ในเวลาเดียวกัน องค์จักรพรรดิก็กำลังรับฟังคำบ่นของขันทีโช ระหว่างเดินอยู่ในอุทยานด้านหลังของตำหนักคอนรยุง
“ฝ่าบาทจะเสด็จไปหาโซอีมามาที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว ทางประตูด้านหลังตำหนักเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จะไปทางใด อย่างไรเสียปลายทางก็คือไปหาเขาอยู่ดี เจ้าจะซักไซ้อะไรนัก แล้วเรื่องสำรับ สั่งการไปทางนั้นเรียบร้อยแล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ดีแล้ว”
จาฮอนไม่ต้องการเดินอ้อมไปไกลทางประตูหน้า จึงเดินลัดผ่านอุทยานไปทางประตูหลังของตำหนักฮงฮวาแทน ด้วยรู้สึกเสียดายเวลาที่ต้องเดินอ้อมไกลเช่นนั้น
เขาบอกกับตนเองว่าการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผล ‘สิ้นเปลืองเวลา’ ทว่าในสายตาของขันทีโชแล้ว กลับเห็นเป็นท่าทีของบุรุษผู้หนึ่งที่ออกวิ่งอย่างรีบร้อนเพราะต้องการพบสตรีคนรักโดยเร็วไม่มีผิดเพี้ยน
แน่นอนว่าแม้จะรับรู้ แต่วาจาเช่นนั้นก็ไม่ได้หลุดออกจากปาก โดยปกติขันทีที่คอยอยู่ข้างกายฝ่าบาท ย่อมไม่มีปากไม่มีหู ขันทีโชจึงทำเพียงก้าวเร็วๆ ตามหลังขององค์จักรพรรดิไปทางตำหนักฮงฮวาเท่านั้น
เมื่อจาฮอนมาถึงด้านหน้าประตูหลังของตำหนักฮงฮวาและก้าวเข้าไปด้านใน เขาก็โบกมือเล็กน้อยเมื่อทหารยามเฝ้าประตูค้อมคำนับหลังเปิดประตูให้ ผู้เป็นทหารยามทราบความหมายของท่าทางเช่นนั้นจึงปิดประตูลงแล้วคล้องกุญแจจากด้านนอก
ภายในตำหนักฮงฮวาประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสันอย่างงดงามและสดใส แม้จะเป็นตำหนักที่ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน แต่ด้วยไม่รู้ว่าจะมีใครเข้ามาในยามใดบ้าง เหล่านางกำนัลจึงตกแต่งปัดกวาดอยู่เสมอ ทว่าจาฮอนกลับก้าวเดินโดยไม่หยุดชะงัก เหมือนไม่คิดจะชื่นชมดอกไม้เหล่านั้นเลย
ย่างก้าวของฝ่าบาททำให้เหล่านางกำนัลผู้ดูแลสนมโซอีต่างหลบหลีกทางพลางค้อมคำนับ และนางกำนัลที่คอยเฝ้าหน้าประตูก็ทำการเปิดประตูออก
ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกจนครบ จาฮอนก็แหวกม่านห้อยระย้าหน้าประตูออกด้วยตนเองแล้วก้าวเข้าไปด้านใน แต่ครานี้ขันทีโชไม่ได้ก้าวตาม ทำเพียงค้อมคำนับอยู่หน้าประตู
“หากล่วงเข้ายามแฮ[1] กระหม่อมจะทูลแจ้งให้ทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”
มองเห็นอย่างเลือนรางว่าฝ่าบาทผงกศีรษะรับเล็กน้อยผ่านม่านห้อยระย้าที่กลับคืนสู่สภาพเดิม ขันทีโชจึงถอยไปยืนด้านหลัง จากนั้นเหล่านางกำนัลก็ทำการปิดประตูทันที ทว่าประตูจะถูกปิดหรือไม่ สายตาของจาฮอนก็จับจ้องอยู่ที่เดียว โดยไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลังเลยสักครั้ง แต่พูดว่าทำไม่ได้เช่นนั้นน่าจะถูกต้องกว่า
เพราะสายตาของเขาถูกร่างบอบบางบนแท่นบรรทมสะกดเอาไว้ ก่อนอีกฝ่ายจะลุกขึ้นมาคุกเข่าค้อมคำนับเบื้องหน้า
อันที่จริงช่วงก่อนหน้านี้ เขาต้องพบเจอเหล่าขุนนาง ไหนจะจัดการรับและตรวจดูฎีกาทั้งหลาย ยุ่งเสียจนไม่ได้มาหาโซกังเลย แม้จะส่งผ้าแพร เครื่องประดับ รวมถึงดอกไม้ให้ทุกๆ วัน แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาหาหลังจากพิธีอภิเษก ยามอภิเษกก็มีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวคลุมศีรษะเอาไว้ จึงไม่ได้เห็นใบหน้าหวานที่ได้รับประทินโฉม และหลังพิธีอภิเษกเพื่อให้ได้ร่วมหอโดยเร็วจึงเลี่ยงธรรมเนียมการร่วมแท่นบรรทม
จะอย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้เขาเห็นหน้าโซกังเต็มๆ ตาหลังจบพิธีอภิเษก
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถิด”
วันนี้จาฮอนก็ยังรู้สึกดีเมื่อได้ยินน้ำเสียงไพเราะจนทำให้ใจสงบ รอยยิ้มบางประดับบนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่ถ้อยคำอนุญาตถูกเอ่ยออกมา โซกังจึงขยับตัวลุกขึ้น ทว่าสายตากลับหลุบลงต่ำ ด้วยเพราะใครๆ ต่างก็ทำเช่นนั้น การบังอาจจ้องหน้าองค์จักรพรรดิก่อนได้รับคำอนุญาต นับเป็นเรื่องไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
เขาจ้องมองคนก้มหน้างุดจากทางด้านบนครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเส้นผมปล่อยสยายลงมาอย่างเรียบง่าย ก็คาดเดาได้ว่าเหล่านางกำนัลจะต้องวิ่งวุ่นกันมากเพียงใด เมื่อได้รับแจ้งว่าตนจะมาจากทางอุทยานด้านหลัง
หลังจากแต่งตั้งสนมผู้หนึ่ง ก็ถือเป็นชะตาของนางกำนัลกับขันทีที่จะต้องอยู่ร่วมกับสนมผู้นั้นไปตลอดช่วงชีวิต จึงทำได้เพียงดูแลให้งดงามอีกฝ่ายที่สุดในสายตาของฝ่าบาท ทว่าด้วยอุปนิสัยของยูโซกังแล้ว คงจะไม่ยอมให้ตนถูกประทินโฉมเฉกเช่นสตรี ทรงผมจึงกลายเป็นเช่นนี้ แต่แน่นอนว่ามันถูกใจเขายิ่งนัก และเมื่อสังเกตว่าไม่มีกลิ่นแป้งผัดหน้า ก็ดูเหมือนการคาดเดาของเขาน่าจะถูกต้อง
“เงยหน้าขึ้น”
รับสั่งนั้นทำให้โซกังเงยหน้าขึ้นสบตาโดยไม่มีการตอบรับ ดูท่าริมฝีปากเองก็คงไม่ได้ทาชาดอันใดเช่นกัน แววตาโศกเศร้าคล้ายเปล่าเปลี่ยวก็ยังคงไหลรินอยู่ภายใน ถึงแม้ไม่ได้ทาชาดบนริมฝีปาก ก็ยังคงแดงระเรื่อเหมาะสมกับใบหน้านวลเสียจนไม่อาจละสายตา
“นางกำนัลจากห้องเครื่องได้ยกสำรับเข้ามาเตรียมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะทรงเสวยเลยหรือไม่”
“นี่คือสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้ตลอดเจ็ดวันนี้หรืออย่างไร”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ร่างบางเพียงตอบรับแล้วก็เงียบไปอีกครา
แม้จะไม่ชอบการป่าวประกาศว่าตนถูกรับเข้ามาเป็นสนมชาย ทว่าสุดท้ายก็บังคับแต่งตั้งประทานตำแหน่งให้ และทันทีที่จบพิธีอภิเษก ฝ่าบาทก็ไม่ได้เสด็จย่างกรายมาหาเลย โซกังจึงได้ยินการกระซิบติฉินนินทาของเหล่านางกำนัลที่นำสำรับเข้ามา รวมถึงคำโอดครวญของเหล่านางกำนัลที่ได้รับบัญชามาให้ทำหน้าที่ดูแลตน
‘ฝ่าบาททรงแปรปรวนยิ่งนัก พามาไว้ถึงตำหนักฮงฮวาแต่ก็ไม่เสด็จมา ในไม่ช้าก็คงจะทรงนึกเสียดายที่ประทานตำหนักนี้ให้ ด้วยเพราะยั่วยวนฝ่าบาทบนแท่นบรรทม จึงทรงเห็นเป็นคณิกาเชี่ยวชาญล่ะสิ…’ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องราวเหล่านี้
เรื่องราวซุบซิบนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนได้ยินทั้งสิ้น ทว่าพวกนางซุบซิบกันจากด้านนอก ดังนั้น หากเขากล่าวว่าอะไรออกไป ก็คงจะถูกเรียกว่ามีนิสัยเสแสร้งอีก จึงได้แต่ทนรับฟังเงียบๆ เท่านั้น
โซกังต้องรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นอยู่ตลอดเจ็ดวัน ถึงตนจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกล่าวหาก็ตาม แต่ก็พลันเกิดความรู้สึกน้อยใจ
หากเพียงครอบครองด้วยความสำราญ เมื่อจบสิ้นลงก็จะไม่มาหากันเช่นนี้ เหตุใดถึงจัดพิธีอภิเษกและแต่งตั้งตำแหน่งให้ ทรงทำเพื่ออะไรกัน… แล้วถึงจะแต่งตั้งตำแหน่ง ก็ไม่เสด็จมาอีก ทว่าอย่างไรแล้ว ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของฝ่าบาท ด้วยเหตุนั้น เพียงทาสผู้หนึ่งอย่างตนจะบังอาจกล่าวอะไรได้
ดังนั้น โซกังจึงกดความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ภายใน
จาฮอนไม่มีทางรู้ว่าระหว่างที่ตนไม่ได้มาหามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคล้ายกำลังโกรธอย่างไรบอกไม่ถูก ทั้งการแสดงความเคารพ ทั้งยามสบสายตา ทั้งน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย กระทั่งสีหน้า ดูกระทบกระแทกชอบกล
“งั้นหรือ นั่งลงเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
โซกังรอให้องค์จักรพรรดินั่งลงก่อนแล้วถึงนั่งตาม จากนั้นก็ยกตะเกียบขึ้นคีบอาหารเข้าปากก่อนฝ่าบาทคำหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น จาฮอนก็หัวเราะออกมาราวกับรู้สึกตลกขบขัน
ระหว่างเคี้ยวอาหาร ร่างบางจึงเบือนสายตามาจ้องมองบุรุษที่กำลังหัวเราะตน แม้อยากจะเอ่ยถามว่ามีอะไรน่าขันเช่นนั้นหรือ แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้ทานเพียงแค่โจ๊กหรือไม่ก็อาหารอ่อนๆ มาตลอด จึงใช้เวลาในการเคี้ยวแล้วก็กลืนอาหารนานกว่าแต่ก่อน เพียงแค่เห็นสีหน้าของโซกัง จาฮอนก็รับรู้ได้ว่าอีกคนอยากจะกล่าวอันใด
“หลังจากข้าเข้ามา ถึงเจ้าจะเอาแต่แสดงสีหน้าไม่พอใจแจ่มชัด ทว่าการกระทำกลับน่าเอ็นดูยิ่งนัก ข้าจึงหัวเราะ”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“มิใช่ว่าเจ้ากำลังทดสอบพิษอยู่หรอกหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นเช่นนั้น”
“ช่างน่าเอ็นดู”
“ได้เห็นว่ากระหม่อมกำลังทดสอบพิษ มันกลายเป็นน่าเอ็นดูได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่าทางเจ้าแสดงชัดว่า ข้าไม่ชอบการดื่มยาพิษ จะไม่ให้ข้าเอ็นดูได้อย่างไร”
โซกังดื่มน้ำจิบหนึ่งพลางจ้องมองร่างสูงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
หากเป็นผู้อื่น คงได้ถูกผรุสวาทเสียงดังที่บังอาจใช้สายตาเช่นนั้นจ้องมองฝ่าบาท ทว่าการจ้องมองของโซกังกลับดูงดงาม อาจจะเพราะทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาใดๆ แอบแฝง จาฮอนยอมปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปเช่นนั้น
ร่างบางจึงเอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า
“กระหม่อมได้ยินจากนางกำนัลห้องเครื่องว่า ฝ่าบาทรับสั่งไม่ให้นางกำนัลทดสอบพิษเข้ามา และที่นี่ก็มีเพียงฝ่าบาทกับกระหม่อมเท่านั้น เช่นนั้นผู้ทดสอบพิษจะเป็นใครได้เล่า”
“เราไม่เคยสั่งให้เจ้าทดสอบพิษมิใช่หรือ แต่เจ้าก็ยังทดสอบด้วยตนเองเช่นนี้ อย่างไรก็น่าเอ็นดูและควรชื่นชม”
“จะให้ฝ่าบาทเสวย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทดสอบพิษได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ จัดเตรียมไว้ชุดเดียวเช่นนี้ คงไม่อาจปล่อยให้ทรงเฝ้ามองเพียงตะเกียบอย่างเดียว นั่นจึงเป็นหน้าที่ที่กระหม่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ทันทีที่วาจาของโซกังจบลง จาฮอนก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังกว่าเดิม
ก่อนอีกฝ่ายจะบ่นพึมพำต่อว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียยังจะดีกว่า จนแน่ชัดว่าเจ้าตัวอารมณ์กำลังขุ่นมัว แต่ไม่สามารถกล่าวออกมาตรงๆ จึงได้แต่บ่นพึมพำเช่นนี้
ไม่รู้ว่าไม่สบอารมณ์ด้วยเรื่องใด หากคิดดูแล้ว กระทั่งถึงตอนนี้โซกังก็ไม่ได้แสดง ‘เยื่อใย’ ของความรักออกมา และคงไม่คิดจะแสดงมันออกมาด้วย หากตัดความรู้สึกรักใคร่ออกไปแล้ว สิ่งใดกันที่ทำให้คนเราโผงผางได้ถึงเพียงนี้กันเล่า
[1] ยามแฮ ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม