ภายหลังจากสตรีผู้นั้นถูกพาตัวไป จาฮอนก็ดึงโซกังเข้ามากอดและกล่าวออกมาด้วยสีหน้าหนักใจ
“ข้าทำผิดใหญ่หลวงนัก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ยอมรับสนมเข้ามาตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็ไม่อาจคัดค้าน แล้วทำให้สตรีถึงสามนางต้องกลายเป็นม่าย”
“ให้พวกนางอยู่ในวังต่อก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เป็นอะไร…”
“แต่ข้าไม่ชอบ และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเห็นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องทายาทอีก…”
ร่างสูงทำสีหน้าราวกับน้อยใจพลางซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกบาง แนบประทับจูบตรงนั้นทีตรงนี้ที และหากยังคิดจะกล่าวไร้สาระอีก จาฮอนก็ข่มขู่ว่าจะรังแกเสียจนร้องไห้โยเย
โซกังจึงลูบเส้นผมของอีกฝ่าย และเมื่อมือใหญ่สัมผัสช่วงเอวของตนก็หัวเราะด้วยความสุข เข้าใจคำว่าถ้อยคำไร้สาระอย่างดีจนรู้สึกเอ็นดูปนประหลาดใจ เดิมทีเขาเพียงแค่จินตนาการว่าได้มองดูผู้อื่น ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีอย่างเอ็นดูเท่านั้น
“สายตาของข้าเต็มเปี่ยมและเอ่อล้นด้วยเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ฉะนั้นอย่าได้คิดอะไรไร้สาระ”
ถ้อยคำราวกับล่วงเข้ามารู้ความคิด ทำให้โซกังเลิกคิดไร้สาระตามเนื้อความและจดจ่อกับความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้
จาฮอนมองร่างบางเอนกายมาทางตนแล้วยกยิ้มมีความสุข ความรู้สึกผิดต่อพวกสตรีเหล่านั้นก็เป็นความรู้สึกผิด ทว่าก็อย่างไรก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ด้วยกายและใจทั้งหมดถูกครอบครองด้วยคนเพียงผู้เดียว
คิดเช่นนั้นขณะสัมผัสทั่วกายบอบบาง พอได้เห็นท่าทางเร่าร้อน ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ยินดีอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทว่าเจ้าของความร้อนรุ่มกลับปฏิเสธการร่วมรัก ด้วยเหตุนั้นจาฮอนจึงรู้สึกไม่สบายใจนัก
และเขาไม่คิดจะเก็บซ่อนมันเอาไว้ เพราะส่วนล่างตนแข็งเกร็งขึ้นมาแล้ว กลิ่นกายเย้ายวนฟุ้งจากกายของโซกัง ไม่ต่างอะไรจากการทรมานเขาทั้งเป็น
ดังนั้นจึงเอ่ยถามตรงๆ ว่าเหตุใดถึงปฏิเสธ อีกฝ่ายจึงตอบอย่างจริงจังมาก
“พรุ่งนี้เป็นวันตัดสินคดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ควรต้องเก็บแรงไว้ก่อน ไม่ควรใช้พละกำลังเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องทำกายและใจให้สะอาดบริสุทธิ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“การตัดสินคดีกับการร่วมหอมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
“หากใช้พละกำลังมาก ความสามารถในการจดจำก็จะลดลงมิใช่หรือ”
“หากความจำลดลงด้วยเรื่องนั้น ข้าก็คงจดจำมิได้แม้แต่ชื่อตนแล้วล่ะ ลองคิดดูสิโซกัง มิใช่ว่าข้าเติมเต็มภายในตัวเจ้าเสียจนล้นทุกคราหรอกหรือ แล้วสองสามวันที่ปล่อยให้ความใกล้ชิดห่างหายเช่นนั้น ยังจะเหลือความจำอันใดอีกเล่า”
จาฮอนก่อกวนยอดถันของโซกังด้วยปากพร้อมเอ่ยออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยการหยอกเย้า
หากเป็นยามปกติ อีกฝ่ายคงจะหัวเราะให้ถ้อยคำหยอกล้อนั่น ทว่าวันนี้โซกังกลับแตกต่างออกไปเล็กน้อย เจ้าตัวทำหน้ามุ่ย ทั้งยังสะบัดหน้าหนีไปด้านข้าง แต่ก็ต้องเชิดหน้าพร้อมครางร้อง เพราะจาฮอนครอบครองยอดอกและเย้าแหย่ด้วยลิ้น
ร่างบางตั้งใจจะใช้มือผลักศีรษะของคนตรงหน้าออก แต่จาฮอนก็กำรวบมือทั้งสองข้างอย่างง่ายดายด้วยมือเดียว ร่างกายตอบสนองอย่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่ได้รับ ขยับโยกและทรยศต่อจิตใจ สะโพกบิดเร่า ช่องทางขมิบรับอย่างเป็นธรรมชาติเพราะปรารถนาในตัวตนของอีกฝ่าย
“ฮือ อึก จาฮอน ได้โปรด อื้อ! อย่าทำ”
วันนี้เขาไม่อยากทำจริงๆ แม้ร่างกายร้อนรุ่มจะตะโกนร้องว่าอยากโอบกอดตัวตนของจาฮอนและขึ้นไปสู่จุดสุดยอดของห้วงปรารถนา แต่จิตใจกลับไม่เห็นด้วย
พรุ่งนี้ต้องไต่สวนคดีมิใช่หรือ เป็นวันแรกของการไต่สวนมหาเสนาบดีตุลาการผู้ใส่ร้ายคนมากมาย ทั้งท่านพ่อ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ นายหญิงอิลฮวา มูฮยอน โซยง และนอกเหนือจากนั้นอีกมากที่โดนคนผู้นั้นใส่ร้ายจนถูกผลักไสสู่ความตาย บัดนี้อีกฝ่ายจะถูกลากออกมายังลานไต่สวนในฐานะนักโทษ และการเปิดเผยความผิดทั้งหมดก็เป็นเหมือนการช่วยล้างมลทินของพวกเขาเหล่านั้น มลทินใหญ่หลวงที่ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มกบฏ แม้จะสามารถลบล้างมันได้หลังความตายก็ตาม
และหากเป็นเช่นนั้น ก็รู้สึกเหมือนตนจะสลัดความรู้สึกผิดที่ฝังอยู่ในจิตใจมาตลอดชีวิตออกไปได้ แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง แต่อย่างน้อยก็สามารถปล่อยนางและไขว่คว้าความสุขของตนได้เสียที ดังนั้น เขาจึงรู้สึกละอายใจ ก่อนวันตัดสินคดีสำคัญเช่นนั้น เขาไม่อยากมัวเมาในห้วงปรารถนาจนสว่าง ทว่าร่างกายกลับไม่สนใจความรู้สึกเช่นนั้น มันเอาแต่ร่ำร้อง โซกังไม่ชอบใจร่างกายของตนเลย สุดท้ายจึงต้องเผยหยาดน้ำตาออกมา
“อย่าทำ… ฮึก”
ถ้อยคำปฏิเสธหนที่สองทำให้จาฮอนต้องละสายตาจากด้านล่างแล้วเลื่อนขึ้นมามองหน้าอีกฝ่าย จนได้เห็นน้ำตาจากดวงตาคู่สวยบนใบหน้าบูดบึ้ง
จาฮอนรู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็น แน่ชัดว่ากายของโซกังกำลังตื่นตัวอยู่ ทั้งยอดอกชูชัน ทั้งส่วนล่างเครียดเกร็ง ทั้งร่างกายสะท้านไหว แต่ถึงกระนั้น การปฏิเสธก็เป็นเรื่องจริง เขาจึงผละปากออกจากยอดอกและละมือจากการหยอกเย้ายอดอกอีกข้าง ทั้งปล่อยข้อมือที่กำรวบเอาไว้ด้วย
จากนั้นก็ลงมานอนตะแคงบนแท่นบรรทม แล้วโอบกอดคนที่หันหลังให้ในขณะนั้น
โซกังไม่ได้หันมากอดตอบเช่นปกติ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ผลักออก จาฮอนสอดแขนของตนเข้าไปใต้ศีรษะโซกังและดึงเข้ามากอดแนบชิด ได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดแผ่วเบา คงกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และพลันนึกถึงบิดาของอีกฝ่ายขึ้นมา ทั้งบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการที่เคยผูกพัน ทั้งบุตรชายของมหาเสนาบดีพลาธิการที่เคยร่วมเรียน รวมถึงทุกคนที่ต้องสูญเสียชีวิตด้วยเกี่ยวพันกับเรื่องที่มหาเสนาบดีตุลาการก่อขึ้น
จึงตระหนักได้ว่าเป็นเพราะยิ่งใกล้วันตัดสินคดี โซกังก็คงจะยิ่งไม่สบายใจ ยามนอนก็ละเมอบ่อยครั้งขึ้นเช่นกัน จนได้แต่ตำหนิตนเองที่ความรู้สึกช้าเกินไป
“ขอโทษ”
ศีรษะเล็กขยับขึ้นลงในอ้อมกอด
ไม่คิดจะไถ่ถามว่าเหตุใดถึงรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และสามีผู้โง่เขลาอย่างเขาก็คิดว่าปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นคงจะดีเสียกว่า ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของคนสำคัญว่าเป็นอย่างไร บุรุษไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นนี้เป็นถึงจักรพรรดิหรอกหรือ
จาฮอนพยายามจะเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างยากลำบาก อีกทั้งความอึดอัดในอกก็ส่งผลให้เขาไม่อาจทำอันใด ได้แต่ทอดถอนใจเท่านั้น ขณะนั้นพลันรู้สึกว่ามือเรียวค่อยๆ ทาบทับบนมือของเขาที่วางอยู่บนหน้าท้องของเจ้าตัว
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ”
“โซกัง ขอโทษที่ข้าความรู้สึกช้าเช่นนี้ ไม่ทันคิดว่าพรุ่งนี้เจ้าจะต้องยุ่งยากใจ”
“กระหม่อมไม่เป็นไรจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ยังคงมีเสียงสะอื้นไห้ในลำคอ แต่โซกังก็กล่าวว่าไม่เป็นอะไรออกมาเพราะรู้สึกดีขึ้นแล้วจริงๆ เพียงแค่อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกของตนก็เพียงพอแล้ว จาฮอนลูบสัมผัสหน้าท้องแบนราบช้าๆ ทั้งที่มือของโซกังก็ยังวางอยู่บนมือตน
“หากขบคิดดูแล้วที่เจ้าขออ่านตำราพวกนั้น… ย่อมต้องรับรู้ความรู้สึก แต่ข้าก็ยังตั้งใจยัดเยียดเพียงแต่ความต้องการของตนเช่นนี้ ต้องขอโทษเจ้าจริงๆ”
“นั่น… รู้ได้อย่างไรกัน…”
ใบหูโซกังขึ้นสีแดงจัดพลางเอ่ยพึมพำ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาประหลาดใจที่หัวใจของตนเอาแต่เต้นแรงจนอึดอัด อีกทั้งลมหายใจก็คอยแต่จะตีตื้นขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทว่าไม่มีสิ่งใดหลุดออกมาทั้งสิ้น หากความรู้สึกยังประหลาดจึงขอร้องนางกำนัลให้ช่วยหาตำราเหล่านั้นมาให้ จำพวก ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดผลร้าย หากทำเช่นนี้จะโชคดี เป็นต้น ล้วนเป็นตำราที่มีความเชื่อเรื่องโชคลางอยู่เต็มเปี่ยม
อ่านเขียนและสั่งสมความรู้จนได้เป็นบัณฑิตแล้ว การสนใจในตำราพวกนี้จึงนับเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นบุรุษด้วยแล้ว การพึ่งพาสิ่งนั้นก็นับว่าน่าอายกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงร้องขอให้ทุกอย่างเป็นความลับ ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้เสียแล้ว
จาฮอนจึงเอ่ยถามคนหน้าแดงพูดไม่ออกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เป็นอะไรไปหรือ”
“ทรงรู้ได้อย่างไรว่ากระหม่อมขออ่านตำราเหล่านั้น”
“สิ่งที่นำเข้ามาในตำหนักฮงฮวาต้องผ่านมือข้าทุกสิ่ง แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงตรวจสอบด้วยพระองค์เองอย่างนั้นหรือ”
“แน่สิ ยาที่เจ้ากิน ชั้นในที่ถูกข้าปลดเปลื้อง อาภรณ์ที่ตัดขึ้นใหม่ ทั้งหมดล้วนผ่านมือข้าทั้งนั้น”
ตอบรับราวกับว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว สุดท้ายร่างบางจึงพลิกตัวหันมาพร้อมจ้องมองจาฮอน เวลาผันเปลี่ยนจนแน่ชัดว่าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเรียบร้อยแล้ว โซกังจ้องมองใบหน้าอ่อนล้าพร้อมกับขมวดคิ้ว เอาเวลาคอยตรวจดูสิ่งของแต่ละอย่างที่ส่งเข้าตำหนักฮงฮวา มาล้มตัวลงนอนบนแท่นบรรทมอีกสักหน่อยยังจะดีกว่า
ทันใดนั้นใบหน้าหวานเครียดขึงก็พลันมีความเศร้าสลดพาดผ่าน
“เรื่องอื่นก็ทำให้ยุ่งยากพระทัยอยู่แล้ว เหตุใดถึงยังทรงทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นอีกเล่า ก่อนนำเข้ามาให้กระหม่อม ก็มีเหล่านางกำนัลและขันทีคอยตรวจสอบ อย่าทรงทำเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เอาเวลานั้นไปพักผ่อนเถิด”
“ไม่ได้หรอก ต่อไปข้าก็จะคอยตรวจสอบด้วยตนเองเช่นเดิม อย่าได้ห้ามข้าเลย”
“เหตุผลคืออะไรกันพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ว่าทุกวันนี้ก็ทรงเหนื่อยล้ามากพอแล้วหรอกหรือ”
“…หากปล่อยให้คนอื่นทำ แล้วเกิดเรื่องขึ้นมา จะโทษผู้ใดได้เล่า”
น้ำเสียงของจาฮอนสั่นไหวเล็กน้อย ทั้งแขนที่โอบกอด ทั้งร่างกายที่สัมผัสกันก็สั่นไหว โซกังรู้สึกได้ว่าแขนของอีกฝ่ายออกแรงกระชับแน่นยิ่งขึ้น และยังได้ยินเสียงทอดถอนใจด้วย หลังจากถอนหายใจอยู่หลายครา เขาก็เอ่ยขึ้น
“หากเกิดเรื่องเช่นนั้นอีกครา ข้าคงจะไม่อาจฝืนทนได้อีก”
“ตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงช่วยหยุดยั้งทั้งหมดแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
โซกังยื่นมือสัมผัสใบหน้าหล่อเหลา ลูบแก้มอย่างอ่อนโยน จาฮอนหลับตาลงซึมซับสัมผัสนั้น ก่อนจะกล่าวชักชวนทั้งๆ ที่หลับตาอยู่ และแน่นอนว่าคำกล่าวนั้นทำให้โซกังร้องไห้ออกมาอีกหน
“หากจบการตัดสินคดีแล้ว เราไปเยือนสุสานด้วยกันเถิด”
* * *