรรมเนียมนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะคนผู้นี้ไม่เพียงแค่ทำลายรูปแบบเท่านั้น แต่เขายังต้องการสังหารเธอโดยตรงด้วย
หยางซือเหมยกล่าวด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
“แล้ว..หนูจะทำยังไงดี? อาจารย์คะ..หนูยังไม่อยากตาย”
“ไม่ต้องกังวลใจ! ทุกปัญหาล้วนแล้วแต่มีทางออก แต่เจ้าต้องขึ้นไปฝนวิชาบนเขากับอาจารย์เป็นเวลาสิบปี!”
จากนั้นหยูชิงได้หยิบเหรียญทองแดงโบราณออกมาและห้อยไว้ที่คอของเธอ ทำให้หยางซือเหมยรู้สึกว่าอวัยวะภายในของเธอเริ่มทรงตัว ขณะที่ความเจ็บปวดในตอนแรกที่กดดันเธอกระจายตัวออกไปจากร่างราวกับว่ามันกลัวเหรียญโบราณนี้มาก
จากนั้นเธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ในตอนนี้ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากเส้นเอ็นและจุดสัมผัสที่ถูกตัดขาดของเธอยังคงแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้เหมือนกระแสน้ำที่หลั่งไหลมาโดยไม่ขาดสาย
ทำให้เธอต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งนักบวชหยูชิงส่งพลังวัตรให้เธอโดยตรง มันจึงสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้เล็กน้อย
***