ในตอนที่ซูสือเยว่พาเด็กๆ ทั้งสามมาถึงห้องผู้ป่วยนั้น ฉินโม่หานได้ถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้ว
ระหว่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวบนโถงทางเดิน ซูสือเยว่มองไปยังตัวอักษรสีแดงที่เขียนว่า “อยู่ระหว่างกู้ชีพ” ความรู้สึกแย่ก็วิ่งเข้ามาในใจ
ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเธอ……
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเธอไม่ยอมไตร่ตรองให้ดีก่อน ถ้าเธอไม่ได้วิ่งฝ่าสายฝนออกไป…;
ตอนนี้ฉินโม่หานก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้แล้ว?
เด็กสามผู้ใหญ่หนึ่ง ต่างรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินนานมาก
สุดท้าย หมอที่รับผิดชอบฉินโม่หานก็ได้เดินออกจากห้องฉุกเฉินมา
เขามองมาที่ซูสือเยว่ด้วยแววตาที่เคร่งขรึม “ท่านชายไม่ได้เป็นอะไรมากครับ”
“การที่เขาหมดสติไปนั้น สาเหตุหนึ่งมาจากการติดเชื้อของแผล กับอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ……”
แววตาของหมอนั้นเคร่งขรึมมาก “คุณอาจจะยังไม่รู้ ตั้งแต่เล็กท่านชายนั้นถูกปกป้องมาโดยตลอด”
“เขาไม่สามารถได้รับบาดเจ็บหรือเป็นแผลแบบง่ายๆ ได้ เพราะเขามียีนที่พิเศษกว่าคนอื่นอยู่ในร่างกาย”
“มันจึงเป็นสิ่งที่กำหนดแล้วว่า เขาจะปฏิเสธเลือดที่ไม่ใช่ยีนพิเศษเหล่านั้น”
“ถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ นอกจากผู้ที่มีสายเลือดโดยตรง การที่ท่านชายจะรับเลือดจากคนอื่นนั้น จำเป็นต้องเป็นเลือดพิเศษที่ถูกคัดกรองทางพันธุกรรมแล้วเท่านั้นครับ”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ตอนนี้ท่านชายเสียเลือดไปมาก เลือดที่มีอยู่ในสต๊อกนั่นมีไม่พอ” พูดจบ เขาก็เหลือบไปมองเด็กชายสองคนที่อยู่ข้างๆ ซูสือเยว่อย่างอัตโนมัติ “ดังนั้น คงต้องเชิญคุณชายทั้งสอง……”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว
เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ซิงหยุนกับซิงเฉินที่อยู่ข้างๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที “ห้องถ่ายเลือดอยู่ทางไหนครับ?”
พอมองดูท่าทางที่กล้าหาญของเด็กหนุ่มทั้งสอง ซูสือเยว่ก็ได้ถอนหายใจออกมา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจและโล่งอก
แต่เธอก็หันกลับไปมองหมอด้วยความเป็นห่วง “เด็กเล็กขนาดนี้……การถ่ายเลือดคงไม่ได้ส่งผลกับสุขภาพของพวกเขาหรอกใช่มั้ยคะ?”
หมอยิ้มออกมา “ไม่หรอกครับ แค่พักผ่อนให้เพียงพอก็พอครับ”
“ปริมาณที่เราต้องการนั่นไม่มาก”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว ยังอยากพูดอะไรต่อ ซิงกวงที่นั่งอยู่ทางนั้นก็ได้โดดลงจากเก้าอี้เหมือนกัน
สาวน้อยวิ่งเตาะแตะเข้ามา ดวงตาที่ดำสนิทคู่นั้นกำลังจ้องมาที่ซูสือเยว่อย่างจริงจัง “หนูเองก็สามารถถ่ายเลือดให้คุณอาฉินได้เหมือนกันนะคะ”
ซิงกวงพูดด้วยสีหน้าที่จริงใจ “ตอนเด็กๆ หนูเคยทำการทดสอบเลือดมาก่อน หนูเองก็มียีนพิเศษเหมือนกัน หนูเองก็สามารถช่วยคุณอาฉินได้เหมือนกัน!”
เมื่อเห็นท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดูของสาวน้อย หมอจึงยืนมือไปลูบหัวเล็กๆ ของเธอ “นี่สาวน้อย เลือดจะถ่ายกันมั่วๆ ไม่ได้นะ”
“ยีนพิเศษนั้นมันก็มีหลายแบบ ยีนพิเศษของเธอกับยีนพิเศษของท่านชาย อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้”
“เธอเป็นเด็กที่มีจิตใจงดงาม แต่เรื่องการถ่ายเลือดนั้น ให้พวกเขาสองคนจัดการก็พอแล้ว”
สุดท้าย หมอที่เป็นชายวัยกลางคนก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เรื่องแบบนี้ให้เด็กผู้ชายมาจัดการก็พอ ส่วนเด็กผู้หญิงนั้นก็ทำตัวดีๆ ไม่ก่อความวุ่นวายก็พอนะ”
คำพูดของหมอ ได้ทำให้เด็กสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงต้องรู้สึกโกรธเข้าแล้ว
ซิงกวงขมวดคิ้ว ใบหน้าที่สวยงามของเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ “เด็กผู้หญิงแล้วมันจะทำไมเหรอคะ?”
“เป็นเด็กผู้หญิงก็ถ่ายเลือดไม่ได้แล้วเหรอคะ? เด็กผู้หญิงก็สามารถช่วยคนได้เหมือนกัน คุณมีสิทธิ์อะไรมาดูถูกเด็กผู้หญิงอย่างเรา!”
หมอชะงักไป
เขาไม่คิดเลยว่าคำพูดลอยๆ ของเขาแค่คำเดียว จะไปกระตุ้นศักดิ์ศรีของเด็กสาวคนนี้เข้า
เขาจึงรีบขอโทษด้วยรอยยิ้มไปว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่ฉันจะสื่อคือ องค์หญิงนั้นก็ต้องทำตัวให้สวยๆ ……”
“องค์หญิงน้อยก็สามารถช่วยคนเจ็บได้เหมือนกัน!”
ซิงกวงเลิกแขนเสื้อขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ เผยให้เห็นแขนขาวๆ เล็กของเธอ “วันนี้หนูจะบริจาคเลือดให้คุณอาฉินให้ได้ หนูจะช่วยเขา!”
“หนูจะเป็นองค์หญิงน้อยที่สามารถช่วยคนได้!”
หมอหันมามองซูสือเยว่ด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันไปมองซิงหยุนกับซิงเฉิน “ช่างเถอะ เราไปกันก่อนไป”
ซิงกวงกางแขนทั้งสองข้างออกมาขวางอยู่ตรงหน้าของหมอ “หนูจะไปกับพวกคุณ คุณต้องพาหนูไปด้วย!”
“พาเธอไปด้วยเถอะครับ”
ซิงหยุนมองไปที่ซิงกวงด้วยท่าทางที่เรียบเฉย “เดี๋ยวเราสามคนถ่ายเลือดพร้อมกัน”
“เอาเลือดของผมกับน้องชายถ่ายให้แด็ดดี้ แล้วเอาเลือดของซิงกวงไปเก็บไว้ในสต๊อก มันยังสามารถช่วยคนที่มากกว่านี้ได้”
ซิงหยุนพูดจบ ซิงเฉินก็รีบพยักหน้าทันที “ใช่ครับใช่ ยังไงซิงกวงก็แค่อยากช่วยคนอื่น ช่วยแด๊ดดี้ของเรากับการช่วยคนอื่นมันก็คือการช่วยชีวิตคนเหมือนกัน”
พูดจบ พวกเขาก็หันไปมองซิงกวง “เธอว่าจริงมั้ย?”
สาวน้อยขมวดคิ้ว มีการแสดงออกทางอารมณ์เล็กน้อย แต่ข้อเสนอของพวกเขาก็เป็นที่น่าพอใจอยู่ “หึ ตามนั้นก็ได้!”
“ยังไงวะ หนูก็เป็นนางฟ้าตัวน้อยที่สามารถช่วยชีวิตคนอื่นได้อยู่ดี!”
ในเมื่อทั้งสามได้ตัดสินใจกันเสร็จแล้ว หมอจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีทางเลือก แล้วบอกพยาบาลให้พาเด็กๆ ทั้งสามคนไปถ่ายเลือดที่ห้องถ่ายเลือด
ในเมื่อการถ่ายเลือดให้ฉินโม่หานนั้นเป็นเรื่องที่ต้องรีบจัดการ จึงไม่ควรให้เรื่องเล็กๆ แบบนี้มาทำให้เสียเวลาได้
หลังจากที่เด็กๆ ทั้งสามจากไป ซูสือเยว่ยังคงยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพียงลำพัง
ผ่านไปสักพัก มือถือของเธอก็ดังขึ้น
เป็นสายที่โทรมาจากฉินหนานเซิง
เธอขมวดคิ้ว แล้วรับสาย “หนานเซิง”
“สือเยว่”
ฉินหนานเซิงก็ยังไม่ชินที่จะเรียกเธอว่าเป็นภรรยาน้องชายสามี เขาจึงตัดสินใจเลยชื่อไปห้วนๆ เลย “ผมมีเรื่องต้องบอกคุณ”
“ว่ามาค่ะ”
อีกฟากของมือถือ น้ำเสียงของฉินหนานเซิงค่อนข้างเคร่งขรึม “เรื่องที่เกิดขึ้นกับอาเล็กผมรู้แล้วครับ ยกโทษให้ผมด้วยที่ตอนนี้ไม่สามารถไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลได้”
“แต่ผมมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องช่วยเขาทำ”
“ก่อนหน้านี้เขาช่วยผมไว้มากขนาดนั้น ผมไม่สามารถนั่งดูเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกคุณโดยไม่สนใจอะไรเลยได้”
พูดจบ ฉินหนานเซิงก็หายใจเข้าลึกๆ “เมื่อกี้ผมตรวจสอบมาแล้ว สิบนาทีก่อนอารองได้ยื่นขอเส้นทางการบินของเครื่องบินส่วนตัว อีกหนึ่งชั่วโมง เครื่องบินส่วนตัวของเขาจะบินไปที่แอฟริกา
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว “เขาจะบินไปแอฟริกาอย่างนั้นเหรอ?”
ฉินหนานเซิงที่อยู่อีกฟากได้ขำออกมาเบาๆ “คุณคิดว่าเป็นเขาเหรอครับที่อยากไปแอฟริกา?”
“อารองนั้นเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวน้อยมาก เมื่อก่อนเขาเป็นหน่วยรบพิเศษ เขาชอบการขับรถออฟโรดไปเองหรือไม่ก็นั่งรถไฟไปอย่างเอื่อยเฉื่อยมากกว่าครับ”
“เครื่องบินส่วนตัวของเขานั้นไม่ได้ใช้งานมาสองปีแล้วครับ จู่ๆ ตอนนี้ ก็ต้องการใช้งานอย่างกะทันหัน คุณไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ เหรอครับ?”
“อำนาจของอาเล็กนั้นมีอยู่ทั่วโลก มีเพียงแอฟริกาเท่านั้นที่เขาอยากไปพัฒนามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้ทำสักที”
“การที่ตอนนี้เครื่องบินส่วนตัวของอารองต้องการจะบินไปที่แอฟริกานั้น มันบ่งบอกชัดเจนว่า เมื่อบินไปถึงแอฟริกาคนของอาเล็กก็ไม่สามารถควบคุมทิศทางของเครื่องบินได้อีก” ฉินหนานเซิงพูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าซูสือเยว่ยังไม่เข้าใจอีก เธอก็คงเป็นคนที่ไม่มีสมองแล้ว
ก่อนที่จะเกี่ยวดองกัน เรื่องอื้อฉาวมากมายที่ฉินหลิงยี่มีต่อเย่เชียนจิ่ว……
ซูสือเยว่กำมือถือแน่น “จากปล่อยเธอไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้”
ฉินหลิงยี่เป็นคนฉลาด เขาต้องเข้าใจอยู่แล้วว่า ถ้าครั้งนี้ฉินโม่หานฟื้นขึ้นมาได้ ฉินโม่หานไม่มีทางปล่อยเย่เชียนจิ่วไปแน่
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้วิธีนี้ ส่งตัวเย่เชียนจิ่วออกไปก่อนที่ฉินโม่หานจะฟื้นขึ้นมา
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็หายใจเข้าลึกๆ “คุณสามารถหยุดเธอไว้ได้มั้ย?”
ฉินหนานเซิงที่อยู่ในสายขำออกมาอย่างจนปัญญา “สือเยว่ คุณประเมินผมสูงเกินไปแล้วครับ”
“หลายปีมานี้ ผมใช้ชีวิตอยู่แค่ในวงการบันเทิง หลังจากที่เกิดเรื่องกับลั่วเยียน ทุกๆ วันผมก็เอาแล้ววิ่งวุ่นอยู่กับเรื่องของเธอ……”
“คนของผม ก็ถูกส่งไปหาหมอหายาหมดแล้วครับ”
“การที่อารองส่งเย่เชียนจิ่วออกไปครั้งนี้ เขาต้องส่งคนไม่น้อยที่ทั้งเห็นและไม่เห็นไปคุ้มครองเธอแน่นอน คนของผมที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนี่ ไม่มีทางขวางอยู่แน่นอนครับ”
“ด้วยเหตุนี้ ผมถึงได้โทรหาคุณไงครับ”
“พวกลูกน้องของอาเล็ก เมื่อก่อนจะรับคำสั่งแค่อาเล็กเท่านั้น แต่หลังจากที่อาเล็กแต่งงานกับคุณแล้ว เขาเคยบอกกับลูกน้องของเขาด้วยตนเองว่า คำสั่งของคุณก็ต้องฟังด้วยเหมือนกัน”
“พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้อาเล็กยังไม่ได้สติ คนที่สามารถสั่งการคนของเขาได้ก็มีแต่คุณเท่านั้น”
ซูสือเยว่กำมือถือไว้ แววตาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”