ตอนที่ 4 สนมชาย
อันที่จริงการเป็นคนของจักรพรรดิก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อันใดนัก อย่าว่าแต่จะออกไปนอกตำหนักคอนรยุงเลย กระทั่งเอาเท้าลงไปสัมผัสพื้นด้านล่างตั่งเตียงก็ยังแทบนับนิ้วได้ ไม่ใช่เพียงแค่วันหรือสองวัน แต่เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา
ด้วยการร่วมสัมพันธ์ลึกซึ้งมากเกินกำลังขณะสภาพร่างกายอ่อนแรง อาการไข้จึงหวนกลับจนโซกังต้องนอนนิ่งๆ รับการรักษาอยู่ถึงสองวัน ทว่าพอล้มป่วยเช่นนั้นก็สร้างความวุ่นวายให้หมอหลวงทันที เนื่องจากฝ่าบาททรงเรียกหา อีกทั้งยังรับสั่งให้ฟื้นฟูพละกำลังของอีกฝ่ายให้กลับคืนโดยเร็วด้วย
ผู้เป็นหมอหลวงจึงตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึงรับสั่งขององค์จักรพรรดิจะชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่จะให้ฟื้นฟูร่างกายผู้อ่อนแอหลังถูกรังแกในทันทีนั้น ทรงเข้าใจว่าแพทย์อย่างตนเป็นเทพหรืออย่างไรถึงรับสั่งเช่นนั้น ทว่าขณะนึกขุ่นเคือง ผู้ใต้บัญชาก็พลันเกิดความคิดบางอย่าง ในอดีตฝ่าบาทไม่เคยให้ใครได้ยึดครองแท่นบรรทมมาก่อน ดังนั้น ผู้ที่กำลังยึดครองแท่นบรรทมอยู่ในเวลานี้จะหมายถึงผู้ใดกันเล่า
จากนั้นก็พึงระลึกได้ว่าหากโซกังไม่รีบหาย คอของตนอาจจะลอยกระเด็นไปเลยก็ได้ แต่ในวันต่อมากลับได้รับบัญชาว่าให้ค่อยๆ รักษาให้หายดีก็ได้ หมอหลวงเกิดลางสังหรณ์ว่าฝ่าบาทคงจะตกหลุมรักคนผู้นั้นเสียแล้ว
ตนจึงทุ่มเทรักษาผู้คว้าหัวใจขององค์จักรพรรดิอย่างสุดกำลัง และเพียงแค่สองวันอาการไข้ของโซกังก็ทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนการทำให้ร่างกายอ่อนแอฟื้นฟูกำลังคืนมา จะไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขได้ภายในวันสองวันเฉกเช่นพิษไข้ หมอหลวงต้องนำยาเข้ามาถึงวันละสามครั้ง ล้วนแต่มีส่วนผสมของสมุนไพรช่วยบำรุงกำลัง
แล้วก็ทำตามอีกหนึ่งรับสั่งว่าไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่คนในวังหลวง เจ้าตัวจึงไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดในสำนักหมอหลวงทั้งสิ้น และเข้ามาที่ตำหนักคอนรยุงด้วยตนเอง
ระหว่างนั้นองค์จักรพรรดิเพียงเข้าร่วมการว่าราชการ ณ ตำหนักฮวังรยงกับบรรดาขุนนางในช่วงเช้า ส่วนยามบ่ายทรงไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเฝ้าและขังองค์เองอยู่ในตำหนัก แจ้งแก่เหล่าขุนนางว่าจะจัดการงานราชกิจในตำหนักคอนรยุงสักระยะหนึ่ง
เมื่อฝ่าบาททรงประทับอยู่แต่ภายในวังหลวงจึงกลายเป็นข่าวลือว่าทรงประชวร เนื่องจากขันทีและนางกำนัลฝ่ายในทุกคนล้วนปิดปากเงียบ
ก่อนจะมีการแต่งตั้งสนมชาย องค์จักรพรรดิหมกตัวอยู่แต่ในตำหนักคอนรยุงและมีรับสั่งให้องครักษ์ฮวังรยงออกสืบหาเกี่ยวกับชาติกำเนิดของโซกัง ผู้ได้รับบัญชาจึงพยายามอย่างยิ่งในการสืบหาเกี่ยวกับตัวตนของคนผู้นั้นด้วยเคลื่อนไหวอย่างลับๆ แต่กลับไม่มีผู้ใดยอมเปิดปาก
ความจริงแล้ว เพียงทาสของกรมฝ่ายใต้ยอมเปิดปากก็จะรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ ทว่าราวกับทำสัญญาบางอย่างไว้ ทุกคนกล่าวเพียงว่าตนไม่รู้อันใด เนื่องจากทาสเหล่านั้นต่างเคยกระทำการอันร้ายกาจต่อโซกัง และหลังจากโซกังหายตัวไป ก็มีบุรุษท่าทางน่าหวาดกลัวมาถามเกี่ยวกับอีกฝ่ายจึงทำให้พวกเขาหวาดกลัวจับใจ
สุดท้ายองครักษ์ฮวังรยงจึงไล่สอบถามเอากับเหล่าทาสหญิง จนกระทั่งสืบพบผู้ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโซกังออกมาได้
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สืบรู้โดยง่ายนัก เพราะเหล่าทาสหญิงเองก็กังวลว่าหากบอก ตนจะต้องพบเจอกับเรื่องราวเลวร้ายเสียยิ่งกว่าตอนนี้ จึงปัดความรับผิดชอบกันไปมา เหล่าองครักษ์ฮวังรยงได้รับคำสั่งให้สืบหาอย่างลับๆ เลยทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมพวกนาง
เฝ้าตามหาอยู่ถึงเจ็ดวัน กระทั่งพบบ้านของคนงานหญิงที่ทำงานในโรงครัวของกรมฝ่ายใต้
หากมองจากภายนอก บ้านหลังนี้เป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆ ขนาดหนึ่งคูหามีเขตรั้วรอบ แต่กระนั้นก็นับเป็นบ้านที่จัดไว้พร้อมสรรพ แม้จะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาท พวกเขาก็ต้องเคาะประตูบ้านของสตรีที่อาศัยอยู่ลำพังในยามค่ำมืดเช่นนี้
“รบกวนด้วยเถิดขอรับ”
“ผู้ใดกันเจ้าคะ”
เสียงย่ำดินทรายบริเวณลานบ้านขนาดย่อมดังขึ้นพร้อมน้ำเสียงแผ่วเบา ทันใดนั้นประตูด้านหนึ่งก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฎตัวของสตรีวัยราวๆ สามสิบ เมื่อเห็นบุรุษสองคนรูปร่างกำยำในชุดรัดกุมสีดำยืนอยู่หน้าบ้าน ดวงตาของนางก็พลันเบิกโตขึ้น
“ถือเป็นเรื่องที่ต้องกระทำอย่างเป็นความลับ เชิญเข้าไปด้านในก่อนขอรับ”
ทั้งสองผลักดันนางเข้าไปด้านในพร้อมถือวิสาสะตามเข้ามาก่อนจะปิดประตูลง
“นี่มัน อื้อ!”
“พวกข้าหาได้มีเจตนาร้ายไม่”
นางตั้งใจจะตะโกนร้อง ทว่าปากกลับถูกปิดด้วยมือของบุรุษผู้หนึ่งจึงไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ได้ พวกเขาฉุดดึงตัวนางแล้วพาเข้าไปด้านในห้อง อาการขัดขืนอันอ่อนแรงของสตรีบอบบางไม่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวขององค์รักษ์หน่วยฮวังรยง
ทันทีที่เข้ามาถึงในห้อง บุรุษที่ใช้กำลังปิดปากเจ้าของบ้านก็คลายมือออกพร้อมเอ่ยขึ้น
“หากส่งเสียงร้อง ข้าก็คงต้องปิดปากอีกคราขอรับ”
“มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ”
ดังนั้นแทนที่จะตะโกนร้อง นางเลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ ผู้บุกรุกทั้งสองค้อมคำนับเล็กน้อย และเริ่มเข้าประเด็น
“ขออภัยที่ล่วงเกินขอรับ เนื่องจากมีความลับบางอย่างอยากไต่ถาม จึงต้องเสียมารยาท”
“มีเรื่องถามงั้นหรือเจ้าคะ”
คำกล่าวอย่างมีมารยาทและคำขอโทษทำให้นางย้อนถามกลับด้วยความสงบ แม้จะยังขมวดคิ้วมุ่น เพราะหลังจากฉุดลากเข้ามาในห้องแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใดๆ และขณะนั้นหนึ่งในสองก็เดินออกไปด้านนอกเพื่อคอยเฝ้าระวัง โดยบุรุษอีกคนที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“พวกข้าต้องการไต่ถามเกี่ยวกับยูโซกัง”
“คุณชายน่ะหรือเจ้าคะ”
เมื่อนางหลุดปากออกมาอย่างเผลอตัวจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากทันที หลังนึกถึงคำพูดที่อีกคนเคยกำชับอยู่เสมอ
‘ยามนี้ข้าหาใช่คุณชายไม่ อีกทั้งไม่อาจล่วงรู้ว่าจะถูกคนรอบข้างรังแกเมื่อใด โปรดอย่าเอ่ยเรียกเช่นนั้นอีกนะขอรับ’
หากชีวิตตกยาก ผู้คนย่อมเปลี่ยนแปลง ทว่าคนผู้นั้นในวัยสิบหกปีเคยช่วยเหลือนางจากชีวิตอันเลวร้าย และเวลานี้ก็ยังคงมีจิตใจงดงามไม่เปลี่ยนแปลงจากตอนนั้นแม้แต่น้อย ทั้งช่วยให้นางได้ทำงานในโรงครัวของกรมฝ่ายใต้ ทั้งช่วยให้เลิกรากับสามีผู้ชั่วช้า ทั้งช่วยให้มีบ้านเป็นของตน ทุกอย่างล้วนเป็นพระคุณของคนผู้นั้นทั้งสิ้น บุรุษหนุ่มในวัยเพียงสิบหกปี แต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าสามีที่อายุล่วงสามสิบของนางเสียอีก
“ยูโซกังเป็นคุณชายหรือขอรับ เป็นคุณชายตระกูลใดกัน”
“คือนั่น หาใช่เช่นนั้นไม่ เนื่องจากเป็นผู้มีพระคุณ ข้าจึงเรียกขานเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“ได้รับบุญคุณอันใดจากคนผู้นั้นหรือขอรับ”
“ใยถึงต้องสงสัยเรื่องส่วนตัวของข้าด้วยเจ้าคะ”
“หากเกี่ยวข้องกับยูโซกัง แม้เพียงเล็กน้อย ข้าก็จำเป็นต้องรับรู้ทั้งหมดขอรับ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้น…”
หลังจากสูดหายใจเข้าลึก นางจึงเอ่ยปากขึ้น
นางถือกำเนิดในตระกูลที่ฐานะไม่ดีนัก กระทั่งอายุยี่สิบห้าก็ยังไม่ได้ออกเรือน แต่ด้วยการจัดการของแม่สื่อและบิดาจนไม่อาจปฏิเสธได้ ทำให้ได้แต่งงานกับบุรุษวัยสามสิบผู้หนึ่ง มันเป็นคำขอก่อนสิ้นลมของบิดาที่ร่างกายไม่สู้ดีนัก นางจึงไม่อาจขัดขืน แต่วันแรกที่ได้เห็นใบหน้าสง่างามของผู้ที่กำลังจะกลายเป็นสามีของตนก็ถึงกับจิตใจสั่นไหวอยู่เล็กน้อย ซึ่งนั่นกลับเป็นความผิดมหันต์
สามีรูปงามของนางทำงามหน้าสมหน้าตา เอาแต่เข้าออกหอมโยวอล หอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแทรยุง เหล่าสตรีในที่แห่งนั้นล้วนประทินโฉมอย่างงดงาม หอมจรุงกลิ่นแป้งและรอยยิ้มอ่อนหวาน ทั้งแตกฉานในศาสตร์ศิลป์ ทว่าเงินทองที่สามีลงทุนใช้สอยอาจจะน้อยไป พวกนางจึงเพียงสร้างความร้อนรน แต่ไม่ยินยอมปรนนิบัติเขาด้วยร่างกาย
จนพาลให้คิดไปว่าเหล่านางโลมชมชอบชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ส่งผลให้ความสัมพันธ์เฉกเช่นสามีภรรยากลายเป็นการบีบบังคับเรื่อยมา นางถูกเขาครอบครองร่างกายด้วยการใช้กำลังจนไม่อาจสัมผัสถึงความตราตรึงใดๆ ซ้ำร้ายขณะตั้งใจว่าจะไม่ยอมทนอยู่อีกต่อไป บิดาก็สิ้นใจ แม้แต่ที่พึ่งพิงก็ยังสูญสลาย ดังนั้นจะอยู่หรือตายก็ได้แต่ทนอยู่ใต้ร่มเงาของสามีผู้ชั่วช้าเช่นนั้น
นับเป็นเรื่องไม่อาจเปลี่ยนแปลง สามีของนางหลงเหล่านางโลม ต่อมาก็กลายเป็นติดเหล้า หากดื่มเหล้ากลับมาก็จะบังคับขืนใจนางหรือไม่ก็ทุบตี กระทำเช่นนั้นกระทั่งนางตั้งครรภ์ก็ไม่เว้น ยามอยู่ลำพัง ต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากจึงทำงานหาเลี้ยงชีพ นางทำงาน ส่วนสามีก็มุ่งมั่นกับการใช้เงินเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้น ขณะท้องแก่ นางก็ยังต้องทำงานจนถึงกับเป็นลมล้มพับไป ทว่าเมื่อฟื้นคืนสติก็พบว่าตนอยู่บนเตียงนอนภายในเรือนหลังหนึ่ง ทันใดนั้นก็เริ่มปวดท้องคล้ายจะคลอด และหลังจากอาการปวดท้องแสนทรมาน นางก็คลอดทารกออกมา แต่ด้วยความทุกข์ทนที่ได้รับเช่นเดียวกับนาง ทารกน้อยจึงไม่อาจร่ำร้องแม้เพียงครั้ง นางมีชีวิตยากเข็ญอย่างยิ่งจนกระทั่งจะร้องไห้เพื่อลูกยังร้องไม่ออก
หมอตำแยกล่าวว่าที่นั่นคือจวนของขุนนางกรมราชเลขา นางได้รับการดูแลจากสาวใช้ผู้มีน้ำใจระหว่างนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงหลังคลอด พอช่วงเวลานั้นผ่านเลยไป บุรุษหนุ่มวัยสิบหกปีก็มาพบนางและร้องไห้เพื่อทารกน้อยแทนตัวนาง สีหน้าของอีกฝ่ายทำให้นางรู้เสียใจกับความตายของลูกได้เป็นครั้งแรก
ยูโซกัง บุตรชายของขุนนางกรมราชเลขา ยูจินมยอง สุขุมเยือกเย็นอย่างไม่สมวัย แม้ภายนอกจะดูเยาว์วัย หากบางครากลับมีความเป็นผู้ใหญ่ เขาเป็นเด็กหนุ่มเช่นนั้น ไม่สิ เป็นบุรุษเช่นนั้น หลังรับฟังเรื่องราวของนาง เขาก็เอ่ยขอร้องต่อขุนนางกรมราชเลขาผู้เป็นบิดา ช่วยทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ทว่าระหว่างการบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้ชายตรงหน้าฟัง คำว่าขุนนางกรมราชเลขาก็หาได้หลุดออกจากปากของนางไม่