เมื่อจบสิ้นถ้อยคำของแพคมีกัง เจ้าหน้าที่ไต่สวนจึงหันกลับทางฝ่าบาทก่อนจะค้อมคำนับแล้วเอ่ยขออนุญาต
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตเบิกตัวผู้ให้การเพื่อยืนยันความผิดของนักโทษแพคมีกังพ่ะย่ะค่ะ”
“อนุญาตตามนั้น”
ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต อีกฝ่ายจึงออกคำสั่งแก่ทหารหลวงด้านหนึ่งให้นำตัวพยานมา ทหารหลวงเดินหายไปทางตำหนักคอนรยุง หลังจากนั้นก็มีบุรุษสองคนสวมอาภรณ์เฉกเช่นบัณฑิตก็ถูกพาตัวเข้ามา ทั้งคู่หยุดยืนห่างจากเจ้าหน้าที่ไต่สวนเล็กน้อย จากนั้นก็คุกเข่าคำนับแสดงความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นแล้วทำเรื่องที่ต้องทำเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองลุกขึ้นและหันกลับมาทางแพคมีกัง ชายชราพึมพำในใจว่าจะให้คนที่เพิ่งเจอกันเป็นคราแรกมายืนยันสิ่งใดกัน แต่เมื่อมองหน้าอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เผลอส่งเสียงสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว
“พวกเจ้า! ไอ้พวกอกตัญญู!”
ด้วยเพราะเดิมทีมักจะสวมอาภรณ์สีดำอยู่เสมอ อีกทั้งยังพบเจอกันในภายใต้ความมืดมิด แพคมีกังจึงไม่อาจจดจำได้ในทันทีเมื่อคนเหล่านี้สวมอาภรณ์สีขาว ทั้งสองคนตรงหน้า ตนเป็นผู้นำพามาด้วยตนเอง ส่งให้ไปลอบฆ่าผู้อื่นมากมายเพื่อข่มขู่ให้หวาดกลัว
น้ำเสียงตวาดของแพคมีกังทำให้เจ้าหน้าที่ไต่สวนกระดิกนิ้ว ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ก็ขยับเข้ามาฟาดไม้ตะบองสั้นลงบนหลังนักโทษ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของเจ้าตัวทันที
“นักโทษห้ามเปิดปากโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“…รับทราบขอรับ”
“พยานจงกล่าวตามตรง ใช้ชีวิตทำอะไรอยู่ที่ใด เกี่ยวข้องอย่างไรกับแพคมีกัง จงกล่าวออกมาอย่าได้มีตกหล่น”
สิ้นคำสั่งของเจ้าหน้าที่ไต่สวน บุรุษผู้หนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้น
“ผู้น้อยคือหนึ่งในนักฆ่าสังกัดยาอึม ตอนเจ็ดขวบถูกจับมาอยู่หมู่บ้านในหุบเขาใกล้เขตชายแดนขอรับ เนื่องจากบิดามารดาไม่อาจใช้หนี้ได้ พวกท่านจึงถูกทุบตีจนเจ็บป่วยและจากโลกไปในที่สุด นายท่านกล่าวว่าจะทำให้ข้าน้อยไม่ต้องอดอยาก ไม่ต้องนอนข้างถนน ผู้น้อยจึงได้ติดตามกลับมา ทว่านายท่านก็แจ้งว่าต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการมอบชีวิตเพื่อนายท่าน ดังนั้น ผู้น้อยจึงต้องร่ำเรียนการฟันดาบ ยิงธนู การใช้อาวุธลับ การต่อสู้มือเปล่า ร่วมกับเด็กคนอื่นๆ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้พิษด้วยขอรับ เมื่ออายุสิบหกปีก็ได้รับคำสั่งให้ลอบสังหารโดยไม่อาจทราบเหตุผล และหลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้ลอบสังหารผู้อื่นอีกหลายคราขอรับ”
ส่วนเรื่องราวของบุรุษอีกคนก็คล้ายคลึงกัน แตกต่างเพียงแค่ว่าคนผู้นี้ได้รับการช่วยเหลือยามถูกพวกขอทานรุมทำร้าย และด้วยมีมารดาป่วยเป็นโรคที่มีน้ำหนองไหลจากช่วงล่าง จึงทำการฆ่าผู้เป็นมารดาด้วยมือตนเองตามการโน้มน้าวจากมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ แพคมีกัง
“ตอนนั้นผู้น้อยอายุสิบขวบขอรับ นายท่านบอกว่าโรคนั้นไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นการทำให้ตายอย่างสงบ จึงนับเป็นการแสดงความกตัญญูอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดขอรับ”
เล่ากล่าวพร้อมปล่อยน้ำตาที่ไม่อาจหลั่งเมื่อครั้นนั้นออกมา เสียงสะอื้นในลำคอของอีกฝ่ายทำให้แพคมีกังขมวดคิ้วมุ่น
ขุนนางฝ่ายเชผู้หนึ่งเคยกล่าวว่าสัตว์หัวดำไม่รู้คุณคน ไม่ควรนำมาเลี้ยงดู ความโกรธของชายชราปะทุขึ้นทันทีเพราะหลักฐานของคำกล่าวนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า อุตส่าห์ให้ความช่วยเหลือยามพวกมันร้องขอชีวิต แต่สุดท้ายกลับก่อให้เกิดโทษแก่ตนเองเช่นนี้ แม้จะรู้สึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว
เจ้าหน้าที่ไต่สวนสั่งให้พยานเล่าความเกี่ยวกับการลอบสังหารอย่างละเอียด เจาะจงถึงเป้าหมายที่ ‘นายท่าน’ สั่งการให้ลอบสังหาร พวกเขาล้วนจดจำได้ไม่มีตกหล่นสักคน หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็เอ่ยถามย้ำกับแพคมีกังอีกครั้ง
“พยานให้การเช่นนี้ ยังจะกล่าวว่าได้รับความไม่ชอบธรรมอีกหรือ”
“เจ้าพวกอกตัญญู”
“ข้าถามว่ามีความไม่ชอบธรรมอีกหรือไม่”
“ลืมบุญคุณที่ข้าช่วยเลี้ยงดูพวกเจ้า แล้วยังบังอาจ…”
“อย่าได้เอ่ยตามใจชอบโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าถามว่ายังมีความไม่ชอบธรรมอยู่หรือไม่ หากไม่มี จะยอมรับความผิดหรือไม่! จงตอบเพียงเท่านั้น”
มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ได้แต่ยอมรับความผิดเท่านั้น ช่วยชีวิตพวกมันด้วยตนเอง แต่พวกมันกลับกล่าวเรื่องที่ตนสั่งอย่างละเอียด แต่อย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยปากยอมรับออกมาง่ายๆ เพราะไม่คิดว่าตนทำความผิดเลยสักนิด เกิดมาเป็นบุรุษ ไหนเลยจะไม่อยากลองต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ของตนดูสักหน
เขาเพียงแค่ยื่นมือเข้าไปในการต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่และได้รับชัยชนะจากที่นั่นมาก็เท่านั้น แม้จะผิดพลาดไปบ้างก็ตาม ปล่อยมือที่คว้าสตรีผู้โง่เขลาช้าไป วางยาพิษบุตรชายของนางแทนการยืนหยัดในฐานะบิดาหุ่นเชิด
แพคมีกังปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยยอมรับความผิดของตน เจ้าหน้าที่ไต่สวนรอคอยท่ามกลางความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกทหารหลวงมาจัดการมัดรวบแขนนักโทษไพล่หลังพนักเก้าอี้
“ลงทัณฑ์ได้”
“ขอรับ”
เจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ ก้าวมายืนด้านหน้าแพคมีกัง ก่อนจะฟาดต้นขาด้วยตะบอง ความเจ็บปวดทำให้ลมหายใจหยุดชะงัก ชายชราร้องออกมาอย่างเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเสียงของเจ้าหน้าที่ไต่สวนก็ดังขึ้นอีกหน
“จะยอมรับความผิดหรือไม่”
เนื่องจากเคยได้รับอำนาจในการไต่สวนคดีของมหาเสนาบดีพลาธิการมาจากจักรพรรดิองค์ก่อน เขาจึงทราบเกี่ยวกับการลงทัณฑ์เป็นอย่างดี
หากถูกลงทัณฑ์ด้วยตะบองนี้แค่เพียงสองครา เนื้อก็จะแตก กล้ามเนื้อฉีกขาดจนไม่สามารถเดินได้ แน่นอนว่าสำหรับนักโทษแล้ว ย่อมไม่มีการเรียกหมอมารักษาอาการให้ และต้องดำเนินการไต่สวนต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ผิวเนื้อแตกฉีกเน่าเปื่อย
และชายสูงวัยอย่างตนคงไม่อาจทนทานได้ สุดท้ายก็ต้องยอมรับความผิด
พลันนึกถึงมหาเสนาบดีพลาธิการขึ้นมา คนผผู้นั้นอดทนร้องขอความเป็นธรรมจนกระทั่งจบการไต่สวน นึกถึงท่าทางที่พยายามกัดฟันอดทน นึกถึงท่าทางเย้ยหยันของตน สุดท้ายรอยยิ้มฝืดเฝื่อนก็ประดับบนริมฝีปากของแพคมีกัง
ดังนั้น ก่อนตะบองจะฟาดลงมาอีกหน ชายชราจึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“ข้าน้อย….ยอมรับความผิดขอรับ”
* * *
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ทั้งท้องฟ้า ทั้งพื้นดิน โดยรอบล้วนไร้สุ้มเสียงใดๆ เสียจนน่าประหลาด อีกทั้งยังขาวโพลนไปหมด ดั่งเป็นเขตอาราม และทันใดนั้นภายในอารามเงียบสงบก็พลันเกิดเสียงอะไรบางอย่างกระทบพื้น
ฝนตกลงมาหรืออย่างไร พื้นดินถึงดูชุ่มชื้นต่างกับเสียงกรอบแกรบและแตกออก ภายในครรลองสายตาของเขาพลันปรากฏภาพรองเท้าสะอาดสะอ้าน ประดับลวดลายสีขาว เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าลมหายใจพรูออกมาเป็นไอสีขาวกระจายตัวในอากาศ อีกทั้งเมื่อลองยกมือขึ้นก็ปรากฏเป็นเสื้อนวมหนาปกคลุมร่างกายอยู่
“ฤดูหนาวแล้วหรือ”
เสียงแห้งผากดังแหบแห้งออกจากลำคอ แม้จะไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็น ทว่ายามนี้เป็นฤดูหนาวอย่างแน่นอน ถึงแพคมีกังจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็กวาดสายตามองสถานที่คุ้นตาอย่างช้าๆ จากนั้นคิ้วก็พลันขมวดมุ่นทันใด
จากอาภรณ์ที่สวมใส่ ปลายรองเท้าสีขาวที่ยื่นออกมา กระทั่งพื้นดินปกคลุมด้วยน้ำแข็งจนดังกรอบแกรบยามพื้นรองเท้าเหยียบ ล้วนบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทว่าทิวทัศน์โดยรอบกลับไม่เหมาะสมกับอากาศเลยแม้แต่น้อย ทุกที่ที่สายตามองผ่าน ดอกไม้หลากสีสันผลิบานเต็มพื้นที่ กระทั่งบนพื้นหิมะขาวโพลนก็ยังมีดอกไม้ฤดูร้อนผลิบานอยู่
“นี่มันดอกไม้ใดกัน”
แพคมีกังกวาดมองโดยรอบอีกคราพร้อมพึมพำลำพัง ขยับก้าวเดินช้าๆ อย่างไม่อาจทราบเหตุผล เพียงรู้สึกว่าจะต้องเดินเข้าไปยังตัวอาคารเบื้องหน้าเท่านั้น
รอยเท้าขยับก้าวหลายสิบก้าวจนมายืนตรงทางเข้าตัวอาคาร จากนั้นก็ดึงประตูเปิดออก กระทั่งประตูบานนี้ก็ยังคุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก แพคมีกังเข้าไปด้านใน ก่อนจะตระหนักว่าที่แห่งนี้มีเรือนแยกออกมาสำหรับต้อนรับแขก และเป็นจวนของใครบางคน
“เชิญเข้ามาเถิด”
น้ำเสียงทุ้มต่ำและหนักแน่นของบุรุษดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความอาวุโส แพคมีกังทอดถอนใจเฮือกหนึ่งพร้อมขยับก้าวอย่างช้าๆ และนั่งลงบนเก้าอี้ที่มองเห็นคล้ายตระเตรียมไว้เพื่อตัวเขา เมื่อนั่งลงแล้ว ผู้ที่นั่งตรงข้ามจึงส่งถ้วยชาที่มีกลุ่มควันลอยคลุ้งมาทางด้านหน้าตน
“สบายดีหรือไม่”
“คำถามนั้นออกจะน่าขัน ท่านมหาเสนาบดีพลาธิการ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าทิ้งบันทึกนั่นไว้ แล้วยังจะถามเช่นนี้อีก ก็คงจะเป็นอย่างนั้นสินะ”
“ก็ประมาณนั้นกระมัง”
แพคมีกังตอบโต้ด้วยเสียงแผ่วเบาจนเกือบจะเป็นเพียงการพึมพำ คยองยูลอายุห่างจากตนไม่กี่ปี แต่กลับหัวเราะราวกับเป็นผู้เฒ่าอายุมากแล้ว เขาจ้องมองสีหน้าเหมือนได้ฟังคำบ่นจากหลานวัยเยาว์ของอีกฝ่าย ก่อนจะทำสีหน้าไม่สู้ดีนักแล้วยกถ้วยชาอุ่นๆ ขึ้นมาดื่ม
ทันทีที่เสียงกึกดังขึ้นจากการวางถ้วยชาลง คยองยูลก็ทอดถอนใจแล้วเปิดปากกล่าว
“เมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็มิได้เลวร้ายเช่นนี้มิใช่หรือ”
“เคยเป็นเช่นนั้นเมื่อใดกัน”
“เมื่อครั้นโซยงยังเล็ก เราไม่ได้ปรองดองกันหรอกหรือ”
“นั่นเป็นความคิดท่านมหาเสนาบดีพลาธิการเพียงผู้เดียวมิใช่หรือ”
แพคมีกังพึมพำออกมา แม้จะรู้สึกประหลาด ทว่าจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูมีอายุขึ้น แต่ก็ไม่มีทางเข้าใจเรื่องราวได้เลย หลังจากจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าก่อนหน้า เขาเลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่มีพลังมากขึ้น
“ไม่คิดจะกล่าวโทษฝ่ายเชสักคำเลยหรือ”
“หากข้าทำเช่นนั้น พวกเจ้าจะหยุดหรืออย่างไร”
“ก็คงจะรับฟังบ้าง”
น้ำเสียงของแพคมีกังอ่อนวัยลงเล็กน้อย ทว่าคนตรงหน้ายังคงเดิม ราวกับมีเพียงเวลาของเขาเท่านั้นที่กำลังถอยหลัง
คยองยูลยกถ้วยชาขึ้นขยับเข้าใกล้ริมฝีปากพลางยกยิ้มบาง
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ป่าวร้อง แต่กลับเก็บซ่อนเรื่องบันทึกนั่นไว้กับตัว จนกระทั่งยามเห็นร่างของข้าล้มลง ข้าไม่อาจเข้าใจได้เลย”
“หมายความว่าอย่างไร”
“คนเราย่อมแก่เฒ่า จึงต้องใจกว้างและมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ แต่คล้ายสิ่งนั้นจะไม่ได้ขัดเกลาคุณธรรมของเจ้า”
“เช่นนั้น ข้าถึงถามว่าหมายความว่าอย่างไรกัน”
“หนทางนี้ช่างยืดยาว โดดเดี่ยวและเหน็บหนาว ข้าถึงไม่ไปเสียก่อน ยังรอคอยจนถึงตอนนี้ รอร่วมเดินทางกับเจ้าดั่งมิตรสหาย ถึงแม้จะเพิ่งมาพูดเอาเวลานี้ แต่ข้าไม่คิดอาฆาตริษยาใดๆ ไม่คิดซักไซ้เหตุผล หรือบอกกล่าวถึงความดีความเลว”
“ท่าน….”
ยามนี้น้ำเสียงของเด็กน้อยดังออกมาจากปาก อาภรณ์ตัวหนาที่ผูกไว้อย่างดีหลุดตกจากไหล่ ยามนี้แพคมีกังกลายเป็นเด็กน้อยผู้มีรอยยิ้มประดับอยู่ จ้องมองคยองยูลด้วยสายตางุนงง คยองยูลจึงยกยิ้มเอ็นดูก่อนจะขยับปากเอ่ย
“จุดจบสุดท้ายก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น”
คำกล่าวนั้นดังก้องในโสตประสาท และท่ามกลางสิ่งนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงดุดันและเสียง พลั่ก! ความเจ็บปวดแล่นปราดตั้งแต่แผ่นหลัง กระจายไปทั่วร่างกาย