“นอกจากข่าวลือเสียหายแล้ว ก็ยังมีข่าวลืออื่นอีกด้วย เหตุใดเจ้ากลับไม่ยกมาพูด หวังแต่อำนาจของฝ่ายตัวเอง ยามส่งบุตรสาวเข้ามาไม่ได้คิดเลยหรือว่าจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากเรา?”
จาฮอนปักมีดลงบนอกอีกฝ่ายด้วยคำกล่าวเจือความไม่พอใจ ขุนนางผู้นั้นจึงไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก เพียงแค่คุกเข่าอยู่เช่นนั้น เขาเดาะลิ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“จงกลับไปที่ของเจ้าเสีย หากขุนนางผู้อื่นยังคิดจะกล่าวเช่นเดียวกันแล้วล่ะก็ เราก็ไม่คิดจะฟังอีกต่อไป”
“ฝ่าบาท หากจะให้ราชบัลลังก์มั่นคง ต้องทรงใกล้ชิดสตรี ไม่ใช่บุรุษต้อยต่ำไร้หัวนอนปลายเท้าของฝ่ายซอนนะพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดเหยียดหยามหลุดออกมาจากปากของขุนนางผู้นั้นด้วยบันดาลโทสะ ช่างบังอาจนัก ณ ตำหนักฮวังรยงแห่งนี้ต่อหน้าพระพักตร์ กลับกล่าวว่าร้ายสนมขององค์จักรพรรดิ ริมฝีปากของจาฮอนเม้มแน่นหลังได้ยินคำพูดนั้น ทันใดนั้นก็ได้เขวี้ยงถ้วยชาบนโต๊ะออกไป จนน้ำชาสาดกระจายไปทั่ว ส่วนถ้วยก้ลอยไปตกแตกตรงปลายเท้าของอีกฝ่าย
“ระวังคำพูดของเจ้าด้วย! เราบอกแล้วว่าเขาคือคนรักของเรา! อยากถูกโบยหรืออย่างไร!”
“ฝะ ฝ่าบาท! กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ ด้วยความโง่เขลากระหม่อมจึงเอ่ยวาจาไม่สมควร”
ขุนนางผู้นั้นคุกเข่าลงเหนือถ้วยชาแตกเป็นเสี่ยง หลังถูกฝ่าบาทตำหนิก็ก้มหน้าลงแนบกับพื้น เหล่าขุนนางผู้อื่นต่างก็พากันคุกเข่าลงทั้งหมด ทหารหลวงและหน่วยฮวังรยงที่ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิ อีกทั้งด้วยกฎห้ามครอบครองกำลังพล ทำให้กำลังของเหล่าขุนนางอ่อนแอและอำนาจของฝ่าบาทก็แข็งแกร่ง
ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ เสนาบดีทั้งหมดจึงคุกเข่าลงและเอ่ยขอให้พระองค์ทรงคลายโทสะ
จาฮอนพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ให้ใจเย็นลงก่อนจะตรัส
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“จงระวังไว้ให้ดี วันนี้พอเท่านี้”
จากนั้นก็ลุกจากบัลลังก์ที่ประทับ ก้าวลงบันไดแล้วเดินออกจากตำหนักฮวังรยง เมื่อเดินออกมาถึงนอกประตูอุนจอง เขาจึงทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรับสั่งต่อขันทีโช
“ไปตำหนักฮงฮวา”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีโชส่งขันทีผู้หนึ่งในบรรดาผู้ติดตามให้ล่วงหน้าไปยังตำหนักฮงฮวาก่อน ขันทีผู้นั้นจึงก้าวเท้ารีบเร่งนำหน้าฝ่าบาทไป
ผ้าแพรและดอกไม้ที่ส่งไปให้วันนี้จะถูกใจหรือไม่ ยามได้ยินรับสั่งที่ให้ถ่ายทอดไปแล้วจะคิดอย่างไร จะขอของขวัญอันใดกัน
ร่างสูงขบคิดเช่นนั้น ต่างจากยามประทับอยู่ในตำหนักฮวังรยงก่อนหน้านี้ เพราะเวลานี้ฝ่าบาทกลับยิ้มสดใสเสียจนทำให้ใจของสตรีทั้งหลายสั่นคลอน ความขุ่นเคืองจากตำหนักฮวังรยงคล้ายหายวับไปในพริบตา
“อยากเจอแล้ว”
หลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ในยามโยแล้วก็ออกจากตำหนักคอนรยุง ทว่ายามนี้ถึงช่วงกลางยามชินแล้ว
เมื่อเห็นเหล่าตุ๊กตาไม้ที่ติดบอกเวลาข้างประตูอุนจอง จาฮอนจึงได้รู้ว่าเป็นเช่นนั้น ผ่านมากว่าห้าชั่วยามแล้วสินะ แต่กลับรู้สึกห่างกันนานแสนนานเหลือเกิน
ตลอดสามวันเขาใช้ข้ออ้างเรื่องร่วมหอหยุดพักงานราชการจากเหล่าขุนนาง ทำตัวติดกับโซกังตลอดทั้งวัน ไม่สวมกระทั่งอาภรณ์ตัวใน อีกทั้งยังเอาแต่เลือกกลิ้งอยู่บนแท่นบรรทม ทว่าก็เหมือนไม่ได้หยุดพัก แต่เรื่องการพักผ่อนของเขากลับกลายเป็นปัญหาขึ้นมา
จาฮอนขบคิดคำพูดของเหล่าขุนนางอย่างละเอียด เพื่อยั่วยุอารมณ์ตนถึงพูดเช่นนั้นออกมา ทว่ากลับมีบางสิ่งผิดแปลกเล็กน้อย เหล่าทาสหลวงในกรมฝ่ายใต้ไม่รู้ว่าโซกังกลายเป็นสนมโซอี ไม่มีใครรู้ว่าฝ่าบาทพาเข้ามาเป็นสนม ไม่ได้ใช้ชื่อโซกัง เขาลงบันทึกด้วยนามว่าโซฮวาแทน ทั้งยังมีคำสั่งแต่งตั้งด้วยชื่อ ยูโซฮวา เหล่าขุนนางเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งสนมจึงไม่มีทางได้เห็นหน้าโซกัง แล้วเหตุใดถึงรู้เรื่องนั้นได้ ทั้งยังบอกชัดว่าเป็นคนของฝ่ายซอนอีก
เขาค่อยๆ ขบคิดช้าๆ ขณะขยับเดินไปยังตำหนักฮงฮวา
อีกด้านหนึ่ง ภายในตำหนักฮงฮวาอันมืดสนิท ด้วยเพราะเหล่านางกำนัลช่วยปลดม่านบังหน้าต่างให้ โซกังจึงไม่ถูกแสงแดดรบกวนและหลับลึกสู่ห้วงนิทรา มีใครบางคนเข้ามาในห้องบรรทมอย่างระมัดระวัง
“โซอีมามา โซอีมามา ฝ่าบาทกำลังเสด็จมาเพคะ”
“ฮืม อื้อ”
“โซอีมามาต้องตื่นแล้วเพคะ”
เป็นมือของนางกำนัลที่ช่วยเขย่าตัวโซกัง ร่างบางพลิกตัวไปมาก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นมาขยี้ดวงตาพลางขยับลุกขึ้นนั่งบนแท่นบรรทม ผ้าห่มร่วงตกจนเผยให้เห็นอาภรณ์ตัวใน นางกำนัลจึงก้มใบหน้าเห่อแดงลงทันที
ผ้าแพรทำอาภรณ์เบาบางจนเห็นผิวเนื้อและร่องรอยที่ฝ่าบาททรงทิ้งไว้บนร่างบอบบาง ประมาณสิบรอยเห็นจะได้ พวกมันปรากฎสู่สายตาของนางกำนัล กระทั่งบริเวณลำคอก็ยังมีอยู่ประปราย
“เอ่อ คือ…โซอีมามา ให้ขันทีมาจัดเครื่องแต่งกาย…”
“ไม่ต้องหรอก เอานํ้าล้างหน้าเข้ามาก็พอ”
“เพคะมามา”
โซกังรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมีทีท่ากระอักกระอ่วน จึงดึงผ้าหุ้มขึ้นมาคลุมตัวด้วยความขัดเขิน ใบหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นก็ลุกจากแท่นบรรทมก้มมองสภาพของตนเองครู่หนึ่ง เมื่อรอยประทับสีแดงราวกับดอกไม้ผลิบานปรากฎสู่สายตา ก็พลันหลุดยิ้มออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้คสามรู้สึกเหมือนเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของยิ่งนัก
โซกังหยิบอาภรณ์ตัวนอกขึ้นมาสวม และนําผ้าแพรสีแดงที่ฝ่าบาทเคยพันให้มาพันรอบลำคอ
นางกำลังยกนํ้าล้างหน้าเข้ามา นำผ้าชุบน้ำจนชุ่มแล้วนำมาเช็ดใบหน้า มือและเท้าให้ หลังจากแต่งแต้มใบหน้าเรียบร้อย เขาจึงให้พวกนางออกจากห้องบรรทม ก่อนจะคลายผ้าพันคอออกแขวนตรงราวเช่นเดิม จากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหน้าประตู
“เข้าไปได้หรือไม่”
เนื่องจากฝ่าบาทไม่ได้แจ้งผ่านนางกำนัล แต่กลับเอ่ยถามออกมาด้วยตนเอง โซกังจึงทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ ลังเลอยู่สักพักถึงตอบกลับว่าเชิญเสด็จเข้ามาได้
เมื่อได้รับคำอนุญาต จาฮอนรอเหล่านางกำนัลเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในทันที เขาเหลือบมองขันทีโชที่ติดตามมาด้วยตลอดแล้วออกคำสั่ง
“ไปที่ห้องเครื่อง สั่งให้ยกฮวังชากับขนมฮวันบยอง[1]มา แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเข้ามาอีก”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีโชค้อมศีรษะพร้อมเอ่ยรับ ภายในหัวสับสนว้าวุ่นไปหมดจึงก้มนานกว่าปกติ หลังจากโซอีมามาเข้ามาอยู่ในวัง ตนก็มักจะถูกฝ่าบาทไล่ออกมาก่อนเสมอจนได้กลับไปเรือนเร็วขึ้น มันก็นับเป็นเรื่องดี แต่อีกใจก็รู้สึกเศร้าเช่นกัน ด้วยเพราะตั้งแต่ทรงรับตำแหน่งรัชทายาทจนมาถึงเวลานี้ ตัวเขานับเป็นผู้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทมากที่สุด แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แล้ว
พระหัตถ์ของฝ่าบาทแตะลงบนไหล่ราวกับเข้าใจความรู้สึก ก่อนจะตบมาสองครั้งแล้วผละออก ตามด้วยเสียงกระซิบดังมาให้ได้ยิน
“อีกไม่นานเจ้าจะต้องมีเรื่องให้ออกแรงอีกมาก รีบไปพักเสียเถิด”
ท้ายประโยคนั้นทำให้คิดถึงคำตรัสที่ตำหนักฮวังรยง ใบหน้าของขันทีโชไม่ได้เผยความรู้สึกใดๆ แต่ก็คาดเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรในภายภาคหน้า ที่ทรงรับสั่งเช่นนั้นก็เพื่อเผยเจตนาแท้จริงให้ขบคิดได้ทัน ขันทีโชขบคิดคำนึงอย่างรอบคอบ ขณะขยับก้าวเท้าอย่างรีบเร่ง
เมื่ออยู่เพียงลำพังแล้ว จาฮอนก็รีบขยับเข้าหาโซกังแล้วคว้าช่วงเอวบาง โซกังคิดว่าคงจะถูกจุมพิตเป็นแน่จึงหลับตาลง ด้วยรู้สึกขลาดเขินหากริมฝีปากสัมผัสกันทั้งๆ ที่ยังคงประสานสายตา แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้เมื่อคิดถึงยามจูบ ก็ไม่เคยมีคราใดที่ตนลืมตาเลย ร่างบางหลับตาและเชิดคางขึ้น แต่กลับไม่รู้สึกถึงสัมผัสเปียกชื้นบนริมปีปาก กลับเป็นลมหายใจอุ่นร้อนรินรดต้นคอให้จั๊กจี้แทน เพราะจาฮอนดึงรั้งโซกังมากอดและซุกหน้ากับต้นคอ
เขาฝังจมูกและสูดหายใจเข้าลึก ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองผู้เดียวหรือไม่ แต่กลิ่นกายของโซกังช่างคล้ายคลึงกับกลิ่นดอกไม้ยิ่งนัก และเมื่อได้สัมผัส จิตใจก็พลันผ่อนคลายทันที ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจนัก ไม่มีผู้ใดสักคนเดียวที่ทำให้รู้สึกสบายใจได้เช่นนี้ เป็นความสบายใจที่กระทั่งบุพการีทั้งสองก็ยังทำให้ไม่ได้
นอกเหนือจากการศึกษาแล้ว ก็ไม่มีสตรีหรือบุรุษใดดึงดูดใจเขา ไม่มีผู้ใดเหมาะสมพอจะมอบใจให้ได้ ยูโซกังเป็นคนแรก อีกฝ่ายทำให้ตนได้เข้าใจความรู้สึกว่าการถูกใครสักคนดึงดูดเป็นอย่างไร ทำให้เข้าใจความรู้สึกของการมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะโซกัง ถึงสามารถตระหนักถึงความรักใคร่กระทั่งเส้นขนของผู้อื่นเช่นนี้
จาฮอนสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น สูดเอากลิ่นกายคล้ายดอกไม้นั่นจนมันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมหวาน จนถึงกับต้องกลืนนํ้าลาย โซกังหอมหวานอย่างไม่มีสิ้นสุดสำหรับเขา ท้ายที่สุดแล้วจาฮอนก็ไม่อาจอดทนได้ จึงไล้เลียต้นคออีกฝ่ายด้วยลิ้นและใช้ฟันงับลงไปเบาๆ
“อ๊ะ! ฝ่าบาท”
การกระทำเช่นนั้นทิ้งรอยแดงไว้บนผิวกาย อีกทั้งยังทำให้หวามไหว ในบรรดาตำรามากมายที่เคยศึกษา ไม่มีปรากฎอยู่เลย เพียงบอกว่าต้องจัดการอารมณ์ปรารถนาอันเป็นความตํ่าช้า และต้องคงสติให้มั่นเท่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสด้วยตนเอง โซกังพยายามกดความรู้สึกที่พัดกระหน่ำภายในใจ และเพราะอดทนจึงตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย เขาพาดแขนโอบรอลำคอแกร่ง สัมผัสเส้นผมของอีกคนที่ปัดป่ายผิวเนื้ออ่อนตรงต้นคอ
“อา อื้อ”
เสียงครางที่ไม่อาจห้ามหลุดรอดออกมา ทั้งยังบิดสะโพกเร่าด้วยความจั๊กจี้ตรงช่วงเอว จาฮอนขบย้ำลงบนรอยดอกไม้สีแดงตรงต้นคออย่างละโมบ และไล้เลียตรงด้วยลิ้นชื้น เสียงครางของโซกังทำให้ช่วงล่างตื่นตัวอย่างเต็มที่ ร่างสูงจับขยำบั้นท้ายอิ่ม บีบนวดลงไปเบาๆ พร้อมกับสบตากับอีกฝ่าย
“คงต้องตีก้นเสียแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงหมายความว่าอะไรกัน”
“เด็กไม่เชื่อฟัง ต้องถูกตีก้นเป็นการสั่งสอนมิใช่หรือ”
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่จู่ๆ จะถูกตีก้นอย่างกะทันหันเสียอย่างนั้น ดวงตาของโซกังจึงเบิกโตและส่ายหน้าปฏิเสธทันที ทว่าจาฮอนยังคงจ้องมองด้วยแววตามุ่งมั่น สิ่งใดคือไม่เชื่อฟังกัน ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาจับผิด สุดท้ายเจ้าของใบหน้าหวานจึงแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา
“กระหม่อมไม่รู้ว่าทำอะไรผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เวลาอยู่กันสองคน ข้าให้เจ้าเรียกว่าฝ่าบาทหรือ”
“อา…”
“เช่นนี้คงตีก้นได้แล้วสินะ”
[1] ขนมฮวันบยอง ขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งทอดชุบด้วยน้ำผึ้งและโรยงา