เมื่ออยู่กันเพียงสองคน จาฮอนจึงเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วถอนนิ้วออกจากกายของโซกัง รวมถึงปล่อยมือออกจากส่วนอ่อนไหวด้วย
“อ๊ะ!”
หลังจากส่วนนั้นได้รับอิสระ ร่างบอบบางก็สะท้านไหวพร้อมปลดปล่อยหยาดวสันต์ลงบนผ้าปูแท่นบรรทม ฝ่าบาทส่งเสียงหัวเราะแล้วฉุดดึงสะโพกอิ่มขึ้น ท่าทางดื้อรั้นทั้งๆ ที่อ่อนไหวต่อความปรารถนาเช่นนี้ ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก เขารับรู้ได้ว่าความรู้สึกของตนเหมือนกำลังเล่นกระดานหก แต่ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ มือใหญ่จุ่มนิ้วลงในกระปุกน้ำมันหอมก่อนจะสอดผ่านช่องทางคับแคบอีกครา พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“คงจะคิดถึงความสุขสมที่ข้ามอบให้สินะ แค่สัมผัสก็ถึงฝั่งฝันเสียแล้ว”
โซกังขบริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะและวาจาที่เย้ยหยันตน ราวกับต้องการตอกย้ำว่าการขัดขวางไม่ให้ร่างกายรู้สึกดีต่อการเสพสังวาสร่วมกับบุรุษด้วยการสวมอาภรณ์นั้น อย่างไรก็ดูจะไร้ประโยชน์ เขากรนด่าร่างกายตนเองที่คุ้นกับชินกับการกระทำเหล่านี้ และพยาพยามเปล่งวาจาปฏิเสธอย่างยากลำบาก
“มะ ไม่ใช่ อึก!”
“หากมิใช่เช่นนั้นแล้วมันคืออะไรเล่า หากมิใช่ต้องการยั่วยุด้วยปรารถนาความสุขสม ใยจึงบังอาจขัดคำสั่งข้า ลองบอกมาสิ”
“ฮืออ อึก! นั่น มัน อื้อ!”
ร่างบางขยับโยกสะโพกและร้องครางออกมาแทนคำตอบ เนื่องจากเรียวนิ้วเปียกลื่นด้วยน้ำมันหอมล่วงล้ำเข้าสู่ภายใน กวาดวนจนทำให้สติพร่าเลือน พอเห็นโซกังในสภาพเช่นนั้น จาฮอนก็ไม่อาจอดทนได้อีก เมื่อถอนนิ้วออกมา ปากช่องทางก็อ้าค้างเล็กน้อยอย่างน่าเวทนา
“อา ฝ่าบาท…”
โซกังไม่เคยเอ่ยอ้อนวอนต่อพวกทาสเลยสักครั้ง เพราะสิ่งที่คนเหล่านั้นมอบให้คือความต้องการอันบางเบาภายใต้ความเจ็บปวดมหาศาล จึงสามารถอดทนต่อสัญชาตญาณได้ดั่งใจ ทว่าสิ่งที่องค์จักรพรรดิมอบให้ยามนี้กลับเป็นความเจ็บปวดบางเบาภายใต้ความปรารถนามหาศาล
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สาม ทว่าหลังรู้จักรสชาติความสุขสม สัญชาตญาณก็กลืนกินสตินึกรู้ของเขาไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่โซกังออดอ้อน จาฮอนจึงสัมผัสส่วนอ่อนไหวของอีกคนอย่างอ่อนโยนจนมันตั้งชันขึ้นอีกครา
“ประเดี๋ยวจะให้แล้ว อย่าได้งอแง”
น้ำเสียงพลันอ่อนลงด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างยิ่ง ร่างสูงเกลี่ยไล้แผ่นหลังบางลงมาอย่างนุ่มนวล โซกังไม่อาจฝืนทนต่อความรู้สึกนั้นจึงได้แต่บิดสะโพกเร่า
จากนั้นฝ่าบาทก็ค่อยๆ ส่งแกนกายชุ่มน้ำมันหอมเข้าไปในร่างบอบบางอย่างเนิบนาบ ในเวลาเดียวกันก็ขยับมือข้างที่จับแกนกายของโซกังเอาไว้
ท่าทีต่อต้านก่อนหน้านี้คล้ายเป็นเพียงการเล่นตัว ภายในของอีกฝ่ายกระตุกรับอย่างยินดี ทั้งดูดกลืนท่อนเนื้อแข็งขืนด้วยจังหวะเดี๋ยวเบาเดี๋ยวรุนแรง ความไม่พอใจเมื่อครู่สลายหายไปราวกับเรื่องโกหก ผู้อิ่มเอมและสุขสมจนเต็มอกถอนแกนกายออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะผลักดันกลับเข้าไปเต็มแรง
มือขยำกำผ้าปู ไล่ตั้งแต่ลาดไหล่หมอบราบจนถึงบั้นท้ายยกขึ้น ร่างกายที่มีส่วนโค้งเว้างดงามสั่นเทา ทั้งหมดล้วนปรากฎอยู่ในสายตาของจาฮอน
“ฮึก! อ๊ะ! อา อ๊ะ!”
ภายในกระตุกถี่บีบรัดขณะเคลื่อนขยับไปตามจังหวะ มันขมิบรับทั้งยังดูดกลืนตัวตนของตนเฉกเช่นครั้งก่อน งาบงับพร้อมขบเคี้ยวจนสุดโคน ฝ่าบาทหลุดเสียงครางหนักออกมา ระหว่างรุกรานเข้าออกซํ้าๆ ก็ใช้มือช่วยให้โซกังเสร็จสมด้วย กระทั่งหยาดน้ำรักปลดปล่อยออกมาจากส่วนอ่อนไหวเปรอะเปื้อนบนผ้าปูอีกรอบ
จาฮอนก้มตัวลงทาบทับตนลงบนกายหมอบคว่ำ ก่อนจะเลื่อนมือทั้งสองไปที่แผ่นอกบาง หยอกเย้ายอดอกชูชัน
“ฮืออ ฝ่าบาท อ๊ะ! ฮึกก!”
“ข้างในตัวเจ้า…ช่างซุกซนเสียจริง”
เขาเก็บกลืนเสียงครางหนักแล้วขบกัดลาดไหล่เป็นการตำหนิโซกัง แน่นอนว่าด้วยความต้องการที่เอ่อล้นจึงไม่มีเสียงใดเข้าถึงโสตประสาทยุ่งเหยิงของโซกังได้
ร่างสูงละมือข้างที่ไม่เปรอะเปื้อนน้ำรักออกจากยอดอก เพื่อรวบเส้นผมยาวสยายไปไว้ด้านข้าง จากนั้นก็ดูดดุนผิวเนื้อขาวผ่องตรงต้นคอ ฝากรอยสีกุหลาบเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ขยับจ้วงสะโพกอย่างแรง ส่งตัวตนเข้าเติมเต็มช่องทางที่ทำหน้าที่ส่งมอบขีดสุดของความสุขสม ทันใดนั้นร่างบอบบางก็กระตุกไหวพร้อมเปล่งเสียงครวญครางสร้างความรู้สึกดีให้โสตประสาทขององค์จักรพรรดิ
“ฝ่าบาท! อา! อ๊ะ! ฮือ!”
“อืม!”
“อ๊าา!”
เมื่อของเหลวอุ่นร้อนปลดปล่อยเข้ามาในกาย โซกังจึงเหยียดกายหวีดร้องเสียงดังอีกครา ช่องทางที่บีบรัดรุนแรงทำให้ยังจาฮอนพึงพอใจอย่างถึงที่สุด
เขาซึมซับความรู้สึกที่ยังคงค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอดถอนแกนกายออกแล้วนอนลงข้างกายอีกฝ่าย จ้องมองคนหลับตาลงทั้งๆ ที่ยังหมอบคว่ำด้วยแววตาอ่อนโยน จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้น
“สรุปแล้ว เจ้าบังอาจขัดคำสั่งข้าด้วยเหตุผลใดกัน”
ความเงียบงันไหลวนชั่วขณะ ก่อนเปลือกตาของโซกังจะค่อยเปิดปรือขึ้นช้าๆ ดวงตาที่ยังคงเปี่ยมด้วยความเศร้าหมองกะพริบสองครา จึงถึงคราวริมฝีปากไร้สีเลือดขยับ
“แท่นบรรทมมันหนาวพ่ะย่ะค่ะ”
“หนาวงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ แม้จะปูด้วยผ้าแพร อีกทั้งยังใส่เตาอุ่นไว้ด้านใต้ ทว่ามันกลับไร้ไออุ่น กระหม่อมจึงรู้สึกหนาวขึ้นมา”
“น่าจะอุ่นกว่าที่เรือนทาสนั่นมิใช่หรอกหรือ”
“แม้จะไม่ควรกล่าวยามอยู่ในอ้อมกอดของฝ่าบาทเช่นนี้ แต่ถึงจะไม่ใช่จากความต้องการของกระหม่อม แต่ระหว่างใช้ชีวิตในเรือนทาส ไม่มีวันใดที่ร่างกายนี้ไม่ถูกแตะต้อง ด้วยเหตุผลนั้นและสภาพร่างกายที่ไม่สู้ดีนักในยามนี้ ที่นี่จึงเหน็บหนาวอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
โซกังหลุบสายตาลงต่ำพร้อมขมวดคิ้วมุ่นอย่างเจ็บปวด เมื่อนึกถึงเรือนทาสหน่วยสามที่เคยใช้ชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้
แต่ละวันเขาหลับไปพร้อมร่างกายที่ถูกทำให้ร้อนขึ้นอย่างไม่สนความยินยอม ภายในที่แห่งนั้นแออัดคับแคบเสียจนรู้สึกถึงลมหายใจของผู้อื่น ทว่าเมื่อได้อยู่ลำพังในที่กว้างขวาง ร่างกายจึงรู้สึกเหน็บหนาว ไม่สิ อาจจะเป็นเพราะหลังจากเสพสังวาสแล้วก็ไม่เคยได้หยุดพักเช่นนี้มาก่อนเลย
จากผู้ตั้งใจปลดอาภรณ์ออกเอวเพื่อทำให้ตนไข้ขึ้นจนตายๆ ไปเสีย หากกล่าววาจาเช่นนี้ก็คงจะน่าขัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ และแม้จะไม่อาจเต็มใจปรนนิบัติ แต่อีกฝ่ายก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิหาใช่ใครอื่น จึงกลายเป็นหน้าที่ที่ไม่อาจเลี่ยง ด้วยสวรรค์ไม่คิดยอมให้ละทิ้งชีวิตอันไร้ค่า โซกังจึงคิดอยากดูแลร่างกาย ถึงแม้จะเป็นอาภรณ์ผืนบางทำจากผ้าไหมโปร่งก็ต้องสวมใส่
เมื่อได้เห็นใบหน้าขึ้นสีแดง อีกทั้งยังเอ่ยตอบติดๆ ขัดๆ ในอกรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งหล่นวูบจนเกิดเสียงตึกขึ้นจากที่ใดสักแห่ง จาฮอนกระแอมออกมาพลางขยับกายขึ้นนั่ง
“คือ… อืม ข้าไม่รู้”
“กระหม่อมเองก็ไม่มีโอกาสได้กราบทูล ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ไม่สิ ข้า…เอ่อ เราเข้าใจผิดไปเอง ขอโทษด้วย”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้น ใยจึงสวมชั้นในด้วยเล่า”
คำถามใหม่ของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าของโซกังแดงจัดเสียจนไม่อาจเทียบได้กับก่อนหน้านี้ ระหว่างเฝ้ามองใบหน้านั้น ภายในอกก็พลันรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งมากระทบหล่นวูบเช่นเดียวกับเมื่อครู่ ร่างบางห่อไหล่ลู่ลงแทนคำตอบ
ด้วยคาดว่าอีกฝ่ายอาจตอบว่ารู้สึกหนาวเช่นเดิม แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ก็กำลังจะเอ่ยตำหนิความไร้มารยาทที่เพิกเฉยต่อคำถามจากตน ทว่าพอได้เห็นอาการห่อไหล่ คำเหล่านั้นมันก็สลายหายไปที่ใดไม่อาจรู้ เสียงกระซิบว่า ‘หนาวพ่ะย่ะค่ะ’ ดังแว่ววนอยู่ในโสตประสาทของจาฮอน ร่างกายจึงขยับไปก่อนความคิด เอนนอนลงข้างกายแล้วดึงโซกังเข้ามากอด ก่อนจะคลุมผ้าขึ้นห่มให้จนถึงช่วงลำคอ
“ฝ่าบาท…”
“หนาวไม่ใช่หรือ”
อ้อมกอดของฝ่าบาทช่างอบอุ่นยิ่งนัก แต่ถึงแม้จะอบอุ่น ใจของตนกลับตื่นตระหนกนัก ด้วยไม่อาจเข้าใจจิตใจของพระองค์และไม่อาจรู้ว่าจะแปรเปลี่ยนอีกเมื่อใด
ไม่รู้ด้วยเรื่องอันใด องค์จักรพรรดิถึงถูกใครบางคนไล่ตาม และตนเพียงช่วยให้ที่หลบซ่อนแก่อีกฝ่ายเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น โซกังคาดว่าเพื่อตอบแทนเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฝ่าบบาทจึงช่วยชีวิตของตนที่เกือบจะตายด้วยพิษไข้ ทว่าหลังจากนั้นก็ยังบังคับครอบครองร่างกายกัน ด้วยไม่เคยหลบซ่อนความละอายใจและความอัปยศ จึงไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้ เพียงแต่ทรงไม่คิดใส่ใจและล่วงเกินตน
ทั้งๆ ที่ถูกครอบครองด้วยการบังคับเช่นนั้น ทว่าความต้องการกลับถาโถม กระทั่งเกิดความสุขสมเสียจนความคิดสับสนอย่างน่าประหลาด แม้แต่การทำความสะอาดหลังเสร็จกิจ ฝ่าบาทก็ยังทำให้ด้วยตัวพระองค์เอง
ทรงทำด้วยความรู้สึกเช่นไรก็สุดจะรู้ ทว่าสิ่งที่รู้ก็คืออีกฝ่ายปล่อยตนเอาไว้ โดยไม่ให้ย่างเท้าออกจากตำหนักคอนรยุงแม้เพียงก้าวเดียว จนดึกดื่นก็ยังไม่เสด็จกลับ ปล่อยให้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางบรรยากาศน่าหวาดหวั่นโดยมีเหล่าองครักษ์แปลกหน้าคอยเฝ้า
กระทั่งตอนนี้ก็ด้วย เพราะฝ่าฝืนขัดรับสั่งจึงมอบความเจ็บปวดและคล้ายจะขืนใจด้วยความรุนแรง แต่ไม่นานก็กลับกลายเป็นอ่อนโยน ทั้งยังมอบความสุขสมให้เสียจนแทบสิ้นสติ