เขานั่งลงบนแท่นบรรทมปูด้วยผ้าแพรปักลวดลายด้วยทองคำ แต่ก็ไม่สามารถนอนหลับได้อย่างง่ายดาย ด้วยเพราะมีเรื่องที่ไม่อาจปล่อยวาง ระหว่างปล่อยให้เวลาเปลี่ยนผ่านก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากหน้าประตู
“ฝ่าบาท กระหม่อมจัดการตามที่ทรงรับสั่งเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
เมื่อคำอนุญาตถูกเอ่ยออกไปประตูก็เปิดออก องครักษ์ฮวันรยงทั้งสองที่ได้รับคำสั่งให้ไปจัดการเรื่องนั้นก็เดินเข้ามาข้างใน จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเริ่มต้นถึงรายงานเรื่องการจัดการกับศพของทหารเฝ้ายามโรงอาบน้ำออกมาเสียก่อน
“แต่ว่าที่นั่นไม่มีผู้ใดอยู่ทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เข้าไปดูด้านในเรือนไม้นั่นแล้วหรือ มีคนกำลังอาบน้ำอยู่ในนั้นแน่ๆ”
“กระหม่อมตรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ…เข้าใจล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลังจากองครักษ์ทั้งสองออกไปแล้ว เขาจึงเอนนอนลงบนแท่นบรรทม แม้จะทำเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับมีแววตากลัดกลุ้มอย่างเลือนรางภายใต้เปลือกตา
‘ได้โปรดออกไป!’
น้ำเสียงไม่สูงไม่ต่ำ อีกทั้งยังคล้ายแฝงความอดสูอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อเสียงของชายผู้นั้นแว่วดังเข้ามาในโสตประสาท เรียวคิ้วหนาพลันขมวดมุ่น แม้จะเป็นเพียงเสียงแต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ดี ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่รู้ว่าตนเป็นถึงจักรพรรดิจึงปฏิเสธอย่างหนักแน่นเช่นนั้น
สมัยยังเป็นรัชทายาท มีบ่อยครั้งที่มักจะปกปิดตัวตนและออกเดินทางในยามค่ำคืน เนื่องจากวังหลวงเป็นสถานที่อันน่าอึดอัดด้วยบรรดาสตรีของเสด็จพ่อ ยิ่งมีสนมกีโซอีเข้ามาก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทว่าแม้จะออกมานอกวังหลวง แต่ความสง่างามก็ยังปรากฎเป็นเนือง จึงไม่เคยได้ยินคำพูดหยาบคายหรือคำปฏิเสธอันใดมาก่อน
เขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามหาและพาตัวบุรุษที่พบในโรงอาบน้ำมาอยู่ตรงหน้าให้ได้ ไม่ใช่เพื่อสานสัมพันธ์ใดๆ หากฝังใจเพราะถูกปฏิเสธความช่วยเหลือ อีกทั้งยังบังอาจไล่กัน
เหตุผลจำเป็นต้องพบคนผู้นั้น แม้มันจะบิดเบือนไปบ้าง ทว่าตัวพระองค์กลับไม่ยอมรับสิ่งนั้น ด้วยเพราะเพียงคิดว่าอีกฝ่ายคุ้นหน้าค้นตาอย่างยิ่งก็เท่านั้น ทั้งชื่อ ทั้งใบหน้าช่างดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ด้วยตำแหน่งที่ต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย หากเป็นเพียงตระกูลต้อยต่ำ อย่างไรก็ต้องหลงลืมอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา แต่กับเข้าของร่างบอบบางแล้ว ไม่ว่าจะขบคิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่พบจริงๆ
ทันทีที่ผุดตัวลุก องครักษ์ฮวังรยงที่เฝ้าอยู่ก็มาค้อมคำนับต่อหน้าพระองค์ เขาส่งสัญญาณให้ทำตัวตามสบายก่อนจะออกคำสั่ง
“รุ่งเช้าเมื่อขันทีโชเข้ามา บอกให้เขาส่งคนไปที่ว่าการเรียกคนงานของกรมฝ่ายใต้มาทั้งหมด รวมถึงเหล่าคณิกาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จากนั้นถึงกลับมาล้มตัวลงนอนบนแท่นบรรทมอีกครั้ง และในที่สุดครานี้ก็จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา
ด้วยเข้านอนดึกดื่นมากแล้ว ยามเช้าจึงผ่านพ้นความมืดมาถึงอย่างง่ายดาย เมื่อขันทีโชเดินทางมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทจึงได้รับถ่ายทอดคำสั่งจากองค์รักษ์หน่วยฮวังรยง
นับเป็นความวุ่นวายโกลาหล
เหล่านางกำนัลและขันทีวิ่งวุ่นไปมากับการรวมตัว ถึงกระนั้นก็ขยับฝีเท้าอย่างเงียบเชียบ เนื่องด้วยยังไม่ถึงเวลาตื่นบรรทมของฝ่าบาท
และด้วยรับสั่งของจักรพรรดิ คนงานของกรมฝ่ายใต้ทั้งหมดจึงได้มารวมตัว
มองอย่างไรแล้วก็เหมือนคนงานมากกว่าคณิกา เพราะหากมีการจัดงานเลี้ยงในกรม คนเหล่านี้ก็จะต้องทำงานเบ็ดเตล็ดในห้องเครื่อง หรือไม่ก็ทำความสะอาด จึงไม่ได้มีสภาพงดงามเฉกเช่นเหล่าคณิกา
อีกด้านหนึ่ง หลังจากตื่นจากนิทรา ฝ่าบาทก็นั่งอยู่ริมแท่นบรรทมรับการปรนนิบัติเฉกเช่นปกติ เหล่านางกำนัลวางอ่างน้ำไว้ด้านหนึ่งก่อนจะค้อมตัวลง เขาลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ต่อมาก็ให้เหล่านางกำนัลถอยออกไป แล้วสวมกวันขนาดเล็กทำขึ้นจากทองอย่างประณีตบรรจงประดับลงบนศีรษะ
เมื่อเปิดประตูออกมาด้านนอก ก็พบเหล่าคนงานของกรมฝ่ายใต้นั่งเรียงแถวอยู่กลางลานตามคำสั่งเมื่อวาน เขาขยับก้าวอย่างช้าๆ พินิจใบหน้าทีละคน แม้จะเห็นใบหน้าคนผู้นั้นภายใต้แสงคบไฟยามค่ำคืน แต่ก็มันฝังแน่นอยู่ในห้วงความคิดจึงไม่มีทางจำผิดพลาด
พินิจใบหน้าของบรรดาคนงานประมาณห้าสิบคนอย่างตั้งใจ ไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียวด้วยพระองค์เอง แล้วก็ต้องถอนหายใจก่อนจะกล่าวถาม
“ที่นี่มีผู้ใดชื่อยูโซกังหรือไม่”
ทว่ากลับไม่มีใครยกมือเลยสักคน
บุรุษเจ้าของเสน่ห์ดึงดูดผู้นั้น ไม่ใช่คนงานสินะ เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดกันเล่า หรืออาจจะเป็นคนงานตำแหน่งต่ำต้อยของหน่วย หรือไม่ก็ไม่ใช่คนงานในโรงครัว
จักรพรรดิถอนหายใจและเอ่ยถามอีกครั้ง
“เช่นนั้น มีผู้ใดไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำด้านนอกกรมหรือไม่”
มีคนงานผู้หนึ่งยกมือขึ้น ขันทีจึงขยับเดินเข้าไปหาพลางยื่นหูเข้าไปใกล้ปากอีกฝ่าย ด้วยฐานะของคนงานแล้ว จึงไม่สามารถอาจเอื้อมกล่าวต่อฝ่าบาทโดยตรง ต้องบอกกล่าวแก่ขันทีแทน เมื่อได้รับฟังคำตอบแล้ว ขันทีผู้นั้นจึงขยับเข้าไปหาฝ่าบาท ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วกล่าวรายงาน
“ฝ่าบาท โรงอาบน้ำแห่งนั้นมีไว้สำหรับพวกทาสเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ทาสหรือ ไม่ใช่คนงาน แต่เป็นทาสอย่างนั้นสินะ”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีคนที่ข้าตามหาในนี้ ให้ทุกคนกลับไปเถอะ”
ขันทีประกาศตามรับสั่งของฝ่าบาท เหล่าคนงานทั้งหมดจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบริเวณนั้น ทว่าขณะเหล่าคนงานทยอยกลับออกไป เสียงระฆังครั้งแรกก็เริ่มดังขึ้นพอดี บ่งบอกเวลาตื่นนอนของเหล่าทาสทั้งหลายพอได้ยินเสียงระฆัง เขาเลยถามเอากับขันทีโชที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ระฆังแรกเป็นเวลาตื่นนอนของพวกทาสใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“หากตื่นแล้ว จะต้องทำอะไรเป็นสิ่งแรก”
“ทันทีที่ตื่นลืมตาก็ต้องเข้ามารับอาหารพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นไปที่ที่พวกทาสรับอาหารกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาท! จะทรงเสด็จไปสถานที่สกปรกเช่นนั้นเพราะเหตุใดกันหรือพ่ะย่ะค่ะ หากทรงทราบชื่อแล้ว เพียงสั่งให้ผู้คุมไปนำตัวมาให้ กระหม่อมคิดว่าจะสมควรกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีโชตื่นตกใจกับรับสั่งมากและพูดค้านออกมาทันที เมื่อวานทรงเห็นอะไร พบเจอใคร หรือตั้งใจตามหาผู้ใดนั้น ตนมิอาจทราบได้ ทว่าหากจะทรงเสด็จไปถึงโรงอาหารของเหล่าทาสด้วยพระองค์เอง ตนคงจะปล่อยผ่านไม่ได้ ขันทีโชขยับไปขวางเบื้องหน้าองค์จักรพรรดิ แม้อีกฝ่ายจะขยับเดินไปเรื่อยทั้งที่ไม่รู้ทาง
“ฝ่าบาทยังไม่ได้รับสำรับเช้า หากไม่ทรงไว้ใจคนงาน กระหม่อมจะไปตามด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ เพียงตรัสให้กระหม่อมทราบว่าทรงตามหาผู้ใด มีลักษณะเช่นไร กระหม่อมจะรีบไปจัดการในทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าวค่อยกลับมากินก็ได้ อย่างไรก็ต้องรอระฆังที่สาม ถึงจะเป็นเวลาตื่นของเจ้านาย ยังมีเวลาอีกมากนัก”
“ฝ่าบาท อย่างไรก็ทรงยืนยันว่าจะเสด็จไปที่สกปรกเช่นนั้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเองก็ไม่รู้”
“พะยะค่ะ?”
“หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะไปเพียงลำพัง”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ เรือนทาสอยู่ที่ใดกัน”
ขันทีโชรีบเร่งถามกับคนงานที่อยู่ท้ายสุดของแถวขณะทุกคนกำลังทยอยกลับไปยังเรือนพัก คนงานค้อมศีรษะลงพร้อมอธิบายว่าพวกทาสไปกินข้าวที่ใด หลังได้ฟังคำบอกเล่าทั้งหมดแล้ว ขันทีโชและองครักษ์ฮวังรยงสองสามคนก็ขยับก้าวไปด้านหน้าฝ่าบาท และปิดท้ายด้วยเหล่าองครักษ์ฮวังรยงที่เหลือ
เมื่อพวกเขามาถึงโรงทาส ก็เห็นว่าเหล่าทาสต่างถือกระบวยน้ำเต้าคนละอันในมือและนั่งกินข้าวอยู่บนพื้น ขันทีโชมองดูภาพนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น ท่ามกลางพวกผู้คนสกปรกและต่ำต้อยเช่นนี้ ฝ่าบาทหมายพระทัยจะตามหาผู้ใดกัน พอทุกคนสังเกตเห็นฝ่าบาทจึงหยุดกินและรีบคุกเข่าพร้อมค้อมศีรษะลงทันที ไม่มีใครเคยเห็นพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิก็จริง ทว่าอาภรณ์สีทองนั่น นอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีสามารถสวมใส่ได้
ผู้มีอำนวจสูงสุดจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เรากำลังตามหาคนผู้หนึ่งอยู่ ทุกคนจงเงยหน้าขึ้นให้เราได้เห็นหน้า”
ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมาตามรับสั่ง เขาพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่เฉกเช่นก่อนหน้า จ้องมองใบหน้าทีละคนอย่างละเอียด อันที่จริงเมื่อครู่ยามสังเกตเหล่าคนงาน แม้ไม่ได้รู้สึกตั้งแต่แรก แต่ก็คล้ายรับรู้ได้ว่าคนที่ตนกำลังตามหาไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้
เจ้าของบรรยากาศเศร้าหมอง บางทีก็ดูสิ้นหวังอย่างน่าประหลาด ผิวพรรณผ่องดังหยกขาว เส้นผมดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน แม้ชุดมอมแมมสกปรกก็ไม่สามารถปิดซ่อนเอาไว้ได้ ฝ่าบาทมองปราดจนทั่วแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะออกคำสั่ง
“เจ้าจงไปตรวจดูว่าทาสทั้งหมดออกมาครบแล้วหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีโชจึงสอบถามจากทาสตรงนั้น กระทั่งได้ทราบว่ามีทาสสังกัดหน่วยสามผู้หนึ่งป่วยอยู่จึงไม่ได้ออกมากินข้าว
ระหว่างที่ฝ่าบาทกำลังตามหาตัวอยู่นั้น โซกังก็นอนขดอยู่บนเสื่อฟางตรงบริเวณมุมหนึ่งของเรือนทาสหน่วยสาม บนตัวมีผ้าห่มสกปรกผืนหนึ่งคลุมทับอยู่ เนื่องจากมีทาสผู้หนึ่งนึกสงสารจึงช่วยห่มคลุมไว้ให้ เจ้าตัวกำผ้าห่มสกปรกนั้นไว้แน่น ร่างกายสั่นสะท้านด้วยพิษไข้ ขดตัวเข้าหากันจนไม่อาจจะขดได้อีก เหตุเกิดจากการอาบน้ำเย็นเมื่อวานนี้