ณ ทางเข้าสนามบิน ฉินหนานเซิงนั่งรถเข็นที่มีผู้ดูแลเข็นอยู่ เข็นไปอยู่ข้างหน้าลู่จื่อเหยา
มองไปยังสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของฉินหนานเซิง ลู่จื่อเหยากระตุกริมฝีปากยิ้มออกมา ยิ้มแบบปรากฏออกมาให้เห็นถึงความอึดอัด
“หนานเซิง ทำไมเธอถึงกลับมาหาฉันตอนนี้ล่ะ?”
ถ้าหากเป็นแต่ก่อน ลู่จื่อเหยาจะสามารถแยกแยะออกมาได้อย่างชัดเจน ถึงความรู้ของตัวเองที่มีต่อฉินหนานเซิง
แต่ว่าตอนนี้
พอจุดประสงค์ทั้งหมดของเธอถูกซูสือเยว่และลั่วเยียนเปิดโปงอย่างไร้ความปรานี ทันใดนั้นลู่จื่อเหยาก็ไม่รู้แล้วว่าควรทำตัวยังไงต่อหน้าฉินหนานเซิง
เธอไม่แน่ใจว่า ฉินหนานเซิงรู้เรื่องราวในเวลานั้นหรือเปล่า และก็ไม่รู้ว่าฉินหนานเซิงรู้เรื่องที่เธอหลอกใช้ลู่จิ่งเฉินหรือเปล่า
หญิงสาวมองฉินหนานเซิงอย่างกังวลไม่สบายใจ “คุณ..คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
ฉินหนานเซิงค่อยๆ กระตุกปากขึ้นยิ้มเบาๆ ดวงตาเป็นมัน
“มาที่นี่เพื่อพบเธอ”
ลู่จื่อเหยายิ้มอย่างเก้อเขิน จงใจเสแสร้งทำท่าทางเหมือนจำใจและหลีกเลี่ยงไม่ได้
“หนานเซิง ขอโทษด้วยนะ”
“เดิมทีในครั้งนี้น่ะ ฉันอยากกลับมาคุยเรื่องเก่าๆกับคุณนะ”
“แต่ผลที่ได้ก็…”
หญิงสาวถอนหายใจ คิ้วของเธอแสดงออกมาว่าเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ “บางทีมันคงจะเป็นความผิดของฉันเองแหละ ที่พวกเราจะไม่มีโอกาสได้มาคุยกันอีก มันเป็นความผิดของฉันเอง”
ฉินหนานเซิงหรี่ตา ดูการกระทำของลู่จื่อเหยาอย่างเงียบๆ
รอเธอพูดจนเสร็จ ชายหนุ่มถึงจะหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆ เงยหน้ามองเธอ
“การที่ฉันกับเธอจะไม่มีโอกาสไม่มาคุยกันอีก อาจจะเป็นความโชคดีของฉัน”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ลู่จื่อเหยาตกใจเล็กน้อย
เธอมองฉินหนานเซิงอย่างเหม่อลอยและตะลึง ลึกๆในใจก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หญิงสาวกัดริมฝีปาก “หนานเซิง คุณ…หมายความว่ายังไง?”
“พูดเหมือนมีนัย”
ฉินหนานเซิงกระตุกปากยิ้มออกมา ดวงตาคู่นั้นมองใบหน้าของลู่จื่อเหยาอย่างเยือกเย็น
“เมื่อสองวันก่อน ข่าวลือเรื่องการทะเลาะกันของเธอกับลั่วเยียนมันกระจายไปทั่ว ทุกหนทุกแห่งต่างก็รับรู้”
“พวกเธอเคยอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเขตไห่เฉิง และเพื่อนบางคนในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็เห็น”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ลู่จื่อเหยาหน้าซีดในทันที
เธอกัดริมฝีปากของเธอและจ้องไปยังหน้าของฉินหนานเซิง
“หนานเซิง คุณ…คุณหมายความว่ายังไง?”
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”
ฉินหนานเซิงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
“ผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของพวกเธอบอกว่า ตอนที่เธอยังเด็กเธอมักจะรังแกเพื่อนๆคนอื่นเป็นพิเศษ เป็นเพราะครอบครัวของเธอแยกทางกัน และในที่สุดก็มายังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของลั่วเยียน”
“เธอไปถึงขั้นเอาวิดีโอที่รังแกลั่วเยียนในสมัยก่อนมาด้วย”
“แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอยังจำได้ไหม เจ้าหญิงตัวน้อยของฉันที่เขียนจดหมายถึงฉันตลอด ไม่กี่ฉบับแรก ก็เป็นการบ่นเกี่ยวกับเรื่องการถูกเด็กคนหนึ่งรังแก”
คำพูดของชายคนนั้นทำให้ลู่จื่อเหยาหน้าซีด
ฉินหนานเซิงก็พูดต่อ:
“ยังมีเพื่อนอีกสองสามคนที่เธอรู้จักในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาต่างก็ตามกันมาที่เมืองหรง มาหาฉัน และบอกว่าลั่วเยียนน่ะเป็นเด็กดี ถึงแม้ว่าเธอจะถูกรังแกมาโดยตลอด แต่เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เต็มใจให้ความสนใจกับลู่จื่อเหยา”
“หลังจากนั้น เธอก็ถูกพ่อแม่ของลั่วเยียนเอาตัวไป และลั่วเยียนก็ได้ขอความเมตตาพ่อแม่ของเธอ
“แต่ว่า ตอนที่เธออยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอก็เริ่มเลียนแบบลายมือของลั่วเยียน เพราะต้องการใช้ลายมือของลั่วเยียนในการเขียนจดหมาย บอกให้พ่อแม่ของเธอมารับกลับบ้าน”
“จนกระทั่งหลังจากนั้น…”
ฉินหนานเซิงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “ในที่สุดฉันก็กระจ่างแล้ว ว่าเมื่อตอนนั้นฉันติดต่อทางจดหมายกับใคร คนที่พยายามศึกษาลอกเลียนลายมือของเจ้าหญิงน้อยเป็นใคร”
เขามองดูลู่จื่อเหยาอย่างเย็นชา:
“บางทีเธออาจจะเริ่มต้นจากศึกษาลายมือของลั่วเยียน ไม่ใช่เพราะต้องการจะแย่งชิงฉันไปจากลั่วเยียน แต่เพียงต้องการที่จะใช้ลายมือ ในการปลอมแปลงเป็นลั่วเยียนทำเรื่องที่ไม่ดี”
“แต่เธอก็ค้นพบบันทึกการติดต่อทางจดหมายของฉันกับลั่วเยียนดังนั้นเธอก็เลยจงใจตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันผ่านจดหมาย เสแสร้งว่าเธอเป็นเขา และใช้น้ำเสียงของเขาในการพูดกับฉัน…”
ดวงตาที่ดูจมลึกไม่มีที่สุดคู่นั้นของชายหนุ่มจับจ้องไปที่หน้าของลู่จื่อเหยา:
“ฉันไม่เคยคิดเลยนะ ลู่จื่อเหยา ฉันคิดว่าตัวจริงเจ้าหญิงน้อยของฉันน่ะเป็นเธอมาโดยตลอด คิดว่าเป็นคนที่ฉันรักที่สุด”
“แต่เธอ…”
“เธอกลับทำเหมือนว่าฉันเป็นคนโง่!”
เมื่อพูดจบแล้ว ชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึกๆ นำเอาจดหมายทั้งหมดที่มีที่ลู่จื่อเหยาเป็นคนเลียนแบบลั่วเยียนแล้วส่งถึงเขาออกมา แทบจะทรุดลงบนพื้น:
“ตั้งหลายปีที่ฉันยกให้พวกนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่ามาโดยตลอด”
“แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเพียงเรื่องตลกไปแล้ว!”
“ฉันรู้จักคนผิดไป คนที่ฉันรักมากที่สุดฉันกลับคิดว่าเขาเป็นมือที่สาม และทำร้ายเธออยู่เสมอมา!”
จนกระทั่ง ตอนเช้าวันนี้ เขายอมหย่าตามที่เธอยกฟ้องขึ้นมา
เขามอบการแต่งงานที่ไร้ซึ่งความรักแก่เธอ ทำให้เธอรู้สึกหมดหวังในเรื่องของพวกเขา
ตอนนี้ลั่วเยียนต้องการจะหย่าและเธอกำลังจะจากไป เขาอยากจะรั้งเธอไว้แต่ก็ทำไม่ได้ กลับหาเหตุผลที่จะรั้งให้เธออยู่ต่อไปไม่เจอเลยสักนิด!
เพราะทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเขาเอง มันล้วนเป็นความผิดของเขา!
ถ้าตอนแรกเขามีเหตุผลที่เพียงพอมากกว่านี้ ฟังคำอธิบายของลั่วเยียนที่เธอพยายามจะบอก สำรวจค้นหาอดีตและพวกคนที่คลุกอยู่กับเธอให้ดีกว่านี้อีกหน่อย ผลสุดท้ายก็คงจะไม่จบลงแบบนี้!
ลู่จื่อเหยายืนอยู่ตรงนั้นข้างหน้าเขา มองดูพวกจดหมายที่ถูกโยนลงบนพื้น สีหน้าได้เปลี่ยนจากใบหน้าที่มีความสุข กลับกลายเป็นลังเลสับสน กลับกลายเป็นเศร้า กลับกลายเป็นสิ้นหวัง
ในที่สุด เธอก็หัวเราะออกมา
“สุดท้ายฉันก็ซ่อนมันไว้ไม่อยู่”
เธอกระตุกริมฝีปากและยิ้มอย่างพราวเสน่ห์:
“ฉินหนานเซิง คุณนี่มันโง่จริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่คุณฉลาดเป็นด้วย”
“ฉันน่ะนึกว่าชั่วชีวิตนี้คุณจะไม่รู้ซะอีก จนชั่วชีวิตคุณก็ไม่มีวันหามันเจอ!”
“จุ๊ๆ คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย ว่านายจะฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้!”
เธอหัวเราะอย่างเย็นชา หัวเราะอย่างดุร้าย ราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ป่วยทางจิต เป็นผู้หญิงบ้าที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลจิตเวช:
“แต่ว่าถึงตอนนี้คุณรู้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
“ลั่วเยียนเสียใจมานาน เสียใจมากจนเธอไม่รักคุณแล้ว!”
“มิฉะนั้นแล้ว เธอก็คงจะไม่เลิกแต่งงานกับคุณเพื่อซูสือเยว่ หรือฉินโม่หานหรอก!!”
“เป็นเพราะซูสือเยว่ กับ ฉินโม่หาน น่ะเหรอที่สำคัญมากกว่า?”
“ก็ไม่ใช่!”
“แต่เธอต้องการหนีคุณมานานมากแล้วต่างหาก แต่เธอกลับไม่สามารถหาเหตุผลที่ดีกว่านี้ได้!”
“ฉินหนานเซิง คุณบอกว่ามันถึงเวลาแล้วใช่ไหม แล้วคุณพอจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ขึ้นมาบ้างหรือยัง? ถึงแม้ว่าคุณจะรู้แล้ว ในตอนนี้ คุณก็เป็นเพียงแค่คนที่นั่งบนรถเข็นคนพิการ”
“คุณมีเงินทุนพอที่จะกอบกู้เอาเธอคืนมาไหมล่ะ?”
หลังจากพูดจบ เธอถอนหายใจอย่างบ้าคลั่ง “จริงๆแล้วน่ะฉินหนานเซิง คุณรู้ไหม ว่าที่จริงยังคงมีวิธีที่ดีกว่าในตอนนี้…”
“คุณเสแสร้งทำเป็นว่าคุณไม่รู้อะไรสักอย่าง ปฏิบัติกับฉันเหมือนว่าฉันเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของคุณต่อไป”
“ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่ต้องเศร้า และเธอก็จะไม่ต้องเศร้า”
“คนที่เศร้าก็มีเพียงลั่วเยียนคนเดียว แบบนี้เป็นไง? ไม่ดีเหรอ?”
ฉินหนานเซิงหรี่ตาของเขา มองดูท่าทางของลู่จื่อเหยาที่กำลังบ้าคลั่ง เขากระตุกยกริมฝีปากยิ้มอย่างเย็นชา
“ไม่ ฉันจะไม่สามารถคิดว่า ที่ผ่านมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“และเธอเองก็ไม่ควรคิดว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน”
ชายหนุ่มหยิบแผ่นตรวจวินิจฉัยโรคออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา:
“เธอเคยเสแสร้งแกล้งป่วยหนักเหมือนว่าจะตาย ฉันยังคิดว่าร่างกายของเธอเองก็มีปัญหา”
“ดังนั้น ฉันก็พาเธอไปตรวจร่างกายเมื่อสองสามวันก่อน เธอจำได้ไหม?”
“ตอนนี้ผลออกมาแล้ว”
“อยากรู้ไหมว่าเธอเป็นโรคมะเร็งอะไร”