บทที่ 23 ชาตินี้ไม่ขอเป็นคนตระกูลเยี่ยอีกต่อไป (ปลาย)
“สู่รู้ ?”
เยี่ยฉวนเอ่ยพลางหัวเราะ “ท่านผู้นำ ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลางรวมหัวกับคนอื่น ๆ กดข้าไว้อย่างหนักหนาเช่นนี้ และยังลอบทำลายตันเถียนของข้าลับหลังอีก ท่านจะไม่จัดการกับเรื่องนี้เลยหรือ ? หรือว่า ข้าเป็นเศษสวะและถูกกำหนดว่าไม่อาจไปต่อได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว จึงไม่คุ้มค่าที่ท่านจะกำจัดเยี่ยหลางให้ข้าเพราะว่าข้าไม่มีค่าอะไรในตอนนี้แล้ว ข้าพูดถูกหรือไม่ ?”
สายตาของเยี่ยชางจ้องมองเยี่ยฉวนเข้มขึ้น แม้เขาจะไม่ตอบ แต่ในสายตาของเขาก็ฉายรังสีสังหารออกมาแล้ว !
แม้เยี่ยฉวนจะเคยเป็นอัจฉริยชนแห่งตระกูลเยี่ย เขาก็ไม่ใช่หลานชายของผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย หรือเป็นทายาทสายตรงของเยี่ยชาง อย่างที่เยี่ยฉวนพูดไว้ อีกฝ่ายคงกลัวเขาจริง ๆ!
ครั้งนี้เขาจึงเก็บตัวทำสมาธิและไม่ออกมา จุดประสงค์ก็เป็นไปตามความจริงที่เยี่ยฉวนได้กล่าวไว้ เขาต้องการให้เยี่ยฉวนกับผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยสู้กันจนตาย เขาจึงจะสามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายอ่อนกำลังลงได้เมื่อออกมาแล้ว !
นี่คือยุทธวิธีการคานอำนาจ !
ในฐานะของผู้นำตระกูลแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด แต่ตอนนี้เยี่ยฉวนได้เผยความจริงอันโหดร้ายนี้ออกมา นั่นหมายความว่าไม่มีจุดย้อนกลับให้ทุกคนอีกต่อไปแล้ว !
มีเพียงความเงียบงันอยู่รอบด้าน ทุกคนพากันจับจ้องมองไปที่เยี่ยฉวนตาไม่กะพริบ !
ในตอนนี้แม้แต่หลีอวี๋กับคนอื่น ๆ ก็รู้สึกไม่เชื่อถือเยี่ยชางขึ้นมาบ้างแล้ว !
แม้ตระกูลชั้นสูงจะยึดถือความจริง พวกเขากลับปฏิบัติต่อวีรบุรุษของตระกูลเช่นนี้หรือ ? ข้อเท็จจริงนี้ทำเอาผู้คนต่างรู้สึกว่าพวกเขาช่างเย็นชาและน่ารังเกียจยิ่ง !
ในตอนนี้เยี่ยฉวนพลันยิ้มออกมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาหันไปเหลือบมองจวนตระกูลเยี่ย ในแววตาปรากฏริ้วอารมณ์หลายอย่างเหมือนจะรำลึกอดีต “ข้า เยี่ยฉวน เป็นผู้สืบทอดแห่งตระกูลเยี่ยเมื่ออายุ 12 ปี ข้าไม่รู้ว่ามีกี่ครั้งแล้วที่ข้าสู้ยิบตาเพื่อตระกูลเยี่ย แต่สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดกลับส่งผลเช่นนี้”
ว่าแล้วเขาก็พลันถอดตราตระกูลเยี่ยออกจากอกและขว้างทิ้งลงพื้นดิน “ข้า เยี่ยฉวน สาบานต่อหน้าทุกท่านในวันนี้ ข้าและน้องสาว เยี่ยหลิง ชาตินี้ไม่ขอเป็นคนตระกูลเยี่ยอีกต่อไป ยามมีชีวิตไม่ขอพึ่งพาตระกูลเยี่ย ยามตายก็ไม่ขอสลักชื่อในหอบรรพชน !”
ได้ยินคำพูดของเขา สายตาของทุกคนรอบด้านพลันเปลี่ยนไป !
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในตระกูลเยี่ย !
การถอนตัวออกจากตระกูล !
มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองชิง !
แม้แต่ดวงตาของหลีอวี๋กับคนอื่น ๆ ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ว่าเยี่ยฉวนคนนี้กำลังจะตัดขาดจากตระกูลเยี่ยจริง ๆ!
เยี่ยชางจ้องมองเยี่ยฉวน “มันเป็นเรื่องของเจ้า !”
เยี่ยฉวนไม่เอ่ยอะไรอีกและหันหลังกลับ !
ในตอนนี้ ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพลันพูดขึ้น “เดี๋ยว !”
เยี่ยฉวนหยุดเท้า
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยมองเยี่ยฉวนอย่างไร้หัวใจจากนั้นก็มองเยี่ยชาง “ท่านผู้นำ ตันเถียนของคนผู้นี้เสียหายจนทำให้เขาไม่มีโชคต่อไปในภายภาคหน้า แต่ในตอนนี้ฝีมือการต่อสู้ของเขานับว่าดีไม่น้อย ดังนั้นหากเราไม่กำจัดเขาในตอนนี้ เขาจะต้องกลายเป็นเสี้ยนหนามใหญ่ของตระกูลเยี่ยเราในภายภาคหน้าเเน่ขอรับ !”
ข้างกันนั้น ผู้อาวุโสในชุดสีดำก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ท่านผู้นำ เยี่ยฉวนทรยศต่อตระกูลอย่างเปิดเผย หากเราไม่ฆ่าเขาในตอนนี้ คนอื่น ๆ ก็อาจจะทำตามเขาเป็นเยี่ยงอย่าง ยิ่งกว่านั้นคนคนนี้ยังมีฝีมือการต่อสู้ที่ดีไม่น้อย หากเขาถูกตระกูลอื่นรับตัวเข้า เขาก็จะกลายเป็นหายนะใหญ่ของตระกูลเยี่ยแน่ขอรับ !”
ได้ยินคำพูดของเขา ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลเยี่ยก็พากันส่งเสียงเห็นด้วย !
เยี่ยชางจ้องมองเยี่ยฉวนนิ่ง ทันใดนั้นเองเขาก็ยกมือขวาขึ้น โดยไม่รีรอ เหล่าพลหน้าไม้ทั้งหลายในบริเวณนั้นต่างพุ่งเป้าไปที่เยี่ยฉวนพร้อมกัน !
เสียงไร้อารมณ์ของเยี่ยชางดังขึ้น “เยี่ยฉวนทรยศต่อตระกูลอย่างเปิดเผย หากว่าตามกฎของตระกูลแล้ว เขาต้องถูกสังหารในทันที ฆ่าเขาเสีย !”
ในทันทีที่เหล่าพลหน้าไม้กำลังจะยิง ตอนนี้เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นในสนามประลองทันที “เดี๋ยว !”
ทุกคนมองไปทางต้นเสียง และในบริเวณใกล้เคียง สตรีถือหอกผู้หนึ่งก็ได้ย่างก้าวเข้ามาหาพวกเขา !
เมื่อเห็นสตรีผู้นี้แล้ว ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยและคนอื่น ๆ พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป !
ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย เจียงเหนียนและคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียงเหนียน เขารุดตรงไปที่ด้านหน้าของสตรีผู้นั้นและโค้งคำนับสุดตัว “ข้าเจ้าเมืองชิง ขอคารวะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นขอรับ !”
ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น !
บุคคลที่เพิ่งมาถึงคืออันหลานซิ่ว !
ยอดยุทธ์ที่เยาว์วัยที่สุดของแคว้นเจียง !
ในแคว้นเจียง ตำแหน่งผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นนับว่าสูงกว่าขุนนางใด ๆ แม้แต่อ๋องผู้ครองแคว้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางพวกเขา และขุนนางทุกคนล้วนต้องทำความเคารพในทันทีที่เห็นพวกเขา !
ในตอนนี้ชายกลางคนแห่งเมืองเหยียนและสตรีเลอโฉมแห่งเมืองลั่วต่างรีบมาอยู่ตรงหน้าอันหลานซิ่ว พวกเขาก้มคารวะเล็กน้อย และชายกลางคนก็เอ่ยขึ้น “ข้าโม่ซิงในฐานะตัวแทนตระกูลโม่แห่งเมืองเหยียน ขอคารวะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นขอรับ !”
สตรีเลอโฉมทำตามในทันที “ข้าอวี๋เจี่ยในฐานะตัวแทนตระกูลอวี๋แห่งเมืองลั่ว ขอคารวะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นเจ้าค่ะ !”
ว่ากันตามตรงแล้ว พวกเขาต่างไม่มีสิทธิ์ได้ทักทายนาง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เเค่อ้างถึงตระกูลของพวกเขาเพื่อที่จะเอ่ยทักทายนาง !
อันหลานซิ่วพยักหน้าน้อย ๆ “ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ”
ทั้งสามรีบก้าวหลีกไปด้านข้าง
ทุกสายตาพากันมุ่งเป้าไปที่นาง อันหลานซิ่วเขย่งปลายเท้าเบา ๆ และร่างของนางก็ลอยกลางอากาศราวกับสายลมอ่อนโยน ก่อนจะร่อนลงบนสังเวียนตัดสินความเป็นความตายอย่างสง่างาม !
นี่คือขั้นทะยานสวรรค์ !
ทุกคนต่างอุทานเฮือก !
บุคคลอายุน้อยที่สุดในแคว้นเจียงที่บรรลุขั้นทะยานสวรรค์ !
อันหลานซิ่วเดินช้า ๆ มาหาเยี่ยฉวน “กำหนดการนัดประลองสองวันระหว่างเจ้ากับข้ามาถึงแล้ว !”
ความประหลาดใจนี้ตรึงทุกคนให้อยู่กับที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยและคนที่เหลือ …ทุกคนต่างมีท่าทีราวกับเห็นผี
“นางกำลังจะท้าประลองกับเยี่ยฉวน !”
ในลานแห่งนี้ ใครบางคนก็ได้สติและอุทานออกมา
“สวรรค์ นางต้องการท้าประลองกับเยี่ยฉวนจริง ๆ ด้วย ! นี่ …มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ?”
ไม่ไกลนัก ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพึมพำราวกับไร้วิญญาณ “นาง… นางท้าประลองเยี่ยฉวนที่ตันเถียนเสียหายไปแล้วได้อย่างไร… เป็นไปไม่ได้ ๆ!”
เยี่ยชางกำหมัด จ้องมองเขม็งที่เยี่ยฉวนผู้อยู่ไม่ไกลนัก
ในสายตาของทุกคน เยี่ยฉวนมองอันหลานซิ่วและเอ่ยออกมา “ได้ !”
สิ้นเสียงของเขา ชายหนุ่มก็พลันกางมือออก ก่อนที่ภายในเสี้ยววินาที กระบี่เล่มหนึ่งจะปรากฏบนฝ่ามือ !
กระบี่วิญญาณ !
ในตอนนี้ ทุกคนที่จุดนั้นต่างพากันประหวั่นพรั่นพรึง
“เขา… เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่…”
ในลานกว้าง เสียงหนึ่งดังขึ้น
แม้จะเป็นเพียงเสียงบางเบา แต่กลับทำให้รอบด้านพลันเงียบกริบเสียจนผู้คนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกพื้นได้