บทที่ 57
เริ่มทำความรู้จักกันและกัน
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชางกวนโม่ที่เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยแต่อยู่ดีๆก็เผลอหลับไปด้วยลมหายใจที่คงที่ เมื่อเธอมองไปที่รอยคล้ำที่ตา เธอก็รู้สึกเจ็บปวดในแบบที่ตัวเองก็ไม่อยากที่จะยอมรับ ตาบื้อนี่ ไม่ได้นอนมากี่คืนแล้วเนี่ย
ในเช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์อุ่นๆก็ส่องเข้ามาในห้อง ที่บนเตียงมีคนสองคนที่กำลังนอนกอดกันอย่างสงบอยู่ด้วย
“อื่ม…” มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาตื่นและต้องเอามือบังแสงแดดที่ส่องมา เธอค่อยลุกขึ้น
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชางกวนโม่ที่ยังหลับอยู่ เขาอ่อนเพลียอย่างมาก เธอค่อยๆดึงมือตัวเองออกอย่างเบามือเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่น
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เธอก็หยิบผักจากมิติลับออกมาเพื่อทำอาหารเช้า เธอต้องยอมรับว่าตัวเองรู้สึกผิดที่หายไปหลายวันและรู้สึกสงสารเขาด้วย จึงทำอาหารมากกว่าปกติ
ชางกวนโม่ลุกขึ้นจากเตียงและเห็นมู่หรงเสวี่ยยุ่งอยู่ในครัว ถ้ามีร่างของมู่หรงเสวี่ยมาค่อยยุ่งอยู่ในครัวไปตลอดชีวิตเขา ถ้าได้มองเธออยู่ในครัวแบบนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปในครัวและกอดเธอเข้าที่เอว เขาคุ้นเคยกับกลิ่นหอมจากร่างของเธอ มันช่างดีเหลือเกิน
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งและเกือบที่จะทำซุปในมือหก
“ชางกวนโม่…”
อรุณสวัสดิ์ เสี่ยวเสวี่ยที่รักของฉัน!”
ลมหายใจที่ข้างหูทำให้มู่หรงเสวี่ยหน้าแดง “ปล่อยเถอะ นี่ยังเช้าอยู่เลย จะทำอะไรเนี่ย?”
แกล้งทำเป็นพูดเสียงดัง ราวกับว่ามันจะทำให้เธอหายเขินได้
“ฮ่าฮ่า ให้ฉันช่วยไหม?” ไม่อยากที่จะทำเสียเรื่อง เขาปล่อยมือออกจากเธอ
มู่หรงเสวี่ยผลักเขาด้วยความเขิน “ไม่ต้องเลย คุณออกไปเลย!”
ชางกวนโม่ทำตามอย่างเชื่อฟัง “ก็ได้ ก็ได้…”
รอยยิ้มที่มุมปากของเธอซ่อนไม่ได้ เธอดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกโกรธใดๆเลย
หลังจากทานอาหารเสร็จ ชางกวนโม่ก็ยืนยันว่าจะไปดูหินหยกกับมู่หรงเสวี่ยด้วย อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยบอกว่าเธอไปคนเดียวได้และให้เขาไปทำงาน
อันที่จริงเขาค่อนข้างเป็นห่วง เป็นเรื่องจริงที่ก่อนหน้านี้อยู่ดีๆมู่หรงเสวี่ยก็หายตัวไปเฉยๆ และเป็นเรื่องจริงด้วยที่ในที่สุดเขาก็รู้ตัวว่าเขาควบคุมเธอไม่ได้ถึงแม้ตัวเองจะมีอำนาจมากแค่ไหน อย่างน้อยวันนี้ขอเขาอยู่ใกล้ๆเธอหน่อย
มู่หรงเสวี่ยเอาแต่ออกห่างชางกวนโม่ที่กำลังจับมือเธออยู่ ชางกวนโม่รู้สึกสนุกที่ได้ยุ่งอยู่กับเธอแบบนี้
เย่เฟิงมองไปที่คู่รักสองคนตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก นี่ช่างแตกต่างจากคุณชายที่เขาเคยรู้จักอย่างมาก
วันนี้มู่หรงเสวี่ยสวมชุดสั้นสีดำดูมีเสน่ห์อย่างมาก ทำให้เธอดูน่าค้นหาและน่าดึงดูด ชุดเป็นแบบเปิดไหล่หนึ่งข้างด้วย เผยให้เห็นผิวขาวผ่องและไหล่เล็กอีกข้างที่เผยให้เห็น ที่ไหล่บางด้านขวาคือสายคาดซึ่งเป็นดอกกุหลาบสีแดง พร้อมแตกต่างด้วยจุดสีแดงสดใส กลีบสีแดงเพลิงระหว่างกระโปรงนั้นดูมีชีวิตชีวาและน่าหลงใหล
ที่อีกด้านคือชางกวนโม่ในชุดสูทลำลองที่ดูแล้วมากกว่าคำว่าหล่อ หนวดเคราที่ตัดแต่งมาอย่างดีทำให้สาวๆมากมายถึงกับหน้าแตงไปตามๆกัน เมื่อพวกเราปรากฏกายเคียงข้างกัน ก็ทำให้เกิดเสียงพูดคุยมากมายและหลายสายตาก็ต้องหันกลับมามองหลายครั้ง
เป็นเพราะท่าทางที่กลมกลืนกันทำให้คนที่อยากจะเข้ามาทักทายพวกเขาถึงกับต้องหยุดเพราะไม่อยากที่จะทำลายภาพที่น่ามองเช่นนี้ของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรนัก “พี่โม่ เธอเป็นใคร?!!” ฉินเมิ่งหยาชี้อย่างไม่พอใจมาที่มู่หรงเสวี่ยพร้อมตั้งคำถาม
สีหน้าของชางกวนโม่เข้มขึ้นและตอบอย่างเย็นชา “เก็บมือไปซะไม่งั้นฉันจะตัดให้ขาดเอง!” นี่เป็นผู้หญิงของเขาจะยอมให้คนอื่นมาชี้หน้าได้ยังไง
สีหน้าของฉินเมิ่งหยาซีดเผือดและมือที่ยังชี้อยู่เมื่อกี้ก็กลายเป็นเย็นซีด ดวงตามีน้ำตาเอ่อล้น “พี่โม่…”
มู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆมองไปที่ใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยความสนใจ พร้อมรอยยิ้มจางๆราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย
เขาเมินเฉยกับเธอแบบนี้ได้ยังไง?! ชางกวนโม่โอบเอวเธอและพูดกับฉินเมิ่งหยาว่า “นี่คือคู่หมั้นของฉัน เวลาที่เจอเธอ ฉันอยากให้เคารพเธอด้วย เข้าใจไหม?”
มู่หรงเสวี่ยแทบจะหยุดหายใจ นี่เขาจะทำให้คนอื่นยิ่งเกลียดเธอ…มากไปกว่านี้อีกหรือไง
ดวงตาของฉินเมิ่งหยาเบิกกว้าง เธอไม่อยากจะเชื่อ จะเป็นไปได้ยังไง?! แล้วเธอล่ะ?! เธอรักเขามาตั้งแต่ที่เธอยังเด็กนะ เธอคอยดูแลเขามาตลอดตั้งแต่เธอยังเด็กๆ แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ตอนที่เธออยู่ในเมือง A ก่อนหน้านี้ มู่หรงเสวี่ยสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดาๆ นั่นเป็นข้อแตกต่างระหว่างเธอในตอนนั้นกับตอนนี้ ฉินเมิ่งหยาจำไม่ได้ว่าเคยเจอมาก่อน
มู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่อีกฝั่งรู้สึกเศร้าแทนฉินหมิ่งหยาที่ตอนนี้ดูเศร้าลงอย่างมาก
ชางกวนโม่ขมวดคิ้ว ยังไงซะพวกเขาก็เคยรู้จักกัน “โอเค ไม่ต้องร้องไห้ อยากให้คนอื่นคิดว่าฉันรังแกเธอหรือไง?”
“พี่โม่ พี่ทำแบบนี้…” พร้อมน้ำตาที่เอ่อล้น ฉินเมิ่งหยามองไปที่ใบหน้าแสนสวยของมู่หรงเสวี่ยและฉายแววเยือกเย็นราวกับงูพิษออกมา
ไม่รู้ว่าทำไมแต่มู่หรงเสวี่ยรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเธอดีเลิศมากและมีสาวๆมากมายมาหลงใหล เธอก็เป็นเพียงแค่คู่ควงชั่วคราวของเขา เมื่อวานเธอเกือบที่จะหลงเชื่อศัตรูแล้ว…เธอเกือบจะลืมเหตุผลของชีวิตที่แล้วไปแล้ว…ช่างโง่จริงๆ
เมื่อรับรู้ได้ถึงความเย็นชาที่อยู่ข้างเขา ชางกวนโม่หันหัวมามองมู่หรงเสวี่ย มู่หรงเสวี่ยยิ้มจางๆ ทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
อย่างไรก็ตามเขาก็รับรู้ได้ว่าอยู่ดีๆเธอก็กลายเป็นเย็นชาขึ้นมา เสียงผู้คนรอบข้างดูเหมือนจะไกลออกไป ถึงแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ในเวลานี้เขารู้ได้ทันทีว่าถึงแม้ภายนอกเธอจะดูน่ารักแค่ไหน แต่ภายในเธอกลับเย็นชาอย่างที่สุด บางครั้งอยู่ดีๆเธอก็แยกตัวไปอยู่ในโลกวังวนที่เขาก็เข้าไปไม่ถึง ซึ่งเธอไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าถึงด้วยซ้ำ ความรู้สึกนี้มักจะทำให้เขาอยากที่จะรู้มากขึ้นไปอีก ซึ่งทำให้เขาตกหลุมรักผู้หญิงที่ชื่อมู่หรงเสวี่ยและอยากที่จะช่วยเธอ
ทั้งสองดูเหมือนจะรักกันมากซึ่งทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดอย่างมาก ฉินเมิ่งหยาทนมองต่อไปไม่ได้อีกแล้วจึงวิ่งออกไปพร้อมน้ำตานองหน้า เพียงแค่ว่าไม่มีใครทันได้เห็นสายตาอาฆาตที่ฉายในดวงตาเธอ นังผู้หญิงชั้นต่ำ กล้าที่จะมายั่วพี่โม่ รอก่อนเถอะเธอจะเอาคืนอย่างสาสมเลย
“ไม่ตามแฟนคุณไปเหรอคะ? เธอวิ่งไป…” มู่หรงเสวี่ยพูดถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าที่ที่เพิ่งวิ่งไป เธอไม่รู้สึกเขินอายเลยสักนิดแต่กลับหยิบดอกลิลลี่ที่เพิ่งได้รับการรดน้ำขึ้นมา มันช่างบอบบางและสวยงามจริงๆ
ชางกวนโม่มองมาที่ดวงตาเย็นชาของเธอที่ไร้ซึ่งความหึงใดๆเลย หัวใจของเขาเย็นเยือก “บ้าเอ๊ย เธอต่างหากที่เป็นแฟนฉัน” มือโอบที่เอวบางแน่นขึ้นกว่าเดิมอีก นี่เธอไม่หึงเขาเลยงั้นเหรอ?! .
ดวงตาที่ลุกเป็นไฟดูเหมือนจะมองทะลุเข้าไปในหัวใจของเธอ มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่จะสบตาจึงหันหัวไปทางอื่น
“บ้าเอ๊ย มองหน้าฉัน” มือชางกวนโม่จับที่หัวเธอ จ้องลงไปในดวงตาที่พยายามหลบเลี่ยง
“บ้าหรือไง ที่นี่มีคนตั้งเยอะ ปล่อยนะ” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฝูงชนที่เริ่มชี้มาที่พวกเขา จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลนิดหน่อย
“ฉันมันบ้า ฉันบ้าเอง เธอเป็นของฉัน! ห้ามหนีไปไหนอีก”
“คุณ…คุณ…” อันที่จริงเธอรู้สึกกลัวมาก กลัวว่าเธอจะควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้และเธอจะต้องลงเอยเหมือนในชีวิตที่แล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องที่อยู่ดีๆเธอก็หายตัวไปก่อนหน้านี้ ชางกวนโม่ก็รีบปล่อยมือออกจากหน้าเธอทันที เขาจะบังคับเธอมากเกินไปไม่ได้ แล้วถ้าเขาทำให้เธอหนีไปอีกล่ะ
มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจที่ได้เห็นท่าทางยอมแพ้ของเขาซึ่งจะเห็นก็ตอนที่เขารู้สึกกังวลอีกแล้วเท่านั้น
มู่หรงเสวี่ยยังคงพยายามผลักมือของชางกวนโม่ที่จับเธอไว้แน่น แถมบางครั้งก็มาพัวพันกับเธอไม่หยุดหย่อน
วันที่ยาวนาน เย่เฟิงรู้สึกเหนื่อยมาก เขาคิดว่าตัวเองกำลังฝันไปอยู่หรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงได้เห็นคุณชายทรงเสน่ห์ที่โหดร้ายกลายเป็นทำตัวน่ารัก แถมทำท่าทางน่าอับอายแบบนั้นด้วย? เขารู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลย แม้แต่หมาบ้าที่โหดเหี้ยมยังกลายมาเป็นลูกหมาที่แสนเชื่องได้
มู่หรงเสวี่ยอยากจะร้องไห้ ใครก็ได้บอกเธอทีว่าปีศาจนักฆ่าคนนี้เป็นอะไรกันแน่?! นี่เขาพยายามหลอกเธอหรือเปล่า?! ทำไมเขาถึงทำนิสัยแบบนี้? ใครกันแน่ที่รักเธอจริงๆ? ใคร? ใครกันแน่?
มู่หรงเสวี่ยหันไปถามเย่เฟิงด้วยสายตา: นี่ใช่คุณชายของนายจริงๆงั้นเหรอ? แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่ตัวปลอม?!!!
น่าเศร้าที่เย่เฟิงโง่เกินกว่าที่จะเข้าใจ เขาไม่สังเกตเห็นสายตาของมู่หรงเสวี่ยเลยสักนิด
มู่หรงเสวี่ยลากชางกวนโม่ที่ทั้งหนักและตัวใหญ่ไว้ที่หลังเพื่อที่จะพากลับห้อง คนบ้าเอ๊ย ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าตัวเองหนักแค่ไหน
มู่หรงเสวี่ยนั่งลงบนเตียง ปล่อยมือจากชางกวนโม่และนวดเท้าที่ปวดระบมมาทั้งวัน
ทันใดนั้นชางกวนโม่ก็อุ้มเธอขึ้นมาที่อก
“อ่า” เธอตกใจและรีบเอามือกอดรอบคอเขาทันทีเพื่อที่จะยึดไม่ให้ตัวเองตก
เขาพาเธอไปที่โซฟาด้านหลังห้อง พร้อมเอื้อมมือไปถอดรองเท้าคริสทัลสีดำของเธอออก พร้อมด้วยมือที่ลูบไล้ขึ้นมาจากเท้า มู่หรงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงมือของเขาที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาด้านในขาของเธอซึ่งทำให้เธอหน้าแดงและหัวใจเต้นรัว เธอพยายามที่จะสลัดออกจากมือหนวดปลาหมึกของเขา “นี่คุณจะทำอะไร…ปล่อยฉันนะ…”
ชางกวนโม่มองท่าทางเขินอายของเธอและหัวเราะออกมา “อย่าขยับ!”
“ชางกวนโม่…ฉัน…ฉันยังเด็กอยู่เลยนะ…”