บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบงันลงทันที
ฉินหลิงยี่เก็บงำความโกรธเคืองเอาไว้ พร้อมทั้งใช้สายตาอันแสนเย็นเฉียบกวาดตามองหยางชิงโยว “ไสหัวไปซะ”
“พี่สองฉิน ฉันรู้ว่าคุณไม่เห็นหัวฉัน แต่ว่าจะมีวิธีไหนอีกล่ะ? เชียนจิ่วกับฉันลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
หยางชิงโยวใช้มือพัดเข้าหาตัวอยู่ด้านหน้าอย่างเบามือ “ตั้งแต่ที่คุณปกป้องเชียนจิ่วในวันนั้นเป็นต้นมา คุณก็ไม่ได้บริสุทธิ์ต่อไปอีกแล้ว อย่าคิดว่าตัวเองยุติธรรมสูงส่งขนาดนั้น”
“ไสหัวไป!”
ในที่สุดชายหนุ่มก็อดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่พร้อมทั้งตะคอกไล่ดังลั่น
หยางชิงโยวหัวเราะแห้งๆ ออก จากนั้นก็เดินออกไป
หลังจากที่เธอเดินจากไปแล้ว ฉินหลิงยี่ก็ขมวดคิ้วเอาไว้ พลันลุกขึ้นและเดินจ้ำอ้าวขึ้นขั้นบน
บนตึก เย่เชียนจิ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ บนพื้นมีแต่เศษเครื่องปั้นดินเผาแตกแหลกละเอียดเกลื่อนไปทั่ว
ตอนที่เห็นเขาเดินเข้ามานั้น เธอเบะปาก “ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอก”
ชายหนุ่มจ้องมองเธออยู่เงียบๆ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา ทั้งเดินไปหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดที่พื้น พร้อมทั้งพูดงึมงำในลำคอ “ตาสามกับซูสื่อเยว่เขามีวาสนาต่อกัน”
“ถ้าไม่มีวาสนา ตอนนี้ก็คงไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว”
“บนโลกใบนี้มีผู้ชายอยู่อีกมากมายนัก…”
“แต่ฉันจะเอาฉินโม่หาน!”
คำพูดของเธอพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเย่เชียนจิ่วพูดตัดบทเสียงห้วน
“ก่อนหน้านี้คุณเคยพูดกับฉัน คุณพูดว่าฉินโม่หานเป็นน้องชายของคุณ คุณพูดว่าอะไรเขาก็ฟังทั้งนั้น”
“และคุณก็เคยพูดกับฉันอีกว่า ขอแค่ฉันชอบเขา คุณก็จะช่วยฉันนี่!”
“แล้วตอนนี้คุณล่ะทำอะไรอยู่? มาเกลี้ยกล่อมให้ฉันยอมปล่อยไปงั้นเหรอ? แล้วทำไมตอนแรก ไม่ใช่ว่าคุณหรอกเหรอที่ให้ฉันไปแต่งงานกับฉินโม่หาน?”
“เพราะว่าคำพูดของคุณในประโยคนั้น มันทำให้ฉันพยายามตั้งมากมาย ตอนนี้ความสำเร็จอยู่ตรงหน้าแต่ คุณกลับให้ฉันทิ้งมันไปซะนี่?”
หลังจากพูดเสร็จ เธอก็กระโดดลงมาจากเก้าอี้ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันไม่มีทางถอยหนีอีกแล้ว”
“เลือกมาว่าจะช่วยฉันต่อ”
“หรือ คุณฆ่าฉันทิ้งซะ!”
ตอนที่หญิงสาวกระโดดลงจากเก้าอี้นั้น จนทำให้เท้าเปล่าเกือบจะเหยียบเศษกระเบื้องแตกที่อยู่บนพื้นอยู่รอมร่อแล้ว
ฉินหลิงยี่ดึงเธอเข้ามากอดอย่างมือไว “ระวังหน่อย”
“ปล่อยฉันนะ”
เย่เชียนจิ่วขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมทั้งพูดอย่างเย็นชาใส่
แต่ฉินหลิงยี่ยังคงใช้ท่วงท่าปราบพยศกอดเธออย่างสุดกำลัง จากนั้นก็วางตัวเธอลงบนเตียง “ก่อนที่ฉันจะเก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าขยับ”
“โอ้”
เย่เชียนจิ่วกำลังจ้องมองเขาที่กำลังหัวหมุนอยู่กับการเก็บกวาด พลันด้านหน้าปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าของฉินโม่หานขึ้นมาทันที
ถ้า…
ถ้าฉินโม่หานปฏิบัติดีกับเธอเฉกเช่นฉินหลิงยี่ ก็คงดี…
……
เช้าวันรุ่งขึ้นตอนที่ซูสือเยว่ตื่นขึ้นมานั้น ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาตั้งมากมายแล้ว
มีทั้งคนที่เธอสนิทสนม ไม่สนิทสนม ขอแค่รู้จักเธอ ต่างก็ส่งข้อความแสดงความยินดีมาหาเธอกันทั้งนั้น
“ไม่คิดเลยว่าท่านชายจะเป็นสามีของคุณ! ช่างมีความสุขจริงๆ!”
“สือเยว่ ต่อไปมีเวลาขอเลี้ยงข้าวคุณสักมือสิ ทางที่ดีที่สุดเอาสามีของคุณมาด้วย อาจจะร่วมมือกันทางในธุรกิจได้”
“สือเยว่ สามีของคุณช่างสุดยอดไปเลย!”
“สือเยว่….”
การที่ต้องเผชิญหน้ากับข้อความที่ระเบิดลงตั้งมากมายก่ายกองเช่นนี้ ซูสือเยว่ได้แต่เอามือขึ้นมาปิดหน้าตนเองอย่างเบื่อหน่าย
นี่แหละที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉินโม่หานมาตลอด
สถานะของฉินโม่หานช่างโดดเด่น ช่างเป็นที่จับตาเหลือเกิน
ส่วนเธอ ก็แสนธรรมดาเหลือเกิน
การเปิดเผยความสัมพันธ์อย่างเปิดทางการ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้มาก็ย่อมต้องเป็นเช่นนี้
แต่ว่า ….
เธอหัวเราะอย่างขมขื่น
แม้ว่าเธอไม่ชื่นชอบกับความรู้สึกเช่นนี้ แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถเห็นแก่ตัวเกินไปได้
ฉินโม่หานอยากจะเปิดเผย งั้นก็เปิดเผยไปเลยสิ
แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันไม่นานนัก แต่ว่าเขาก็ทำเพื่อเธอมากมายจริงๆ
เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธเขาเลย
อีกอย่าง เรื่องก็ถูกเปิดเผยแล้ว การที่เธอปฏิเสธก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูสือเยว่ได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
เธอตอบข้อความของคนเหล่านั้นที่ส่งข้อความมาหาเธอ ด้วยความจริงจัง
ไม่ว่าจะสนิท หรือไม่สนิทก็ตาม
รอจนที่เธอตอบข้อความพวกนี้เสร็จแล้ว ก็เป็นช่วงทานข้าวกลางวันพอดี
ด้านนอกซิงเฉินกำลังเริ่มเคาะประตูห้อง “หม่ามี๊ กินข้าวแล้วนะ!”
“หม่ามี๊คงไม่ได้เหนื่อยจนถึงขั้นลงไปกินข้าวไม่ไหวใช่ไหม?”
“หม่ามี๊ หรือว่า ผมให้ป้าจางยกขึ้นมาเสิร์ฟให้หม่ามี๊กินบนนี้เลย?”
“ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่าวิธีนี้เป็นวิธีการที่ดี แต่ว่าผมรู้สึกว่าหม่ามี๊จะทนรับสภาพไม่ไหว จะอายหน้าแดงนะสิ”
“ถ้าหม่ามี๊ไม่ยอมออกมา ผมจะไปหาป้าจาง…”
“ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้!”
ซูสือเยว่ที่อยู่ด้านในกำลังพูดตัดบทกับซิงเฉินที่อยู่ด้านนอกประตู “ตอนนี้หม่ามี๊กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เพื่อจะลงไปกินข้าวข้างล่าง!”
ถ้าไม่เอาหรอกกับการที่ให้ป้าจางยกอาหารขึ้นไปเสิร์ฟเพื่อให้เธอกินอยู่ด้านบน!
เมื่อวานนี้ฉินโม่หานประกาศศักดาในการสู้รบซะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ป้าจางก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าซิงเฉินให้ป้าจางเอาอาหารขึ้นไปเสิร์ฟให้เธอกินถึงบนห้อง เช่นนั้นเธอก็ต้องอายจนหนักมากนะสิ!
ซิงเฉินที่อยู่ด้านนอกหัวเราะอย่างเต็มที่ “งั้นหม่ามี๊ก็เร็วๆ หน่อยสิ!”
“พวกเรารออยู่ชั้นล่างนะ!”
พูดจบ เจ้าเด็กน้อยก็ก้าวยาวด้วยสรีระขาสั้นๆ วิ่งตึกตักลงไปชั้นล่างทันที
ซูสือเยว่ได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย และคิดว่าต้องการจะวางโทรศัพท์ในมือลง พลันมีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา
เย่เชียนจิ่วเป็นคนส่งมา
“ซูสือเยว่ เราคุยกันหน่อย?”
“ฉันไม่รู้ว่าแกจะสนใจฉันไหม แต่ว่าสิ่งที่ฉันจะคุยกับแกก็คือ เป็นเรื่องของแม่ของซิงหยุนกับซิงเฉิน แกไม่สนใจบ้างเลยเหรอ?”
ตอนที่ซูสือเยว่เตรียมจะวางโทรศัพท์ในมือลงก็เริ่มค้างเติ่งเล็กน้อย
เรื่องของแม่ของซิงหยุนกับซิงเฉิน…
เธอเองก็อยากรู้มากเหมือนกัน
ผู้หญิงคนนั้น ซิงหยุนกับซิงเฉินรู้เรื่องไม่มาก ฉินโม่หานน้อยครั้งนักที่จะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมากับเธอ
แต่ว่าเธอไม่รู้ว่า ที่แท้เย่เชียนจิ่วก็รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นด้วย
เธอลังเลอยู่นานพอควร ในที่สุดก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และตอบข้อความกลับไปจากโทรศัพท์ “แกอยากจะพูดอะไร?”
ซูสือเยว่ตอบกลับไปแล้ว เย่เชียนจิ่วที่อยู่ปลายสายเหมือนว่าจะได้ใจมาก “ในที่สุดแกก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้หญิงคนนั้น”
“ฉันจะส่งที่อยู่ให้ ตอนนี้แกมาได้ไหมล่ะ?”
ซูสือเยว่กระตุกมุมปาก “มีเรื่องก็พูดตรงๆ กันตรงนี้ออกมาเลย”
“ฉันไม่ได้มีความสนใจที่จะเจอหน้ากับแก”
คราวที่แล้วตอนที่เธอกับเย่เชียนจิ่วเจอหน้ากันบริเวณด้านนอกของตระกูลฉิน ก็คือคืนวันที่ลั่วเยียนเกิดเรื่องขึ้น
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ซูสือเยว่ก็รู้แจ้งว่า การที่ซูโม่มีเจตนาร้ายต่อเธอในคืนวันนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าเย่เชียนจิ่ว
“ฮ่าๆ ช่างสูงส่งเสียจริงเลย”
ข้อความของเย่เชียนจิ่วที่อยู่ปลายสายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ฉินโม่หานประกาศความสัมพันธ์ของพวกแกสองคนลงในโทรทัศน์เพื่อให้ทุกคนรับทราบ มันยิ่งทำให้แกพองขนขึ้นใช่ไหม?”
“หรือว่าแกรู้สึกว่า แกเป็นที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้ ก็เลยภาคภูมิใจที่สุดเลย?”
“แต่ว่าซูสือเยว่ แกคิดว่าฉินโม่หานชอบคนอย่างแกจริงๆ เหรอ?”
“คนที่ฉินโม่หานชอบ ย่อมต้องเป็นแม่ของซิงหยุนกับซิงเฉินตลอดไป”
“ตัวแกก็แค่ตัวแทนเท่านั้นเอง แกจะหยิ่งจองหองอะไรนักหนากัน!”
เมื่อเห็นตัวอักษรที่อยู่ในโทรศัพท์แล้ว มือของซูสือเยว่ที่ถือโทรศัพท์อยู่เริ่มค้างเติ่งเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้ว และลังเลอยู่นาน และอดทนต่อไม่ไหวจนตอบกลับไป “แกพูดมั่วอะไรของแกอยู่?”
ฉินโม่หานเคยพูดกับเธอ แม่ของซิงหยุนกับซิงเฉินมันเป็นเรื่องไม่คาดคิด
เขายังเคยพูดว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ กับเธอเลย
“ฉันไม่ได้พูดมั่วหรือว่าแกจะไม่มาดูให้เห็นกับตาเหรอ?”
“ที่ฉินโม่หานชอบแก ก็เพราะว่า แกเคยท้องลูกให้เขา ส่วนในใจของเขานั้นยังคงรู้สึกผิดกับแม่ของซิงหยุนและซิงเฉินมาโดยตลอด”
“แกคิดว่าแกมีความสุขแล้วจริงๆ เหรอ?”