ในเวลานี้สตรีของวังหลังมีอยู่ทั้งหมดสามคน ได้รับแต่งตั้งเป็นสนมควีบีหนึ่งคน และได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งต่ำกว่านั้นอีกสองคน
สนมฮยอนควีบี สนมยุนซุกบี สนมออมฮยอนบี คือชื่อตำแหน่งรวมกับชื่อสกุลของพวกนาง ทว่าสตรีเหล่านั้นล้วนยังไม่ได้ผ่านพิธีร่วมหอใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากองค์จักรพรรดิทรงเลื่อนวันร่วมหอไปเรื่อยๆ กระทั่งฤกษ์วันร่วมหอที่มีอยู่เพียงไม่กี่วันถูกยกเลิกไป
ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีทางได้ยินข่าวคราวการตั้งครรภ์จากพวกนาง ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนั้น แต่ฝ่าบาทไม่เพียงแค่แต่งตั้งตำแหน่งให้ทาสชายต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้น ยังถึงกับประทานตำหนักฮงฮวาให้อีก ส่งผลให้เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต่างกังวลต่ออนาคตของราชวงศ์ ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น กลุ่มคนที่กังวลเป็นพิเศษคือคนของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ
จาฮอนยอมพบเหล่าขุนนางที่ขอเข้าเฝ้าโดยลำพังตามลำดับจัดแบ่งอย่างเหมาะสม แม้จะสนุกสนาน แต่อย่างไรพวกนั้นก็ล้วนเป็นคนของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการแพคมีกังทั้งหมด
แต่ก็ยินยอมให้เข้าเฝ้าเฉพาะช่วงเว้นว่างจากการทรงงานภายในตำหนักฮงจองเท่านั้น วันนี้เองก็เช่นกัน มีเสียงของขันทีรายงานดังมาจากนอกประตู
“ฝ่าบาท ท่านแม่ทัพมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา”
ทันทีที่ขันทีโชเอ่ยตอบรับแทน ประตูก็เปิดออกพร้อมการปรากฎตัวของแม่ทัพ บุรุษผู้นี้เป็นหลานของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการแพคมีกัง ก่อนตนจะขึ้นครองราชย์ ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดถึงขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพได้ เพราะตามข่าวลือที่ได้ยินมา คนผู้นี้ไม่ได้มีนิสัยเหมาะสมจะยืนในตำแหน่งเหนือผู้คนเช่นนี้
จาฮอนนั่งสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะทรงกลมขายาว โดยมีเข้าของรูปร่างใหญ่โตอย่างแม่ทัพคุกเข่าคำนับเบื้องหน้า
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“นั่งตามสบายแล้วเงยหน้าขึ้นเถิด ข้าไม่ใช้ตำหนักฮวังรยงก็เพราะตั้งใจเช่นนี้”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพจึงลุกขึ้นยืนและนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดห่างจากองค์จักรพรรดิเล็กน้อย จาฮอนทอดสายตาจ้องมองแทนที่จะเอ่ยวาจากับอีกฝ่าย และด้วยฐานะต่ำศักดิ์ แม่ทัพจึงไม่บังอาจกล่าววาจากับฝ่าบาทก่อน จำต้องนั่งทนต่อสายตาน่าอึดอัดใจของพระองค์ต่อ จาฮอนจ้องมองคนตรงหน้าอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มบางๆ แล้วเปล่งเสียงพูดคุย
“ท่านแม่ทัพ ข้าได้อ่านฎีกาที่เจ้าเขียนแล้ว จากที่ได้ยินมาส่วนใหญ่ผู้เป็นทหารแต่กำเนิด มักไม่ค่อยมีพรสวรรค์ในด้านการอ่านเขียน แต่สำนวนการเขียนของเจ้ากลับไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลย”
“ด้วยเป็นเนื้อหาที่เกิดจากความภักดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ภักดีรึ หากพินิจดูแล้ว เจ้าก็นับว่าเป็นคนของจักรพรรดิองค์ก่อน จะว่ามีใจภักดีต่อเราอย่างนั้นหรือ”
“กระหม่อมถวายเพียงความภักดีต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หลังได้ยินคำตอบและจ้องมองอีกฝ่ายค้อมคำนับ รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันลบเลือนไป เมื่อแม่ทัพเห็นองค์จักรพรรดิจับจ้องตนอย่างมาดร้ายและเยือกเย็นจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น
แพคมีกัง ผู้เป็นอาเคยกล่าวว่า ‘จักรพรรดิองค์ปัจจุบันคล้ายคลึงกับปีศาจฮวัล[1] ยิ่งนัก หากรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังแสดงคมเขี้ยวออกมา จงมอบลงเสีย หาไม่แล้วตัวเจ้าจะถูกจับกิน’
ทันทีที่จักรพรรดิยังจาฮอนขึ้นครองราชย์ก็ทำการยึดอำนาจของสามฝ่าย ด้วยดวงตาดุดันทั้งสองข้างที่เพิ่งเปิดปรือขึ้น จนทำให้มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการแพคมีกัง ดำรงอยู่ในตำแหน่งแต่ไร้อำนาจไปตลอดชีวิต แพคมูกิลเชื่อมั่นคำพูดของท่านอาอย่างหนักแน่นจึงสลักวาจานั้นเอาไว้ในใจ
และตอนนี้ แม่ทัพแพคมูกิลก็รู้สึกได้ว่า ‘ตอนนั้น’ ก็หมายถึงเวลานี้
“กระหม่อมภักดีด้วยความจริงใจพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เจ้าตัวไม่รอช้ารีบหมอบลง ก้มตัวต่ำแนบหน้าผากสัมผัสพื้น ด้วยกลัวว่าท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้แล้วอาจจะถูกตวาดใส่ได้
จาฮอนจ้องมองท้ายทอยของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เจ้ารวมรวมคนของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ และตั้งใจจะฟื้นอำนาจของสามฝ่าย คิดว่าเราไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
คำกล่าวนั้นทำให้กายของผู้เป็นแม่ทัพสั่นสะท้าน
พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ทั้งการรวมตัวก็ดำเนินอย่างเป็นความลับที่สุด จดหมายก็รับส่งผ่านคนเหล่านั้น แล้วฝ่าบาททรงทราบได้อย่างไรกัน แม่ทัพรู้สึกเย็นยะเยือกต้นคอคล้ายกังวลว่าพระองค์จะรับสั่งบั่นคอของตนเสียในทันที
จาฮอนมองคนตัวสั่นเทาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น เพียงลองหยั่งเชิงดูเล็กน้อย แต่กลับสั่นไหวดังต้นหลิวต้องลม แล้วจะฝากฝังการใดกับผู้ขลาดเขลาเช่นนี้ได้เล่า ก่อนจะเดาะลิ้นให้ความโง่งมของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ อย่างไรก็ตาม มันอาจไม่ใช่ความโง่เขลา แต่เป็นความไม่ตั้งใจหรือไม่ ก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะเมื่อครั้นจักรพรรดิองค์ก่อน ถึงจะใส่ใจและไม่ระมัดระวังก็หาได้เป็นปัญหาอันใด
ยามนี้เขาไม่เชื่อใจผู้ใดทั้งสิ้น นอกจากหน่วยฮวังรยงและขันทีโช โดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับสามฝ่ายก็ยิ่งแล้วใหญ่ กบฏเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ การฉ้อฉลลับๆ ของฝ่ายมหาเสนาบดีฝ่ายโยธาธิการ และด้วยการยึดครองอำนาจอย่างไม่คิดจะปิดบังของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ
หลังจากขึ้นครองราชย์ ขณะจาฮอนเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของทั้งสามฝ่าย ก็ได้พบบันทึกรายงานการตัดสินโทษ ทว่าบันทึกนั้นกลับน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง จากการก่อกบฏของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ จนถึงการลงโทษประหารมันผิดแปลกอยู่เล็กน้อย
เหล่าทหารรับจ้างรวมตัวกันแน่นหน้าจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ แล้วกล่าวว่าได้รับเงินว่าจ้างจากผู้ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย ทว่าไม่มีใครหาตัวคนผู้นี้ที่กล่าวอ้างว่าอยู่ใต้บังคับบัญชาของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการพบเลย สุดท้ายจึงบันทึกไว้ว่าไม่อาจหาตัวต้นเหตุพบ แม้จะเป็นไปได้ว่าอาจถูกกำจัดทิ้งหลังจบหน้าที่ แต่มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการทีเขารู้จักหาใช่คนเช่นนั้นไม่ และไม่มีทางที่จะวางแผนก่ากบฎด้วยตัวเองเด็ดขาด
ทว่าก็ได้แต่มองข้ามความเข้าใจนั้นไป แต่อย่างไรบันทึกรายงานการตัดสินโทษฉบับนี้กลับผิดแปลกเสียจนไม่อาจปล่อยผ่าน
เดิมทีบันทึกการตัดสินโทษมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้มีผู้ใดได้รับความอยุติธรรม จากการถูกบิดเบือนความผิด จึงต้องมีการฟังคำให้การของพยานมากกว่าสามคนขึ้นไป และต้องให้โอกาสนักโทษได้แก้ต่างเกี่ยวกับคำให้การของพยานคนนั้นๆ รวมถึงต้องรอเวลาให้กรมอาญาค้นหาคัดแยกหลักฐานอย่างถี่ถ้วนมากที่สุด ดังนั้น อย่างน้อยประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะสามารถดำเนินการตัดสินโทษได้
แต่เมื่อดูบันทึกการตัดสินโทษเกี่ยวกับการก่อกบฏของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการแล้ว มันเสร็จสิ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยผู้เป็นพยานก็มีเพียงขุนนางกรมราชเลขา ยูจินมยองเพียงผู้เดียวเท่านั้น และไม่มีบันทึกเกี่ยวกับหลักฐานใดๆ เพิ่มเติมด้วย
ผู้รับรองการตัดสินโทษคือมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ แพคมีกัง ผู้ได้รับมอบอำนาจจากจักรพรรดิองค์ก่อน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะต้องการจบการตัดสินโทษนี้โดยเร็ว
หลังจากได้เห็นสิ่งนั้น จาฮอนจึงเริ่มสืบค้นเรื่องราวเกี่ยวกับการก่อกบฏคราวนั้นอย่างระมัดระวัง ทั้งขั้นตอนการตัดสินโทษ จนถึงการตัดสินประหาร ระหว่างนั้นก็เข้าใจการเคลื่อนไหวของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการและพรรคพวก
จาฮอนสืบทราบกระทั่งพรรคพวกที่มาเข้าร่วมกับอีกฝ่าย เพราะหลังจากจบสิ้นคดีการก่อกบฏของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ คนเหล่านั้นล้วนมีทรัพย์สินทั้งมากน้อยเพิ่มพูน หรือไม่ก็ได้เลื่อนตำแหน่งทั้งสิ้น
เท่านี้ก็เพียงพอให้คาดเดาได้แล้ว คดีการก่อกบฏนั้นอาจจะเป็นการใส่ร้ายป้ายสี
จาฮอนและมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการมีความสัมพันธ์ค่อนข้างสนิทสนมกัน เขาขอคำปรึกษามากมายเกี่ยวกับการคลังของอาณาจักร และการเมืองการปกครองต่างๆ จากอีกฝ่ายตลอด ยามทราบว่ามหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการก่อกบฏ เขาก็ได้รับความกระทบกระเทือนใจไม่น้อยและรู้สึกว่าถูกทรยศ ทว่าหากเป็นการใส่ร้าย หากไม่ได้เป็นกบฏจริงๆ แล้วล่ะก็
เขาจะช่วยคืนเกียรติยศของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ
และโซกังก็จะเข้ามาอยู่ในกำมือเขา
เป็นการพบเจอกันด้วยความบังเอิญอย่างยิ่ง ก่อนจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วยูโซกังคือผู้ใด ตนก็ถูกดึงดูดอย่างน่าประหลาด เขายังคงไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเช่นนี้คืออันใด แต่เมื่อมองโซกัง ความปรารถนา ความต้องการมักจะล้นทะลักออกมาเสียอย่างนั้น และไม่อาจจะรับมือกับความหวั่นไหวนั้นได้เลย
แม้จะครอบครองด้วยการบังคับ แต่อีกฝ่ายก็นับเป็นดอกไม้ที่ใครๆ ก็สามารถเชยชม หนำซ้ำ ยังถูกเชยชมไปแล้วอย่างที่ได้ยินมา อาจจะกลายเป็นปัญหา หากนำมาประดับไว้ในแจกันของตน แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้เขาหนักใจ
จาฮอนอ้างเหตุผลนั้นเพื่อให้ตนได้ครอบครอง
โซกังเคยหมั้นหมายกับโซยง ธิดาของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ ยามเขาวนเวียนมาของคำปรึกษามหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ ก็พอจะได้ยินเรื่องราวที่ว่าจะให้บุตรสาวออกเรือนกับบุตรชายของขุนนางกรมราชเลขายูจินมยองอยู่บ้าง
และหากเป็นเช่นนั้น บันทึกการตัดสินโทษก็นับว่ายิ่งแปลกเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่ายูจินมยองกับมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการเกี่ยวดองกันหรอกหรือ อีกทั้งยังบันทึกไว้ว่ายูโซกัง บุตรชายของยูจินมยองเสียชีวิตในคุกแล้ว
ตอนนี้เขามียูโซกัง ผู้เสียชีวิตในคุกตามคำกล่าวในบันทึกมาอยู่ในอ้อมกอด เพื่อประกาศว่าตนกำลังรักใคร่อีกฝ่าย ยามเข้าพิธีแต่งตั้งถึงได้กระทำการเช่นนั้น แน่นอนว่าหนึ่งเป็นเพราะอีกฝ่ายงดงามอย่างมากจึงเต็มใจมอบจุมพิต และไม่ได้ใช้นามแท้จริง ทว่ากลับใช้นาม ‘โซฮวา’ ที่ตนเป็นผู้ประทานให้ แต่ผู้คนที่รู้จักต่างก็ทราบดีว่า ยูโซกังแห่งเรือนทาสหน่วยสามของกรมฝ่ายใต้หายตัวไป โดยมีองค์จักรพรรดิเป็นผู้พาตัวไป
จาฮอนทำให้แม่ทัพอึดอัดเป็นอย่างมาก ด้วยการปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ถึงค่อยๆ เปิดปากอย่างเนิบนาบ น้ำเสียงทุ้มต่ำ ทว่าเย็นชาคล้ายน้ำค้างแข็งดังผ่านลำคอออกมา
“หากเจ้าไขว่คว้าเพียงอำนาจของตนอยู่ล่ะก็ เราจะช่วยให้เจ้าได้ครอบครองอำนาจนั้นต่อไปเรื่อยๆ”
“ฝ่าบาท”
“หากกำต็อกเอาไว้ทั้งสองมือ แล้วจะถือดาบด้วยมือข้างไหนกันเล่า เจ้าจะต้องเลือก การพูดคุยคงจะจบเพียงเท่านี้”
จบคำของจาฮอน ประตูก็เปิดออกทันทีจนน่าหวาดกลัว ขันทีสองคนที่เป็นผู้เอ่ยรายงานกับทหารหลวงหน้าประตูก็ก้าวเข้ามา
“เชิญลุกขึ้นเถิดขอรับ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของขันที แม่ทัพก็พยายามบังคับอาการสั่นเทาแล้วลุกขึ้นยืน จาฮอนอมยิ้มบางๆ เฉกเช่นยามอีกฝ่ายเข้ามาในตอนแรกราวกับไม่เคยมีเกิดอะไรขึ้น ผู้ต่ำศักดิ์ค้อมคำนับพร้อมทูลลา
“ถ้อยคำอันล้ำค่าของฝ่าบาทผู้เป็นบิดาของราษฎร กระหม่อมจะจดจำให้มั่นพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่แม่ทัพแพคมูกิลออกมาจากตำหนักฮงจอง ก็มุ่งตรงจากวังหลวงไปพบแพคมีกัง มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการผู้มีศักดิ์เป็นอา ด้วยเข้าไปหาช่วงปลายยามยู[2]แล้ว แพคมีกังจึงกำลังรับประทานมื้อเย็นอยู่ แพคมูกิลบอกเล่าอย่างคร่าวๆ หลังอีกฝ่ายถามว่ามีเรื่องอันใด
“ฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้วขอรับท่านอา”
ก่อนจะลู่ไหล่ลง เมื่อเห็นหว่างคิ้วของแพคมีกังขมวดมุ่น ด้วยไม่อาจหยั่งเชิงได้ว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องเกี่ยวกับยูโซกังมากน้อยเพียงใด ชายชราก็ฟาดเข้าที่ศีรษะของหลานชายอย่างแม่นยำไปทีหนึ่ง และผรุสวาทด้วยเสียงดังก้องว่า ‘ไอ้ตัวไร้ประโยชน์!’
[1] ปีศาจฮวัล สัตว์ไร้กระดูกในจินตนาการที่ออกมาจากแดนลับแล มันเสแสร้งต่อหน้าเสือ เมื่อเสือเข้าใจว่ากินและกลืนลงไปมันลงไปแล้ว ยามตกเข้าไปอยู่ในท้อง มันก็จะกัดกินจากด้านในตัวเสือ
[2] ยามยู ช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม