ฮยอนควีบีขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะตะโกนออกมาเมื่อไม่อาจฝืนทนต่อได้
“ฝ่าบาท! เหตุใดถึงทรงเอ็นดูบุรุษผู้มีที่มาโสมมเช่นนี้เพคะ บุรุษไม่อาจให้กำเนิดทายาท ทั้งยังเป็นบุรุษที่เคยเป็นชายโลมแปดเปื้อนไปทั่วทั้งตัวอีก ใยถึงตรัสว่างดงามได้อีกหรือ ยังมีสตรีที่พระองค์ทรงรับเข้าวังมาถึงสามคนที่เฝ้ามองเพียงฝ่าบาท ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยเพคะ”
“ไฉนควีบีจึงต้องเข้ามาแทรกแซงเรื่องในมุ้งของเราเล่า ความพึงพอใจของเราต้องให้ควีบีตัดสินหรืออย่างไร”
“ฝ่าบาท!”
“ควีบีไม่ลองคิดบ้างล่ะว่าอาจจะเป็นเพราะตัวเจ้าไร้เสน่ห์กว่าโซฮวา”
“เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้น…! ทรงกล่าวว่าหม่อมฉันไม่มีเสน่ห์ยิ่งกว่าบุรุษหรือเพคะ! หม่อมฉันไม่อาจยอมรับได้!”
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ เพราะเราพอใจกลิ่นผิวกายมากกว่ากลิ่นแป้งผัดของสตรี พอใจการสนทนาอย่างสุขสงบมากกว่าความริษยาของสตรี ดังนั้นจะไม่เอ็นดูโซฮวาได้หรือ”
สนมฮยอนควีบีไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้อีกหลังถูกทำให้อับอาย นางขบเม้มริมฝีปากแน่น ริมฝีปากอวบอิ่มสั่นระริกขณะขบกัดเอาไว้ อดกลั้นความอัปยศและความอับอายด้วยความยากเย็น สุดท้ายหยาดน้ำตาก็เอ่อคลอดวงตาของนาง
และขณะนั้น ก็เป็นสนมยุนซุกบีที่เงยหน้าขึ้นมากล่าวเสียงดัง
“ฝ่าบาททรงถูกหลอกอยู่นะเพคะ! บุรุษผู้นั้นที่พระองค์ทรงถือมั่นว่างดงามนั่น เป็นบุตรชายของตระกูลกบฏเมื่อครั้นจักรพรรดิองค์ก่อน ควรต้องตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้วด้วยซ้ำ แต่กลับรอดชีวิตจนมาหลอกลวงฝ่าบาทเช่นนี้เพคะ”
คำพูดของสนมยุนซุกบินส่งผลให้รอยยิ้มบางระบายทั่วพระพักตร์ของฝ่าบาท เพราะดันได้รับของขวัญอันไม่คาดคิด นางเอ่ยคำที่เหมาะจะใช้เป็นเหตุผลไต่ถามเรื่องราวที่ฝ่ายเชไว้ชีวิตพวกกบฏแล้วปล่อยให้เป็นทาสหลวงพอดี
จาฮอนหันไปสั่งการกับองครักษ์ฮวังรยงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“พาสนมยุนซุกบีกลับตำหนัก แล้วอย่าให้นางก้าวออกมาข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว แน่นอนว่าคนสนิทหรือนางกำนัลแม้แต่คนเดียวก็ห้ามเข้าไปเช่นกัน”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
องครักษ์ฮวังรยงรับบัญชาแล้วออกไปนอกตำหนักฮงฮวาครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมทหารหลวง
สนมยุนซุกบีมีสีหน้าตื่นตระหนกพร้อมกับจ้องมององค์จักรพรรดิ พระโอษฐ์ของพระองค์มีเพียงรอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งหัว พลันตระหนักได้ว่าตนพลั้งปากไปเสียแล้ว
ไหนจะเรื่องกบฏนั่น รวมถึงความดื้อดึงของ ‘คนผู้นั้น’ ตอนนี้เหลือเพียงต้องสารภาพบอกกล่าวว่าคนผู้นั้นเป็นใครอย่างไม่อาจเลี่ยง หากไม่ยอมพูดความจริง ก็จะต้องโทษข้อหาซ่อนตัวผู้ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง บงลงโทษสถานหนักคือถูกปลงผมและขับออกจากวังหลวง จากนั้นก็ต้องถูกส่งตัวไปอยู่ในวัดตลอดชีวิต แม้จะไม่เคยปรนนิบัติรับใช้ หากก็ถือเป็นหนึ่งในสตรีของฝ่าบาท
“ฝ่าบาท! หม่อมฉันเพียงแค่ปากพล่อยไปเท่านั้นเพคะ! ฝ่าบาท!”
“เจ้าจะยินยอมกลับตำหนักแต่โดยดี หรือจะถูกลากตัวไปโดยไม่อาจรักษาตำแหน่งสนมของจักรพรรดิเอาไว้ได้กันล่ะ”
คำกล่าวนั้นทำให้ยุนซุกบีสงบลงในทันที องครักษ์ฮวังรยงคำนับแก่นางเล็กน้อยแล้วมายืนอยู่ด้านหน้า ยุนซุกบีลุกขึ้นแล้วก้าวตามหลังองครักษ์ฮวังรยงผู้นั้น โดยมีเหล่าทหารหลวงเดินตามหลังนางอีกทีดั่งการอารักขา
ทันทีที่เหล่าทหารและสตรีผู้นั้นหายลับไปจากตำหนักฮงฮวาแล้ว จาฮอนจึงมองสนมอีกสองนางที่เหลือก่อนจะกล่าวออกมา
“พวกเจ้าเองก็ไปได้แล้ว แล้วเราจะไปถามหาความรับผิดชอบจากควีบีในภายหลังเอง”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงมาเพื่อชี้แจงกฎของฝ่ายในให้ทราบเท่านั้น ไม่ใช่ว่าฝ่าบาททรงละเลยเรื่องของฝ่ายในหรือ ธรรมเนียมของเชื้อพระวงศ์เองก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือเพคะ”
ร่างสูงแค่นหัวเราะต่อคำพูดของฮยอนควีบี แน่นอนว่าคำพูดของนางไม่ผิด แต่มันแค่เฉพาะกับกรณีของสตรีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นสนมเท่านั้น
หลังจากลองค้นบรรดากฎและธรรมเนียมเก่าแก่เพื่อแต่งตั้งตำแหน่งให้กับโซกัง บรรดาเอกสารที่ค้นเจอ บันทึกกฎที่ต้องรักษายามรับบุรุษเข้ามาเป็นสนมเอาไว้อย่างละเอียด
กรณีมีบุรุษเข้ามาเป็นสนมนั้น หากผู้นั้นไม่ได้ถูกตอน ห้ามเข้าออกในบริเวณส่วนที่พำนักรวมของสตรีฝ่ายในเด็ดขาด แน่นอนว่าการเข้าออกตำหนักส่วนตัวก็เป็นเช่นนั้น
ธรรมเนียมในการแต่งตั้งยศให้แก่บุรุษไม่ได้มีมากมายนัก ด้วยถูกบันทึกไว้แค่ตรงมุมหนึ่งของเอกสาร ทว่าจาฮอนก็ไม่พลาดข้อความในส่วนนั้น แน่นอนว่าฮยอนควีบีย่อมไม่รู้ ดูได้จากกล่าวออกมาอย่างมั่นใจเช่นนี้
เมื่อเห็นฮยอนควีบีขมวดคิ้วมุ่น จาฮอนก็พลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนเข้าวัง สตรีผู้นี้ถือได้ว่าเป็นหญิงงามมีผู้ต้องการเป็นว่าที่เจ้าบ่าวมารอต่อแถวยาวเป็นพรวน ทว่าในสายตาของเขา นางไม่ได้ดูงดงามสักนิด ใส่ร้ายผู้อื่น หมายมั่นว่าร้าย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความคิดริษยาเช่นนี้อีก เขาไม่เคยคิดอยากเห็นใจ พอๆ กับการเห็นว่านางเป็นสตรีจิตใจร้ายกาจ
กลับกันแล้ว หากว่าโซกังแสดงท่าทีหึงหวง จาฮอนรู้สึกว่าเช่นนั้นก็ยังดูงดงามกว่า สักพักก็เอ่ยปาก
“ควีบีคงจะไม่อาจทำตัวเป็นกุลสตรีได้เลยสินะ”
“ใยถึงตรัสเช่นนั้นเพคะ! หม่อมฉันเพียงรักษาเกียรติของฝ่ายใน และตั้งใจทำตามกฎ ตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดเท่านั้น”
“หากเจ้าว่าตนทำเพื่อรักษากฎและธรรมเนียม แล้วจะพาตัวโซอีไปด้วยเหตุใดกัน ใช่ โซอีต่างจากเหล่าขันทีในวังหลวง เขายังคงมีสิ่งบุรุษพึงมีอยู่เช่นเดิม”
คำกล่าวของจาฮอนทำให้โซกังเผลอกระตุกอาภรณ์ของอีกฝ่ายแผ่วเบาด้วยสีหน้าลําบากใจ ทว่าร่างสูงไม่ทันสังเกต กลับถามต่อพร้อมยิ้มหยันว่า ‘นั่นไม่ใช่เพราะควีบีตั้งใจทำกิริยาไม่สมเป็นกุลสตรีหรอกหรือ’ โซกังรู้ลึกไม่สบายใจที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเย้ยหยันนั้นเลย สุดท้ายจาฮอนก็สังเกตเห็นจึงวาดยิ้มสดใสดั่งฤดูร้อน
ก่อนจะประจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา รวมถึงกล่าวขอโทษหากทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ณ ที่ตรงนั้นซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ควีบีกับฮยอนบี ยังมีเหล่านางกำนัล กระทั่งเหล่าองครักษ์ก็อยู่ด้วย ฮยอนควีบีมองการกระทำของฝ่าบาทพลางขบริมฝีปากและกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้ชายแขนเสื้อแน่น
“หม่อมฉัน….เป็นสตรีของฝ่าบาท จึงไม่เคยคิดจะทำกิริยาอันไม่สมควรเช่นนั้นเลยเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงมาพบโซอีซึ่งเป็นบุรุษได้เล่า กฎของฝ่ายในกล่าวว่า หากสนมเป็นบุรุษ คนผู้นั้นห้ามอยู่รวมกับเหล่าสตรีฝ่ายใน หากเจ้าจะกล่าวอ้างกฎ ก็ควรต้องรู้กฎให้ดีเสียก่อนมิใช่หรือ”
ตอนนี้ฮยอนควีบีไม่มีคำใดจะกล่าวแย้งอีกแล้ว ทว่ากฎของฝ่ายในตั้งแต่การถือช้อน การแต่งหน้า การประดับศีรษะ จนถึงการก้าวเดินล้วนบันทึกไว้อย่างละเอียด ตำรากี่เล่มต่อกี่เล่มเกี่ยวกับกฎเหล่านี้ล้วนถูกนางเปิดศึกษาอย่างไม่รู้เบื่อ นางอ่านอย่างละเอียด ไม่เคยพลาดกระทั่งตัวอักษรเล็กๆ เรื่องนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
จาฮอนเอ่ยกับสตรีที่ยามนี้คล้ายเสียขวัญไปแล้วด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ควีบีจงกลับตำหนักไปเสีย แล้วอยู่อย่างสงบจนกว่าเราจะไปหา ฮยอนบีก็ด้วย ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าพบ”
“เพคะฝ่าบาท”
“ฮยอนบี เมื่อกลับถึงยังตำหนักแล้วก็อย่าได้ทำเสียงดังในวังหลวงอีกล่ะ”
“เพคะ”
ออมฮยอนบีปิดปากเงียบมาตลอดด้วยเพราะกลัวจะถูกสะเก็ดไฟจากฝ่าบาทกระเด็นใส่หากเข้าข้างฮยอนควีบี ขณะค้อมคำนับ นางก็รู้สึกขอบคุณที่ตนเองไม่ถูกตำหนิอะไร ก่อนจะก้าวออกจากตำหนักฮงฮวา ไม่นานฮยอนควีบีก็ตามออกไป
จากนั้นจาฮอนก็ยกมือโบกไล่เหล่านางกำนัล ขันทีและองครักษ์ออกไปให้หมด
ทุกคนทยอยกันออกจากตำหนักตามพระบัญชาของฝ่าบาท และทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็ดึงโซกังเข้ามากอด จนร่างบางตกใจกะพริบตาปริบๆ ถึงสองคราภายในอ้อมกอดอบอุ่น ทว่าไม่นานก็ยิ้มอ่อนหวานพร้อมยกมือกอดตอบ
“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเผชิญเรื่องราวเช่นนี้”
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เป็นอันใดเลยสักนิด ท่านจาฮอน”
โซกังเอ่ยนามของฝ่าบาทอย่างแผ่วเบา ด้วยเพราะรู้ดีว่าหากตนเอ่ยเรียกเช่นนี้ อีกฝ่ายก็จะคลายอารมณ์ขุ่นเคืองได้ทันที อีกทั้งยังชมชอบให้เอ่ยเรียกชื่อถึงขนาดสั่งให้เรียกซ้ำด้วย
ดังนั้น จึงคิดว่าครั้งนี้เองก็คงจะได้ผลเช่นกัน และความคิดของโซกังก็ถูกต้อง เพราะจาฮอนหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะประทับจูบลงบนใบหูของโซกังพลางลูบปลอบบนแผ่นหลัง