ตอนพิเศษ 3 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง
ยามซุล ณ ตำหนักยอฮยัง
นางกำนัลสองคนกำลังค้อมศีรษะคำนับตรงหน้าประตู โดยนางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยรายงานเข้าไปด้านใน
“มามา ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
“เชิญเสด็จเข้ามา”
น้ำเสียงสุขุมดังขึ้นตอบรับ หลังจากนางกำนัลขานรับว่าเพคะ ประตูก็เปิดออกอย่างระมัดระวัง ร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก้าวเข้ามาด้านใน ประตูจึงปิดลงแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง โซกังสวมอาภรณ์สีเหลืองปนแดงขยับเท้าเข้าหาจาฮอน ร่างสูงยกยิ้มพร้อมโอบแขนรอบช่วงเอวบาง อีกมือโอบประคองต้นคอแล้วทาบทับริมฝีปากอย่างอ่อนโยนลงบนหน้าผากและสันจมูก โซกังวาดยิ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อก่อนจะเอ่ยถาม
“มาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท… ท่านจาฮอน กระทั่งเวลานี้ก็ยังมีราชกิจที่ไม่อาจเลี่ยงอยู่อีกหรือ”
หลังเผลอเอ่ยเรียก ‘ฝ่าบาท’ ก็ปล่อยเวลาไว้เพียงสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกซ้ำด้วยนามจริงอีกครา จาฮอนยกยิ้มพลางลูบศีรษะอีกฝ่ายและไล้ลงตามช่วงเอว ร่างบางหน้าแดงซ่านอย่างขัดเขิน แนบอิงหน้าผากลงบนแผ่นอกแกร่ง
ทั้งสองสัมผัสความอบอุ่นของกันและกันเช่นนั้นครู่หนึ่ง แล้วผละออกจากกัน แยกย้านไปทำกิจธุระของแต่ละคน
โซกังนำผ้าชุบลงในน้ำสำหรับล้างหน้าที่นางกำนัลเตรียมวางไว้ให้ตั้งแต่ก่อนจาฮอนจะมาถึง บิดพอหมาด ส่วนจาฮอนก็ถอดฉลองพระองค์ออก แล้วนำอาภรณ์ที่พาดอยู่ตรงมุมหนึ่งมาสวม เพราะหากเข้ามาในตำหนักยอฮยังแล้ว ก็จะไม่ออกไปไหนอีกและเข้านอนที่นี่
เขาส่งผ้าบิดหมาดให้แก่อีกฝ่าย เดิมทีเป็นหน้าที่ของเหล่านางกำนัล ในการช่วยปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ คอยเช็ดใบหน้า มือ เท้าทั้งหมด ซึ่งจาฮอนก็ไม่ได้สั่งให้โซกังทำเช่นนั้น แต่กลับเป็นเจ้าตัวเองที่ยืนกรานว่าตนจะเป็นคนนำผ้าชุบน้ำและบิดหมาดให้อย่างที่เพิ่งกระทำ
เมื่อเช็ดจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ส่งผ้าคืนแก่คนรัก โซกังจึงนำอ่างน้ำและของเหล่านั้นไปวางไว้หน้าประตู พร้อมแจ้งแก่นางกำนัล เหล่านางกำนัลก็ยกอ่างน้ำออกไปในทันที จาฮอนนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะเอ่ยถาม
“ทานมื้อเย็นแล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ จะเสวยสำรับเย็นหรือไม่”
“สั่งให้นำของว่างมารองท้องแล้วล่ะ รีบมาเพราะตั้งใจจะมาทานกับเจ้า แต่ดูท่าจะช้าไปเสียแล้ว”
จากนั้นก็กวักมือเรียกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม โซกังหยัดกายลุกมายืนตรงหน้า เขาเลยดึงอีกฝ่ายให้นั่งลงบนตัก และเงยหน้ามองฮวังฮูเพียงหนึ่งเดียวของตน แม้เวลาล่วงเลยผ่านมาแล้วก็ยังคงงดงามไม่สร่าง โซกังเปิดปากกล่าวทั้งรอยยิ้ม
“รัชทายาททรงมาเยี่ยมเยือนกันถึงสองคราเชียว”
“ได้ยินจากขันทีแล้ว เจ้านั่นมาถามว่าเหตุใดเจ้าถึงเป็นฮวังฮูใช่หรือไม่ แล้วเจ้าตอบไปว่าอย่างไร”
“กระหม่อมตอบไปว่าด้วยมีวาสนาผูกพันต่อกันมาจนถึงตอนนี้”
“ข้าไม่ชอบใจคำตอบ แต่ไม่ชอบใจคำถามยิ่งกว่า”
“บุรุษได้อยู่ในตำแหน่งฮวังฮู หาใช่มีบ่อยครั้ง รัชทายาทเพียงถามด้วยความอยากรู้ก็เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม หากฮวังฮูพูดถึงขนาดนี้ ข้าก็จะยอมปล่อยไปแล้วกัน”
จาฮอนขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่โซกังแย้มยิ้มและเอ่ยยังเข้าข้างรัชทายาทยังฮายอบ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ด้วยคิดว่าแม้จะเอ็นดูเด็กน้อยเพียงใด แต่หากไม่เข้าใจก็ควรทำตัวนิ่งเฉยจะดีเสียกว่า
เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น โซกังจึงเอ่ยบอกกล่าวเหมือนตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศว่าวันนี้รัชทายาทอ่านตำราเล่มใด และได้รับคำชมมากมายว่าปราดเปรื่องจากกวักฮันยูลผู้เป็นราชครู ยามพาเด็กน้อยผู้นั้นมา ร่างบางก็ดูจะดูแลและชื่นชอบมากยิ่งกว่าตัวเขา เอาใจใส่ราวกับเป็นบุตรของตนจริงๆ ความอิจฉาจึงเอ่อล้น แต่จาฮอนก็ยังคงยิ้มแย้มส่งให้
ยังฮายอบ เป็นบุตรบุญธรรมของจาฮอน รับตำแหน่งเป็นรัชทายาทในยามนี้ เด็กผู้นนี้เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์ที่ตระเวนเสาะหาทั่วอาณาจักรอย่างยากลำบาก กระทั่งค้นพบเมื่อหนึ่งปีก่อน
หากเป็นเพียงการสืบหาของทางวังหลวง คงไม่มีทางหาพบเป็นแน่ แต่ทันยอง อดีตนักฆ่ายาอึมเข้ามาช่วยค้นหาจนพบ ตระกูลพ่อค้าในหมู่บ้านชนบทที่ยองเคยพึ่งพาและทำหน้าที่เป็นหน่วยคุ้มกันอยู่ระยะหนึ่ง คือครอบครัวของยังฮายอบ ยองบังเอิญเห็นสิ่งของสลักลวดลายของราชวงศ์อันเป็นของรักของหวงเหล่าผู้อาวุโสตระกูลนั้น จึงนำความมารายการถึงวังหลวงด้วยตนเอง ด้วยการมาของทันยอง ทำให้จาฮอนรู้ว่าควรวางตัวอดีตนักฆ่ายาอึมผู้นี้ไว้ในตำแหน่งใด
ตามรายงานของทันยองกล่าวว่า ด้วยความเมตตาระหว่างออกตรวจตรายามค่ำคืนของอดีตจักรพรรดิรัชกาลก่อนนู่น บุตรสาวของตระกูลพ่อค้าจึงให้กำเนิดทายาทลำดับสามเป็นสตรี ส่วนยังฮายอบเป็นทายาทลำดับสี่ ทว่าไม่อาจได้รับแม้แต่บรรดาศักดิ์ในบันทึกของราชวงศ์
ทว่าเนื่องจากจาฮอนประกาศว่าจะไม่มีทายาท ทั้งลำดับทายาทก่อนหน้าอย่างโควังยาก็ถูกใส่ความว่าเป็นกบฏและถูกประหารชีวิตไปแล้ว ยังจาโฮพี่น้องต่างมารดาเองก็ถูกวางยาพิษ ดังนั้นจึงไม่หลงเหลือสายเลือดของราชวงศ์เพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อจากจาฮอนเลย
ก่อนสิ้นชีวิตยังจาโฮยังเด็กนัก อย่าว่าแต่มีบุตรเลย อีกฝ่ายยังไม่ทันได้อภิเษกเสียด้วยซ้ำ ส่วนตระกูลของโควังยาก็ล้วนถูกประหารจนหมดสิ้นไม่มีหลงเหลือ ดังนั้นสายเลือดราชวงศ์ยังที่เกิดการต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรง จึงแทบไม่หลงเหลือคนในตระกูลที่ยังมีชีวิตอยู่
ด้วยเหตุนั้น บุตรชายของตระกูลพ่อค้าธรรมดาๆ อย่างฮายอบจึงกลับคืนสู่ลำดับทายาทของราชวงศ์ หลังความสลับซับซ้อนเช่นนี้ จาฮอนเลยจำเป็นต้องมาถามความเห็นจากโซกังเสียก่อน
‘สำหรับข้า เจ้าสำคัญที่สุด ดังนั้นข้าไม่มีทางทำอันใดให้เจ้าลำบากใจ’
‘มีเหตุผลอันใดที่กระหม่อมต้องลำบากใจกัน หรือว่าความจริง… ที่ทรงพูดถึงทายาทนั้น…’
‘ยังไม่เข้าใจอีกหรือ นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่อาจโอบกอดสตรีหรือบุรุษอื่นได้อีก ถึงเป็นหญิงงามล่มเมืองก็ไม่ได้ หากยังคิดจะเอ่ยถ้อยคำทำให้ข้าเจ็บปวดเช่นนั้นอีกครา ข้าจะตีก้นเจ้าจนไม่อาจเอ่ยอันใดได้อีกเลย จำเอาไว้’
‘กระหม่อมทราบแล้ว หากรับมาเป็นบุตรบุญธรรมก็ไม่เลวนักพ่ะย่ะค่ะ’
เมื่อได้รับการยินยอมจากโซกัง จาฮอนจึงพาฮายอบเข้าวังหลวงในฐานะบุตรบุญธรรม และตั้งชื่อให้ว่า ‘ฮายอบ’ เมื่อปีที่แล้วก็ทำการแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท
ปีนี้ฮายอบอายุได้สิบห้าชันษา แม้จะเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องราวของราชวงศ์ค่อนข้างช้า แต่ก็สามารถไล่ตามทันได้อย่างรวดเร็ว ส่อแววของความฉลาดเฉลียว และตามรายงานที่ได้รับ เมื่อยามสายวันนี้ฮายอบได้เข้ามาเยี่ยมเยือนโซกังพร้อมกับเอ่ยถาม
‘ฮวังฮู เหตุใด ‘ยามนี้’ จึงทรงเป็นฮวังฮูหรือพ่ะย่ะค่ะ’
ด้วยโซกังเอ็นดูเด็กนิสัยสุภาพและมีมารยาทเช่นฮายอบมาก จึงไม่ได้คิดว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะมีความหมายอื่นแฝงอยู่หรือไม่และเข้าใจไปตามนั้น
แต่จาฮอนได้รับรายงานต่ออีกว่า หลังจากการเข้าพบฮวังฮูแล้ว เจ้าเด็กนั่นก็กล่าวไถ่ถามกับขันทีประจำตัวต่อ
‘ฮวังฮูมีพระวรกายเป็นบุรุษ แต่เหตุใดรูปโฉมถึงได้งดงามเช่นนั้นล่ะ นิสัยก็เปรียบเสหมือนผ้าไหม งดงามเสียยิ่งกว่าสตรีใดที่ข้าเคยได้พบเห็นก่อนหน้านี้ ผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้ว แต่ข้าก็ยังรู้สึกประหม่าเพราะความงดงามของพระองค์อยู่เลย ยามเจอพระพักตร์ครั้งแรก ยังเข้าใจว่าเป็นเทพธิดาฮังอามาจุติเสียอีก ใยฮวังฮูถึง…’
เจ้าเด็กเอ่ยถ้อยคำคลุมเครือพลางทอดถอนใจอย่างไม่สมกับอายุ ขมวดคิ้วจนยับย่น ก่อนจะปิดปากเงียบอย่างเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง พยายามขบคิดข้อกังขา เจ้าตัวเล็กนั่นมองเห็นว่าโซกังเป็นเทพธิดาฮังอา พอจาฮอนได้รับรายงานนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างหมดคำพูด กล่าวได้ว่าอีกฝ่ายบังอาจเกิดความรู้สึกชื่นชมต่อฮวังฮูเสียได้
โซกังงดงามล่ะสิ ร่างสูงขบคิดดั่งคนเขลา ตั้งใจว่าจะไม่บอกความในใจของเจ้าเด็กน้อยนั่นให้โซกังได้รับรู้
“ทรงคิดอะไรอยู่หรือ”
“ได้อยู่ใกล้ชิดผู้เป็นที่รัก จะให้ข้าคิดอันใดได้เล่า”
“ไม่รู้สิ”
ถ้อยคำของจาฮอนทำให้โซกังแย้มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าลงมอบจุมพิตอ่อนหวานทาบทับริมฝีปาก เส้นผมยาวสยายราวกับสายน้ำพาดลาดไหล่ด้านหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สะบัดส่ายอย่างนุ่มนวลราวกับผืนผ้าไหม จาฮอนพลันนึกถึงยามพบกันเมื่อห้าปีก่อนขณะจ้องมองภาพตรงหน้า
โรงอาบน้ำของกรมฝ่ายใต้ ภายในเรือนไม้ที่มีถังไม้ตั้งอยู่ ไม่ว่าจะยามได้พบเมื่อครั้งนั้น หรือยามที่ตนยังเป็นรัชทายาทก็ล้วนเข้าใจว่าโซกังเป็นเทพธิดาฮังอามาจุติ ความรู้สึกอันแรงกล้าของการพบกันในครั้งแรกบังเกิดขึ้น
จาฮอนรู้สึกโล่งใจที่ตอนนั้นตัดสินใจออกตามหาอีกฝ่าย หากว่าตนไม่ได้ออกตามหาล่ะก็ โชคชะตาเช่นนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นตัวเขาก็คงจะยังใช้ชีวิตอย่างอ้างว้างโดยไร้ที่วางหัวใจ
อาจจะใช้ชีวิตวุ่นวายอยู่กับการมีทายาท ดั่งเช่นเถาวัลย์พันเกี่ยวจนยุ่งเหยิงไปหมด
และหากเป็นเช่นนั้นฮายอบเองก็คงจะรับช่วงต่องานของบิดาในหมู่บ้านเล็กๆ นั่น ไม่มีทางได้เข้าสู่วังหลวง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นมาจากโซกัง ดังนั้นเขาจึงได้คิดว่าช่วงเวลาเหล่านั้นสำคัญยิ่ง