เป็นสตรีอย่าได้กล่าวถึงหัวใจ แม้เพียงสายตาก็ไม่เคยเหลือบแลสักครั้ง ด้วยเป็นบุตรีของหนึ่งในเสนาบดีฝ่ายเช เขาจึงปิดกั้นความรู้สึกตั้งแต่พิธีแต่งตั้งแล้ว เพราะไม่อาจเห็นถึงความคิดแง่ดีได้ตั้งแต่ต้น อีกทั้งด้วยจักรพรรดิองค์ก่อนหลงใหลในสตรีจนลุ่มหลงมัวเมา ดังนั้น เพียงเป็นหญิงก็พานให้ตนขยะแขยง
แม้ว่าจิตใจของยังจาฮอนในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งจะเป็นเช่นนั้น ทว่าด้วยฐานะจักรพรรดิแล้ว เขาก็ได้แต่รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
อุตส่าห์ได้รับคัดเลือกเข้าพิธีแต่งตั้งเป็นสตรีของจักรพรรดิและก้าวเข้าวัง ทว่าแม้กระทั่งการโอบกอดอย่างที่ควร หรือเพียงแค่สายตาอันอบอุ่น นางกลับไม่เคยได้รับเลยสักครั้ง ด้วยเหตุนั้น ยามนี้จึงตั้งใจจะเรียกร้องมากขึ้น
แต่มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทำให้ได้ ทั้งเวลานี้ ทั้งภายภาคหน้า ก็ไม่คิดจะโอบกอดใครอื่นนอกเหนือจากโซกังอีก รวมถึงเรื่องทายาทก็ไม่คิดจะใส่ใจ
จาฮอนถอนหายใจต่ออีกหลายครา ก่อนจะเปิดปากกล่าว
“เจ้าคงจะทุกข์ใจมากสินะ”
“หามิได้เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงตระหนักได้แล้วว่าการกระทำที่ตนแสดงออกไป มันช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน”
“การกระทำอันน่ารังเกียจ…..”
“หม่อมฉันโหยหาความโปรดปรานจากฝ่าบาท จนลงมือใช้วิธีการอันชั่วร้ายเพียงเพราะความริษยาเพคะ”
“นั่นย่อมเป็นเพราะเรา ผู้เป็นจักรพรรดิไม่ได้ให้ความสนใจเจ้า”
“หามิได้เพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันที่โง่เขลาเอง”
ออมฮยอนบียังคงก้มหน้า มือเล็กที่วางซ้อนทับบนหัวเข่ากำแน่น
ยามเข้ามายังวังหลวงด้วยคำสั่งของบิดา ตนพกพาสิ่งที่เป็นดั่งความเพ้อฝันชนิดหนึ่งมาด้วย ฝ่าบาทผู้องอาจและสง่างามมากพอให้เป็นที่ใฝ่ฝันสำหรับสตรีเยาว์แรกแย้ม ภายหลังการแต่งตั้งประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เฝ้าเพ้อฝันว่าฝ่าบาททรงรักใคร่ตน
ทว่ามันก็เป็นเพียงความเพ้อฝันที่ไม่อาจเป็นไปได้ ไม่นานมานี้ก็ได้ตระหนักกับความเป็นจริงแล้วว่ามันคือสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น
ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จมาเยือนตำหนักจน หรือคัดเลือกวันเข้าหอเลยสักครั้ง กระทั่งสายตาที่มองสบมาจากที่ไกล ๆ ก็ยังเย็นชาอย่างยิ่ง มีเพียงวิธีเดียวคือการพูดคุยกับสนมอีกสองคนที่ได้รับแต่งตั้งในขั้นบีเช่นเดียวกัน จนพอช่วยเยียวยาความอ้างว้างได้
ทราบดีถึงข่าวลือที่ว่าพระองค์ไม่สนใจต่อสตรีและบุรุษใดๆ ทั้งยังได้ยินข่าวลือว่าทรงหลีกเลี่ยงการเข้าหอเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับพระวรกาย หากเป็นเช่นนั้นจริง ฝ่าบาทจะทรงเสียพระทัยมากเพียงใด คิดเช่นนั้นแล้ว นางก็อยากจะมอบอ้อมกอดให้ ทว่าด้วยสายตาเย็นชาอยู่เสมอ ทำให้นางไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกนั้นได้
ก็ทำได้เพียงอดทนต่อความว้าเหว่เท่านั้น ด้วยเพราะเป็นสตรีของฝ่าบาท ไม่ใช่จะยอมแพ้ความเหนื่อยยากเช่นนั้นง่ายๆ
ทว่าวันหนึ่งก็ได้ยินว่าฝ่าบาทนำบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาอยู่ในตำหนักคอนรยุง มิใช่เพียงได้ยินลมปากผู้อื่นบอกเล่ามาเฉยๆ แต่ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนราวกับจะหมดลมหายใจของบุรุษผู้นั้นดังออกมาถึงด้านนอกตำหนักคอนรยุง ความริษยาก็พลันเดือดพล่านขึ้นมา บรรดาสนมทั้งสามคน ไม่มีผู้ใดเคยเข้าตำหนักคอนรยุงเลย
ฝ่าบาทไม่เคยชายตาแลสตรีทั้งสามเลยสักครั้ง แต่กลับร่วมหอกับบุรุษอย่างเร่าร้อน อีกทั้งยังเป็นบุตรชายของกบฏผู้ต้องโทษประหาร เป็นบุรุษโสโครกที่มีสัมพันธ์กับเหล่าทาสหลวงจำนวนนับไม่ถ้วน ณ เรือนทาสของเมืองชูจัก
เพราะนางล่วงรู้สถานะคนผู้นั้นจึงยิ่งไม่อาจอดรนทนได้ อย่างไรก็ไม่อาจยอมรับได้ หากพระองค์จะรักใคร่บุรุษเช่นนั้น แต่ฝ่าบาทก็ถึงกับมีปากเสียงกับเหล่าขุนนาง เพื่อบุรุษโสมมเสียยิ่งกว่าพวกชายบำเรอนั่น
ทรงรับสั่งว่าจะแต่งตั้งยศแก่ฝ่ายนั้น ประทานตำหนักฮงฮวาให้ และยังให้แขวนโคมแดงตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านี้ พระองค์ยังถึงกับละทิ้งตำหนักคอนรยุง เสด็จไปบรรทม ณ ตำหนักฮงฮวาทุกวัน
เช่นนั้นนางจึงยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมและคับแค้นใจหนักขึ้น หากว่าไม่มีบุรุษผู้นั้น ความโปรดปรานย่อมจะหวนคืนมาสู่ตน คับแค้นดั่งความโปรดปรานนั้นเป็นของตนมาแต่เดิม ทว่าในวันที่ได้เห็นท่าทีเช่นนั้นของฝ่าบาท จึงตระหนักชัดแจ้งว่ามันไม่มีทางกลายเป็นของตนได้เลย
แม้ว่าบุรุษผู้นั้นจะมีชีวิตที่ต่ำต้อยยิ่งกว่านี้ ฝ่าบาทก็หาใส่ใจไม่ และคิดเพียงว่ามันคือความรัก ยามมองอีกฝ่าย ทรงแสดงสายตาอบอุ่นและอ่อนโยน ส่งผลให้นางเข้าใจเสียที
จนกลายเป็นสนมออมฮยอนบีในตอนนี้ จิตใจล้วนสงบนิ่งขึ้น นางแสดงท่าทางเชื้อเชิญให้ฝ่าบาทกล่าวออกมาตามสบาย
“ฮยอนบี วันนี้เรามาเพื่อยื่นข้อเสนอเป็นการไถ่โทษต่อเจ้า”
“ตรัสมาเถิดเพคะ”
“เราจะขับไล่แล้วส่งเจ้าไปอยู่ที่วัด ไม่เพียงฮยอนบี แต่สนมอีกสองนางก็จะถูกส่งตัวไปเช่นกัน”
“…ทรงคิดจะรับสนมใหม่หรือเพคะ”
นํ้าเสียงที่เอ่ยถามออกมาสั่นเทาเล็กน้อย นางไม่เคยได้รับความโปรดปรานสักครั้ง และหากถูกขับไล่ไปอยู่ที่วัดก็ไม่อาจแต่งงานใหม่ได้ เมื่อคิดว่าต้องผ่านวันคืนเช่นนั้น น้ำตาก็พานจะรินไหล แม้ว่าจะปล่อยวางซึ่งทุกสิ่งแล้วก็ตาม ทว่าด้วยเกิดเป็นสตรี แต่กลับต้องใช้ชีวิตโดยไม่เคยได้รับความรักสักครั้งตราบสิ้นลมหายใจ ช่างน่ารันทดใจนัก
“ไม่มีสนมอื่นใดอีก เพราะต่อให้ห่างไกลกัน นอกจากโซอีแล้ว เราก็มองไม่เห็นใครอื่นอีก”
“เช่นนั้น…หรือเพคะ…”
“แต่ก็มิใช่ว่าตั้งใจจะส่งเจ้าไปอยู่วัดเพราะเรื่องนั้นหรอก แต่อีกไม่นานมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกเปิดโปง เราคิดจะขุดรากถอนโคนฝ่ายเชให้สิ้นซาก ภายภาคหน้าไม่ว่าฝ่ายใดก็จะไม่อาจสั่นคลอนอำนาจได้อีก แต่อย่างไรเวลานี้ เสียงของฝ่ายอื่นก็จะเพิ่มมากขึ้น”
“อา….เช่นนั้น!”
“บิดาของเจ้าถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง เราอาจจะเนรเทศบิดาของเจ้าหรือไม่ก็คงต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ทว่าถึงจะเป็นสนมชั้นบี แต่ในเมื่อไม่มีทาบยาท การเอาชีวิตรอดก็ไม่ง่ายเลย”
“เช่น… เช่นนั้นโปรดโอบกอดหม่อมฉันเถิดเพคะ ถึงจะเพียงครั้งเดียวก็ตาม แต่ด้วยเป็นกฎ ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นสนมไม่อาจแต่งงานใหม่ได้ หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเช่นกัน น่าอนาถใจนักที่ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยได้รับความรัก ซ้ำยังตรัสรับสั่งให้ใช้ชีวิตเช่นคนตายอยู่ในวัดอีก”
แม้รู้ดีว่าเป็นการดันทุรัง ทว่าสนมออมฮยอนบีก็ไม่สามารถหยุดคำพูดของตนได้ หากอยู่ในวังหลวงต่อ อาจจะมีฎีกาขอฝ่าบาทให้เนรเทศตนอยู่เรื่อยๆ และรู้แก่ใจดีว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่ไม่รู้ว่าจะพลาดพลั้งตกหลุมพรางในวันใด แต่ถ้าหากยังอยู่ใกล้ๆ ฝ่าบาท บางทีในยามที่ทรงโปรดปรานโซอีน้อยลง นางก็อาจจะถูกเหลียวมองขึ้นมาก็เป็นได้
เยื่อใยเพียงน้อยนิด นั่นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอ้อนวอน
จาฮอนเข้าใจถึงสิ่งที่สนมออมฮยอนบีเป็นกังวลดี หากเป็นสตรีของฝ่าบาท เพียงให้กำเนิดทายาท หรือเป็นสตรีที่เคยได้ร่วมหอกับฝ่าบาทแม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม ถ้าไม่ใช่ถึงขั้นร่วมแผนก่อกบฏ ก็จะไม่ต้องรับโทษ
นั่นหมายถึงว่าตามกฎแล้ว เวลานี้สนมชั้นบีทั้งสามคนนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นสตรีของฝ่าบาทเต็มตัว
ดังนั้นหากตระกูลของนางมีความผิด นางก็จะถูกขับออกจากวังกลับไปยังบ้านเดิมและต้องได้รับโทษร่วมกันเพราะนับเป็นคนของตระกูลนั้น บิดาของสนมออมฮยอนบีมาจากฝ่ายเช ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ดังนั้น หากต้องโทษไปด้วย นางก็จะกลายเป็นสามัญชน หรือหากต้องโทษหนักก็อาจจะกลายเป็นทาส ทว่าหากก่อนหน้ายอมไปอยู่วัดแล้วออกบวชเสีย ก็จะไม่ต้องรับโทษใดๆ
แน่นอนว่าทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาสั่งการ ดังนั้น หากเป็นไปตามความต้องการของเขาก็ถือเป็นอันยอมรับได้ และการเสนอให้สนมออมฮยอนบีไปอยู่วัดแต่โดยดี ก็ถือเป็นการแสดงความต้องการของตนออกมาทั้งหมดแล้ว
มีคำกล่าวว่า ‘การเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชา ย่อมต้องวางตัวอยู่ภายใต้กฎหมาย’
“ฮยอนบี นอกจากโซอีแล้ว เราก็ไม่คิดจะสนใจผู้ใดอีก”
“เช่นนั้นไม่ต้องทรงเข้าหอก็ได้ เพียงสร้างข่าวลือว่าเสด็จมาที่ตำหนักคยองซาอย่างลับๆ ก็พอเพคะ!”
“ขอโทษด้วย ข้าไม่อยากทำเรื่องที่อาจทำให้โซอีเข้าใจผิด ถึงยามหึงหวงจะน่าเอ็นดูเพียงใด แต่หากโกรธเขาถึงกับไม่ยอมอภัยให้ข้า เช่นนั้นมันน่าปวดหัวนัก”
“เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะไปอยู่ที่วัด”
คำตอบของฝ่าบาททำให้สนมออมฮยอนบินหลุบสายตาลงต่ำอย่างสิ้นหวังพร้อมตอบรับ แม้จะอยู่ต่อหน้าตน หรือต่อหน้าใครก็ตาม อีกฝ่ายคือจักรพรรดิ ทว่ากลับเพิ่งได้รู้จากคำพูดเมื่อครู่ว่าต่อหน้าโซอีแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้เป็นจักรพรรดิ ต่อหน้าโซอีฝ่าบาทไม่ใช้สรรพนามว่า ‘เรา’ แต่เป็น ‘ข้า’
ถึงจะผ่านเลยไปจนชั่วชีวิต สนมออมฮยอนบีก็เข้าใจแล้วว่าไม่มีทางที่พระองค์จะทรงเหลียวมองตน สุดท้ายก็ยอมปล่อยวางซึ่งเศษเสี้ยวของเยื่อใยสุดท้าย
“ขอโทษเจ้า เป็นเพราะเราไม่ได้คัดค้านจนถึงที่สุด”
“หามิได้เพคะ แค่ทรงนึกถึงหม่อมฉันเช่นนี้ ก็ถือเป็นพระกรุณาแล้วเพคะฝ่าบาท”
สนมออมฮยอนบีคุกเข่าลงและก้มศีรษะคำนับแนบหน้ากับพื้น แสดงความเคารพต่อฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อฝ่าบาทก้าวออกจากตำหนักไปแล้วก็จะมีราชโองการลงมา จากนั้นก็ต้องจัดการเก็บสัมภาระเตรียมตัวย้ายไปยังวัดตามรับสั่ง ดังนั้น เวลานี้จึงถือเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบพระพักตร์ จาฮอนจ้องมองเส้นผมแผ่สยายของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเศร้าหมองคราหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวผละจากไปเช่นนั้น
เขาตรงไปยังตำหนักของสนมของยุนซุกบีและสนมฮยอนควีบีเพื่อประกาศถ้อยคำเดียวกัน
สนมยุนซุกบีเอาแต่ร่ำไห้จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา ส่วนสนมฮยอนควีบีกล่าวแก่เขาว่าหากทำเช่นนั้น ก็จะได้รับฎีกาคัดค้านจากขุนนางฝ่ายเชอย่างมากมาย และขณะแสดงท่าทีร้ายกาจต่อหน้าฝ่าบาท นางก็ถูกเหล่าองครักษ์ฮวังรยงที่เฝ้าอยู่ในตำหนักจับตัวไปขังเอาไว้