เขาคำนึกและใส่ใจโซกังเป็นอย่างมาก อากาศเวลานี้ไม่หนาวเย็นมากนัก และภายในยังมีเตาอุ่นอยู่อันหนึ่ง ทว่าเมื่อความร้อนของเต่าอุ่นลดลง กลับสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิของร่างกายบอบบางสูงขึ้น พลันนึกถึงคำล่าวของหมอประจำกรมขึ้นได้ ยามอีกฝ่ายตัวร้อนขึ้น หากทำให้เหงื่อออกก็จะสามารถช่วยลดไข้ลงได้ อีกทั้งอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์เราก็ถือว่าอบอุ่นที่สุด
เพียงแค่ทาสผู้หนึ่ง เขาก็ไม่อาจเข้าใจเช่นกันว่าใยถึงเป็นเช่นนี้ ทว่าเพียงปรารถนาได้เห็นว่าในแววตาคู่นั้นมีตนอยู่อีกครั้ง ต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะเหตุใดภายใต้แสงไฟสลัว ภาพของอีกฝ่ายขณะบังอาจขึ้นเสียงใส่ตนจึงดูงดงามนัก
“ดังนั้นข้าถึงเป็นเช่นนี้ ใช่…”
พยายามแก้ตัวให้กับการกระทำของตนพลางยกยิ้ม เขาทำร่างกายให้เปลือยเปล่าก่อนจะขยับเข้าไปข้างกายโซกัง ทำการเปลื้องอาภรณ์อีกฝ่ายออกทั้งหมด ล้มตัวลงนอนตะแคงข้างๆ และดึงร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เนื่องจากโซกังตัวร้อนราวกับไฟจึงรู้สึกร้อนตามทันที ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ทำเพียงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคอ แม้จะร้อนสักหน่อย แต่กลับรู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ความเป็นจริงตนมักจะเข้านอนในยามดึงสงัดมานานแล้ว และเวลานี้ก็ไม่ได้ดึกกว่าเวลาเข้านอนปกติมากนัก ดังนั้นจึงรู้สึกประหลาดใจกับอาการง่วงงุนเช่นนี้ เขาโอบกอดโซกังแน่นพร้อมกับปรับลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีโชจึงเดินเข้ามาด้านในอย่างระมัดระวัง หลังองครักษ์ฮวังรยงที่ยืนอารักขาห่างจากแท่นบรรทมเล็กน้อยส่งสัญญาณแจ้งว่าฝ่าบาททรงเข้าบรรทมไปแล้ว และเมื่อสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ที่จัดวางอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงมุมหนึ่งคือฉลองพระองค์ในวันนี้ ขันทีโชก็พลันตกใจถึงขนาดตัวกระตุก เร่งวางทะเบียนทาสลงบนโต๊ะ โดยไม่เบนสายตาไปทางแท่นบรรทมเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ผละออกไปโดยทันที
อีกด้านหนึ่ง แม้จะไม่ได้สติจากพิษไข้ แต่ด้วยยาและความอบอุ่นขององค์จักรพรรดิจึงทำให้โซกังค่อยๆ สร่างไข้ รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยสัมผัสอีกเลยหลังมารดาจากไป อ้อมกอดโอบกระชับรอบตัวส่งผลให้นึกถึงท่านเสียจนน้ำตาเอ่อล้น โซกังยิ่งแทรกตัวเข้าไปให้แนบแน่นและปล่อยน้ำตารินไหลขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น
เมื่อฝ่าบาทรู้สึกถึงความเปียกชื้นตรงหน้าอกจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่ายูโซกังที่แทรกตัวเข้ามาในอ้อมกอดกำลังร้องไห้อยู่
“ท่านแม่…”
แม้ไม่รู้ว่ากลัดกลุ้มเรื่องใดมากมายถึงเพียงนั้น แต่ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายร้องไห้เรียกหาแม่ เขากลับปวดใจตามอย่างไม่รู้เหตุผล ก่อนจะลูบหลังปลอบประโลมเหนือผ้าห่มอย่างเนิบนาบ สัมผัสมือที่ช่วยตบเบาๆ บนแผ่นหลังทำให้โซกังค่อยๆ สงบลง
กระทำเช่นนั้นจนถึงยามดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นกลางฟ้า ร่างบางก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดขององค์จักรพรรดิ
ล่วงเลยจนถึงยามรับสำรับมื้อเที่ยง ขันทีโชได้แต่กระทืบเท้าปึงปังเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าฝ่าบาทจะมีรับสั่งใด เวลาเดียวกันนั้น ฝ่าบาทก็ลุกขึ้นจากเตียงอย่างระมัดระวังและสวมใส่อาภรณ์โดยลำพังด้วยตัวเอง เดิมทีต้องเรียกนางกำนัลหรือขันทีเข้ามาช่วยปรนนิบัติ ทว่าเสียงครึกโครมอาจจะทำให้โซกังตื่นได้ เขาจึงเลือกจะทำทุกอย่างด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ก่อนจะหยิบทะเบียนทาสที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
ทะเบียนทาสอะไรถึงไม่มีข้อมูลเช่นนี้ สถานที่เกิดไม่แจ้ง ตัวตนเดิมไม่ระบุ กระทั่งอายุก็ไม่แน่ชัด เพียงแค่ถูกส่งมายังกรมฝ่ายใต้โดยไม่ระบุวันเดือนปี แต่ถึงจะเป็นทะเบียนทาสที่ไม่สมบูรณ์ ทว่าบนมุมหนึ่งกลับมีตราประทับเป็นที่เรียบร้อย
เดิมทะเบียนทาสต้องระบุรายละเอียดส่วนตัวของทาสแต่ละคนเอาไว้อย่างชัดเจน และรวมถึงมูลเหตุทุกอย่างที่เกี่ยวข้องจนต้องกลายมาเป็นทาส เพราะมันจะช่วยทำให้ไถ่ตัวทาสหลวงผู้นั้นได้ง่ายขึ้น หากตั้งใจจะไถ่ตัวมิใช่ว่าจำเป็นต้องมีข้อมูลหรอกหรือ ทว่าทะเบียนทาสที่ตนถืออยู่เวลานี้ไม่มีหนทางช่วยไถ่ตัวออกมาได้
เขาส่งสัญญาณให้องครักษ์ฮวังรยงที่ยืนอารักขาอยู่ด้านข้างทันที อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้และค้อมคำนับ
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เจ้าจงดู สิ่งนี้มันปกติอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ว่านำมาผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ ตรงนี้เขียนชื่อยูโซกังเอาไว้ชัดเจน”
“หากเป็นเช่นนั้นอาจตกหล่นไปหรือไม่ ทว่าดูจากตราประทับแล้ว กระหม่อมคิดว่ามีใครบางคนจงใจให้เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ”
พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเล็กน้อยพร้อมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะโบกมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายกลับที่เดิมเสีย ระหว่างจ้องมองยังทะเบียนทาสของยูโซกังที่ไม่มีสิ่งใดระบุชัดเจนเลย เขาก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดครู่หนึ่ง
แม้จะไม่รู้ว่าทะเบียนทาสทั่วไปจัดทำขึ้นอย่างไร ทว่าสำหรับทาสหลวงแล้ว หากกลายเป็นทาสของทางการจะต้องมีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวตัวตน ชื่อและสถานที่เกิด สถานะเดิม งานที่เคยทำก่อนหน้านี้ วันเดือนปีเกิด วันเดือนปีที่เข้ามาในสังกัด และมูลเหตุที่ต้องกลายเป็นทาส จากนั้นก็จะได้รับการประทับตราของสังกัดที่เข้า และตราประทับก็มีเพียงสังกัดที่ทาสเข้าไปอยู่เท่านั้นถึงจะสามารถแตะต้องได้ ดังนั้นหากไม่ใช่ตราประทับที่ปลอมขึ้นมา มันก็หมายความว่าเอกสารที่ไม่สมบูรณ์ฉบับนี้ ขุนนางผู้รับผิดชอบตำแหน่งสูงสุดของกรมฝ่ายใต้ย่อมรับรู้เป็นแน่ เพราะยามใช้ตราประทับที่เกี่ยวข้องกับสังกัด จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีตำแหน่งสูงสุดก่อน
“ยูโซกัง…สังกัดนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่กันแน่นะ”
“ฝ่าบาททรงตื่นบรรทมแล้วหรือไม่เพคะ ท่านหมอมาถึงแล้วเพคะ”
หลังจบคำบ่นพึมพำ ก็ได้ยินเสียงของนางกำนัลดังมาจากด้านนอกทันที เขาจึงวางเอกสารลงและเอ่ยอนุญาต
“เข้ามาได้”
“เพคะ”
เมื่อประตูเปิดออก ขันทีโชกับหมอประจำกรมที่ประคองถ้วยยาก็เดินเข้ามาด้านใน โดยขันทีโชขยับเข้ามายืนข้างๆ เขาและค้อมศีรษะคำนับ
“ฝ่าบาท หากทรงตื่นบรรทมแล้วก็รับสำรับเถิดพ่ะย่ะค่ะ เลยเวลามามากแล้ว”
“เสียงลมหายใจของโซกังสงบขึ้น เป็นเช่นนี้คงอาการดีขึ้นบ้างแล้วใช่หรือไม่”
ครานี้เหลือเชื่อยิ่งกว่าเมื่อครั้นป้อนยา ขันทีโชถึงกับอ้าปากค้างจนฝ่าบาทเอ่ยหยอกล้อว่าน้ำลายจะไหลลงมาแล้ว ก่อนจะม้วนเอกสารกลับดังเดิมแล้วส่งให้อีกฝ่าย ระหว่างนั้นหมอก็วางถ้วยยาลงตรงมุมหนึ่ง ค้อมคำนับแล้วเอ่ยขออนุญาต
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตสัมผัสร่างกายคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าอนุญาต”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากองค์จักรพรรดิ หมอจึงนั่งลงข้างๆ ร่างบอบบางและใช้ผ้าคลุมมือเช่นเดียวกับยามเช้า ก่อนจะสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มอย่างสำรวมท่าที ทว่าขณะนั้นฝ่าบาทก็กล่าวขึ้นเหมือนเพิ่มนึกอะไรได้
“อา ตอนนี้เขาไม่ได้สวมสิ่งใด จงระวังด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ดังถ้อยคำนั้น สายตาเฉียบคนของผู้มีอำนาจสูงสุดดูจับจ้องค้นหา หากเพียงสัมผัสพลาด หรือหากฝ่าบาทไม่พอพระทัยกับการสัมผัสอาจจะถูกจัดการในทันที
หมอประจำกรมควานหาแขนของโซกังอย่างระมัดระวัง แล้วดึงออกมานอกผ้าห่มเพียงช่วงข้อมือเท่านั้น ทำการตรวจดูชีพจรโดยยังคลุมผ้าแพรเอาไว้ เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืนหลังสอดมือเรียวบางกลับคืนด้านในผ้าห่ม ลองทาบสัมผัสหน้าผากและต้นคอ จากนั้นจึงผละถอยห่างมาจากแท่นบรรทมเล็กน้อย
“ทูลฝ่าบาท ชีพจรยังคงอ่อนอยู่ แต่พิษไข้ค่อยๆ ลดลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากทานยาอีกครั้ง ตอนเย็นก็คงสามารถขึ้นรถม้าได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
รับคำเสร็จก็ป้อนยาให้โซกังด้วยปากเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ กระทั่งยาหมดถ้วยก็เอ่ยกับขันทีโชและหมอ เพราะทั้งคู่ยังคงยืนก้มหน้าหันหลังอยู่อย่างนั้น เขาล้างปากด้วยชาที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะจนเย็นชืดก่อนจะออกคำสั่งกับขันทีโชอีกครั้ง
“ให้ยกสำรับง่ายๆ เข้ามาก็พอ เขาอาจจะฟื้นเมื่อไรก็ได้ ยกข้าวต้มมาด้วยล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
แค่บอกว่าจะรับอาหาร มันน่ายินดีอย่างไรถึงเพียงนั้น… ใบหน้าของขันทีโชพลันเบิกบาน จากนั้นก็ถ่ายทอดรับสั่งแก่นางกำนัลที่ยืนรออยู่ด้านนอกว่าฝ่าบาทจะเสวยให้ไปแจ้งแก่โรงครัว โดยไม่ลืมกำชับให้นำข้าวต้มมาด้วย จากนั้นขันทีโชก็กลับมาเอ่ยถามองค์จักรพรรดิ
“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมแจ้งแก่เจ้ากรมว่า พระองค์จะทรงนำตัวคนผู้นี้ไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“บอกไปตามนั้น แล้วก็มอบทะเบียนทาสคืนไปเช่นเดิมด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากขันทีโชออกไปแล้ว เขาก็นั่งลงข้างเตียงจ้องมองยูโซกังที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ
* * *