โซกังทานขนมยักกวาไปได้สองชิ้น ก็รู้สึกว่ามีที่คนอยู่หน้าประตู
“ฝ่าบาท โซอีมามา คิมซังกุงและนางกำนัลมาแล้วเพคะ”
“ให้เข้ามา”
หลังจบเสียงตอบรับ ประตูก็เปิดออก โดยมีคิมซังกุงและนางกำนัลห้าคนเดินเข้ามาด้านใน คิมซังกุงให้เหล่านางกำนัลคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะคุกเข่าตามแล้วคำนับรายงาน
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท”
“ข้าได้ฟังเรื่องที่เกิดแล้ว”
“เพคะ หม่อมฉันนำตัวผู้ที่กล่าวถึงข่าวลือเลวร้ายเกี่ยวกับโซอีมามา มาทั้งหมดแล้วเพคะ”
“รอเดี๋ยว”
ฝ่าบาทยกมือขึ้นห้ามคำพูดของคิมซังกุงพลางส่งสายตาไปทางโซกัง ร่างบางจึงยกยิ้มให้ ค้อมศีรษะกล่าวลาแล้วเดินออกไปด้านนอก โดยมีขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกสองคนและนางกำนัลอีกสองคน แบ่งกันเดินติดตามทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เมื่อโซกังเดินออกไปไกลแล้ว จาฮอนจึงนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเย็นชาและเปิดปากไถ่ถาม น้ำเสียงนั้นทำเอาร่างกายของเหล่านางกำนัลสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ลองกล่าวมาสิว่าเป็นข่าวลือเช่นไร”
“กราบทูลฝ่าบาท ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เป็นเพียงเรื่องที่ได้ยินพวกเด็กๆ พูด เอ่อ…”
“ข้าสั่งให้เล่าตามที่เจ้าได้ยินมา”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันสมควรตายเพคะ!”
“เช่นนั้นก็คงต้องตาย”
คำตรัสเย็นชาทำให้นางกำนัลพากันโขกศีรษะกับพื้นพร้อมขอให้ไว้ชีวิต ร่างสูงแสดงสีหน้าโหดเ**้ยม ขณะเปิดปากอีกครั้ง
“หากไม่ยอมพูดออกมาดีๆ ข้าจะทำให้หัวเจ้าหลุดจากบ่าเดี๋ยวนี้”
“ฝ่าบาท โปรดทรงเมตตาด้วยเถิดเพคะ”
“น่ารำคาญจริง คิมซังกุง เจ้าพูดมา”
คิมซังกุงจึงรายงานสิ่งที่เหล่านางกำนัลตัวสั่นเทาทั้งหลายแจ้งแก่ตนให้ฝ่าบาทรับฟังไปตามตรง
แม้ว่ายูโซอีจะเป็นบุตรหลานในตระกูลขุนนาง ทว่ากลับมีพฤติกรรมมักมากในกาม จนมีข่าวลือเรื่องชู้สาวกับศิษย์ในสำนักเดียวกันตั้งแต่สมัยก่อน พอตกต่ำจนกลายเป็นทาสหลวง ก็ชื่นชอบการเสพสมกับเหล่าทาสหลวงไปทั่วทุกค่ำคืนและเพลิดเพลินกับการอาบน้ำยามดึกดื่น อีกทั้งทำให้ฝ่าบาทลุ่มหลงด้วยวิธีชั่วช้าร้ายกาจ กระทั่งได้ร่วมหลับนอนจนถึงได้เข้าสู่วังหลวง แต่นั่นยังไม่เป็นที่พึงพอใจ เพราะในยามกลางวัน ยูโซอียังเรียกหาขันทีเข้ามาพร้อมกันหลายๆ คนแล้วเสพสุขในรสกาม ฝ่าบาทไม่รับรู้ถึงเรื่องนั้นและยังหลงใหลในรูปโฉมอีกฝ่ายจนไม่ฟังคำทัดทานใดๆ
เมื่อกล่าวจบ คิมซังกุงก็ค้อมศีรษะลง จาฮอนวาดรอยยิ้มบางบนริมฝีปากตลอดการรับฟังเรื่องราว จ้องมองเหล่านางกำนัลที่ตัวสั่นพากันก้มหน้าจนหน้าผากแนบติดพื้น
คิมซังกุงเหลือบสายตาขึ้นมอง แต่ก็ต้องหลุบสายตาลงต่ำเช่นเดิมพลางกลืนน้ำลายลงคอ แล้วปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ
นางได้เห็นฝ่าบาทมาตั้งแต่ก่อนพระองค์จะขึ้นครองราชย์ ทว่าไม่คุ้นชินกับสีหน้าเช่นนี้เลยสักนิด พระพักตร์ยิ้มแย้มอยู่ก็จริง แต่กลับน่ากลัวจนพาลให้ขนลุกชัน เป็นสีหน้าที่ทำให้รู้สึกคล้ายมีดาบมาจ่ออยู่ด้านหลัง
“พวกเจ้าช่างขวัญกล้านักที่กล่าวเช่นนั้น”
น้ำเสียงของจาฮอนกดต่ำและเชื่องช้า สัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่กดเอาไว้
เหล่านางกำลังไม่กล้าเอ่ยปากออกมาสักคำเดียว หากร้องขอให้พระองค์ไว้ชีวิตหรือบอกว่าตนผิดไปแล้ว คงต้องตายด้วยน้ำมือของฝ่าบาทเป็นแน่แท้ ด้วยความกลัวทำให้หลงลืมคำพูดไปหมดสิ้น
อีกด้านหนึ่ง จาฮอนเฝ้าคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าตำหนักฮงฮวาเป็นที่พำนักของโซกัง จึงไม่อาจให้คนรักหลับพักผ่อนในสถานที่เปื้อนเลือดของผู้อื่นได้ แม้เขาจะอยากตัดหัวของพวกนางเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ พยายามสูดหายใจเข้าลึกอยู่หลายคราก่อนจะเอ่ยปากออกมาช้าๆ
“คิมซังกุงพาพวกนางไปยังตำหนักคอนรยุง ขันทีโชรออยู่แล้ว ไปที่นั่นแล้วให้พวกนางชี้ตัวผู้ปล่อยข่าวลือนั่นเสีย และให้พวกมันชี้ตัวผู้ปล่อยข่าวอีกครา จนกว่าจะค้นหาผู้ปล่อยข่าวคนแรกได้ จากนั้นนำตัวมามันมาให้เรา ไม่เช่นนั้นแล้ว คิมซังกุง ตัวเจ้าผู้รับผิดชอบดูแลพวกนางก็ต้องรับผิดชอบด้วย เข้าใจหรือไม่”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
“ออกไปได้แล้ว”
“เพคะฝ่าบาท”
จากนั้นคิมซังกุงก็นำพวกนางกำนัลออกจากตำหนักฮงฮวา จาฮอนดื่มชาเย็นชืดเพื่อบรรเทาความรู้สึกภายในพลางมองไปทางคันฉ่อง ฝึกขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าอดกลั้นความโกรธให้กลายเป็นยิ้มแย้มอยู่หลายครา จนกระทั่งใบหน้าละม้ายคล้ายกับยามเพิ่งมาถึงตำหนักฮงฮวาถึงยอมลุกขึ้น
เมื่อก้าวเดินออกไปด้านนอกก็ได้พบกับโซกัง แม้พื้นที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ทว่าด้านหนึ่งกลับเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้อย่างงดงาม จาฮอนเดินเนิบนาบไปหาอีกฝ่ายที่กำลังมองดูดอกไม้สีส้มอยู่
“แดดไม่ร้อนหรืออย่างไรกัน”
“อุ่นสบายดี ไม่ร้อนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แดดทำให้อุ่นสบายดีอย่างนั้นหรือ แสงแดดช่างบังอาจนัก ทำให้คนของข้ากล่าวเช่นนี้ได้”
“ฝ่าบาทล่ะก็… จะมีแสงแดดใดอบอุ่นกว่าฝ่าบาทได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาสบตากับโซกังก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอย่างอ่อนโยน จาฮอนเผลอหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าในแววตาคู่สวยยังคงมีร่องรอยความไม่สบายใจอยู่ แต่เขาก็แกล้งทำไม่รับรู้แล้วเลือกสัมผัสปรางแก้มของโซกังอย่างนุ่มนวล ค่อยๆ ปัดเกลี่ยปัดปอยผมร่วงหล่น
“เหมือนจะถูกต้องอยู่อย่างหนึ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็ที่เขาว่าข้าหลงใหลในตัวเจ้าอย่างไม่อาจถอนตัวได้อย่างไรเล่า”
เมื่อบรรยากาศระหว่างทั้งคู่กลายเป็นเช่นนี้ เหล่านางกำนัลและเหล่าขันทีจึงพากันถอยห่างออกไป บ้างก็หันหลังกลับ
เวลานั้น จาฮอนก็ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของโซกังขึ้นแล้วแนบประทับริมฝีปาก ลิ้นชื้นไล้เลียภายในโพรงปากอย่างอ่อนโยน โซกังเองก็ยกแขนขึ้นโอบลำคอกลับพร้อมส่งเสียงครางหวาน
การจุมพิตกับอีกฝ่ายเป็นหนึ่งสิ่งที่ยิ่งทำยิ่งรู้สึกดี หยาดน้ำลายรสหวานและการขยับของเรียวลิ้นจุดไฟปรารถนา ลมหายใจหอบกระชั้นเสียจนสติหลุดลอย เสียงครางหวานผสมกับเสียงลมหายดังออกมาจากตัวโซกัง จาฮอนสัมผัสไล้เลียตามแนวฟันและเหงือก ครูดผ่านเพดานปากอย่างคล่องแคล่ว ลิ้นของทั้งคู่พัวพันกันอย่างไม่ลดละ
“ฮืออ อึก อื้ม”
เสียงครางหวานล้ำแว่วมาให้ได้ยินเมื่อถูกดูดดึงเรียวลิ้นอย่างแรง ร่างสูงใช้ฟันขบกัดริมฝีปากอีกคนก่อนจะผละออกมา ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจัดพลางหลุบสายตาลงหอบหายใจถี่ จาฮอนบีบขยำบั้นท้ายนิ่มพร้อมกระซิบข้างหู
“ข้าจะไปจัดการกับผู้ที่บังอาจกล่าวหาเจ้าด้วยคำพูดไร้สาระนั่น ทั้งๆ ที่เจ้ามีเพียงข้าคนเดียว แล้วจะกลับมาอีกครา ระหว่างนี้เจ้าก็คอยคิดถึงข้าก็พอ เข้าใจหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ไม่สิ ท่านจาฮอน”
คำตอบจากปากของโซกัง ทำให้เขาต้องประทับจูบลงไปอีกรอบ
หลังจากเฝ้ามองร่างบางเดินกลับเข้าไปในตำหนักฮงฮวา อันเป็นที่พำนักของอีกฝ่าย จาฮอนก็เร่งฝีเท้าตรงไปยังตำหนักคอนรยุงทันทีด้วยเรื่องนั้น แน่นอนว่าไม่สามารถมองเห็นความสดใสเฉกเช่นยามอยู่กับโซกังได้อีก
สีหน้าเปี่ยมด้วยความเย็นชาและกรุ่นโกรธเข้ามาแทนที่ความสดใส เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างเรียงแถวก้าวติดตาม โดยเว้นระห่างจากฝ่าบาทที่มีพระพักตร์เครียดขึงมากกว่าปกติประมาณหนึ่ง
เมื่อผ่านตำหนักฮงฮวามาจนถึงตำหนักคอนรยุง จาฮอนก็สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเก็บอารมณ์คุกรุ่นตั้งแต่เมื่อครู่ ด้านหน้าตำหนักมีนางกำนัลกับขันทีจำนวนมากยืนอยู่ โดยรอบมีเหล่าทหารหลวงยืนล้อม และเหล่าองครักษ์ยืนคั่นอยู่เพื่อคอยควบคุมคนเหล่านั้นอีกที
ขันทีโชค้อมคำนับทันทีที่เห็นฝ่าบาทปรากฎกาย จากนั้นก็แจ้งแก่ผู้คนมากมายที่รวมตัวอยู่หน้าตำหนักคอนรยุงว่าฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว ทุกคนจึงพากันคุกเข่าและค้อมศีรษะลงคำนับ เหล่าขันทีผู้ติดตามด้านหลังฝ่าบาทตั้งใจว่าจะไม่เข้ารบกวนสถานการณ์ตึงเครียดนี้ จึงนำเก้าอี้ออกมาตระเตรียมอย่างเงียบเชียบกว่าปกติ
องค์จักรพรรดิประทับลงบนเก้าอี้ เท้าข้อศอกกับที่พักแขน นั่งเอนกายแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ไต่สวนถึงที่ใดแล้ว”
“ถึงนางกำนัลห้องเครื่องและขันทีขั้นวอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ไต่สวนต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ระหว่างฝ่าบาทเฝ้าดูอยู่ ขันทีโชและคิมซังกุงก็พากันวิ่งวุ่น เริ่มจากหัวหน้าขันทีและนางกำนัลปรุงยาสำนักหมอหลวง ขันทีและนางกำนัลขั้นดา ขันทีและนางกำนัลขั้นอน ขันทีขั้นเซและนางกำนัลซังวอน ขันทีและนางกำนัลขั้นแชก เป็นต้น ผู้คนมากมายล้วนถูกไต่ถามด้วยคำถามเดียวกัน
‘ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับโซอีมามา มาจากผู้ใด’