แทนที่ฝ่าบาทจะเสด็จเข้าทางประตูหน้าของกรมฝ่ายใต้ กลับใช้ทางด้านหลังแทนด้วยเหตุผลว่าทางนั้นใกล้กว่า จึงออกจากวังหลวงและเสด็จตรงไปทางประตูหลังของกรมฝ่ายใต้ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ ณ ประตูหลังปิดประตูลงทันที เมื่อตรวจสอบป้ายประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว จึงยอมเปิดประตูให้เข้าไป
ด้านทิศใต้ของเมืองหลวง สุดเขตทางหลวงของกรมฝ่ายใต้ ด้านในประตูหน้าของเมืองชูจักมีบรรดาขุนนาง กองทหาร คนงาน หญิงนางรำ กระทั่งเหล่าทาสหลวงยืนเข้าแถวกันอย่างเรียบร้อย กระทั่งผ่านไปประมาณสองกัก (30 นาที) ก็ยังคงยืนไม่รู้เรื่องรู้ราว เนื่องจากก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) พวกเขาได้รับการแจ้งข่าวว่าจะมีขบวนเสด็จจากวังหลวง จึงเตรียมมารอรับเสด็จเช่นนี้
แสงอาทิตย์ค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น และขณะที่พวกเขาเกือบจะหมดแรงเพราะความร้อนระอุ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากด้านหลังของเมือง บรรดาขุนนางต่างยืนอยู่หน้าสุด จึงเป็นเหล่าทาสที่ยืนรั้งหลังอยู่ท้ายสุดได้ยินเสียงม้าก่อนผู้ใด บุรุษหลายคนขี่ม้าผ่านเข้ามาทางประตูหลัง และควบม้าไปทางประตูหน้าอย่างช้าๆ
อะไรน่ะ ผู้ใดกัน เสียงเอะอะนั้นเริ่มดังขึ้นจากด้านหลังและค่อยๆ กระจายไปด้านหน้าเรื่อยๆ ราวกับน้ำหมึก บรรดาทาสที่แอบชำเลืองมองคนพวกนั้น พลันคุกเข่าหมอบลงกับพื้นในทันใด ด้วยนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนออกมาเพื่อรอรับผู้ใด บุรุษองอาจบังคับม้าผ่านเหล่าทาสที่ก้มหน้าหมอบคำนับ
บรรดาขุนนางที่เดินมาสำรวจเพราะเสียงเอะอะก็ค้อมคำนับลงเช่นกัน แม้ว่าผู้นำขบวนด้านหน้าสุดจะเป็นหัวหน้าหน่วยฮวังรยง ทว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าผู้ใดอยู่กลางขบวน ขุนนางทั้งหลายต่างเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เจ้าของตำแหน่งยกยิ้มบางพร้อมกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้บรรดาขุนนางกรมฝ่ายใต้ที่พร้อมใจกันสวมชุดขุนนางเต็มยศยืนเบียดเรียงกัน ทรงตบลงบนแผ่นหลังคนเหล่านั้น เหล่าขุนนางจึงยิ่งค้อมตัวตํ่าขึ้นด้วยความตกใจ
“ทำเช่นนั้นเดี๋ยวเอวได้เคล็ดกันพอดี ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ว่าแต่มันมิใช่ช่วงเช้าแล้วมิใช่หรือ มีประชุมอะไรถึงมารวมตัวกันหมด? เหตุใดเวลาแดดจ้าเช่นนี้ไม่ไปจัดการงาน กลับออกมายืนเรียงแถวกันเล่า”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่พวกกระหม่อมได้รับแจ้งว่าจะมีขบวนเสด็จของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างเถอะ ก่อนอื่นสั่งให้แยกย้ายกันได้แล้ว”
ด้วยรับสั่งของฝ่าบาท ทำให้ขุนนางฝ่ายต่างๆ ค้อมตัวคำนับอีกครั้งพร้อมกล่าวน้อมรับคำบัญชา เขาจึงพรูลมหายใจผ่านริมฝีปากอย่างแผ่วเบา แล้วส่งบังเ**ยนม้าให้กับหัวหน้าองครักษ์ จากนั้นก็เดินเข้าไปภายในจวนที่ว่าการของกรมฝ่ายใต้ บรรดาขุนนางออกคำสั่งให้เหล่าคนงานและพวกทาสแยกย้าย ก่อนจะเร่งรุดตามฝ่าบาทไป
ที่ว่าการของกรมฝ่ายใต้สร้างขึ้นตามรูปแบบของตำหนักอุนฮยอน ภายในล้วนตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่คล้ายคลึงกัน ด้วยตำหนักอุนฮยองนั้นเป็นห้องเก็บตำราจึงมีตำรามากมายอัดแน่น ทว่าที่นี่กลับมีบรรดาโต๊ะทำงานของเหล่าขุนนางจัดวางมากมายแทน
พระองค์ทรงประทับบนตำแหน่งสูงสุด โดยองครักษ์หน่วยฮวังรยงสี่คนที่ติดตามมาด้านหลังเหล่าขุนนาง เดินเข้ามายืนอารักขาอยู่ด้านข้าง
“ขบวนจัดเลี้ยงกำลังเดินทางมา เช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันเลยเถอะ”
รับสั่งนั้นทำให้ขุนนางหลายคนเริ่มขยับตัววุ่นวาย พวกเขานำบัญชีออกมาถวายต่อหน้าพระพักตร์ ฝนหมึกและตระเตรียมพู่กัน ทั้งยังเรียกให้คนงานยกชาเข้ามาด้วย เมื่อเหล่าขุนนางนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาทจึงโบกมือเบาๆ เป็นสัญญาณให้รีบเริ่มเสียที โดยไม่คิดจะรั้งรอให้ยกนํ้าชาเข้ามา
ขุนนางผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่าย จึงลุกขึ้นและเปิดปากรายงานตามลำดับ กรมฝ่ายใต้นั้นรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของเมืองหลวง ขุนนางเอ่ยรายงานเกี่ยวกับจำนวนภาษี จำนวนพืชผลและฝ้ายที่เก็บเกี่ยวได้
ฝ่าบาทพิจารณาดูสมุดบัญชีขณะรับฟังคำรายงาน ว่ามีการใช้จ่ายตรงส่วนไหนบ้าง แต่ละส่วนมีเพิ่มเติมเท่าไหร่ ทรงสอบถามราคาผ้าไหมของแทรยุงในปัจจุบันกับราคาข้าวสาร และรายได้ที่ราษฎรหาได้ในแต่ละเดือน ฟังคำตอบของขุนนางพลางพิจารณาสมุดบัญชีทั้งหมดอย่างละเอียด จนกระทั่งถึงส่วนท้ายที่ระบุว่าภาษีลดลงไปเท่าไร ยกเว้นการจ่ายภาษีให้แก่ผู้ใดบ้าง
ทุกอย่างจบลงภายในหนึ่งชั่วยามครึ่ง เขาปล่อยบรรดาขุนนางที่เหนื่อยล้าเอาไว้ และก้าวออกมาด้านนอกที่ว่าการ องครักษ์เว้นระยะห่างเพื่อให้เวลาส่วนแก่องค์จักรพรรดิ เขาขยับเดินอย่างเนิบนาบ เมื่อเห็นลานว่าด้านหน้าทำการจัดเตรียมงานเลี้ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกระซิบแผ่วเบาออกมา
“จวนเสนาบดีกรมพลาธิการไกลจากที่นี่เพียงใด”
“อยู่ห่างไปทางกรมฝ่ายตะวันออก ใกล้กับที่ว่าการพอสมควรพ่ะย่ะค่ะ หากเร่งเดินทางคงจะไม่เกินครึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นรึ ข้าจะไปคนเดียว ตอนข้าไม่อยู่ พวกเจ้าก็เฝ้าอยู่ที่นี่ให้ดี”
“ฝ่าบาท ใต้ฟ้านี้พระวรกายทรงมีค่ายิ่ง จะทรงเคลื่อนไหวเพียงลำพังเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุนั้นข้าถึงได้ไปคนเดียวอย่างไร หากร่างกายอันมีค่ายิ่งในใต้ฟ้านี้ถูกเปิดเผย แล้วข้ายังจะแอบลักลอบทำการใดได้อีกเล่า”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ที่ไปก็มิใช่เรื่องสำคัญอะไร แค่จะไปตรวจสอบดูแล้วก็กลับเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลไป”
คำกล่าวหนักแน่นทำให้เหล่าองครักษ์ฮวังรยงไม่คัดค้านอะไรอีก สุดท้ายฝ่าบาทก็ทรงไม่ได้รักษาสัญญากับขันทีโช ดังนั้นเหล่าองครักษ์จึงกังวลว่าพวกตนจะรักษาความลับต่อขันทีโชอย่างไรดี
ระหว่างกำลังเป็นกังวล งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น งานเลี้ยงที่จักรพรรดิจัดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องและยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก อาหารที่ไม่อาจลิ้มรสได้โดยง่ายในวันปกติ ต่างก็ได้ลิ้มลองกันอย่างทั่วถึง ดนตรีก็ช่างไพเราะ เหล่านางรำก็ช่างงดงาม
ยามกลางวันค่อยคล้อยมืดลง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ที่ประทับของจักรพรรดิกลับว่างเปล่า จักรพรรดิที่เคยเป็นจุดสนใจ บัดนี้ทรงแอบหลบออกไปเพื่อจุดประสงค์ของตนตั้งแต่แรกเริ่ม
ขณะเสด็จออกไป ก็ทรงเปลี่ยนอาภรณ์ภายในที่พักนักให้เป็นชุดสีดำและปกปิดพระพักตร์ องครักษ์ฮวังรยงตามเข้ามาพร้อมแสดงสีหน้ากังวล ฝ่าบาทโยนงานที่เหลือให้พวกเขา แล้วปลดกวันที่ประดับอยู่ออก มัดรวบผมอย่างเรียบร้อย ก่อนจะผละไปจากที่พำนัก
เนื่องจากมีการจัดงานเลี้ยงส่งผลให้ทหารยามไร้สติ จึงสามารถข้ามกำแพงเก่าๆ ของที่ว่าการได้อย่างง่ายดาย เขาขี่ม้าธรรมดาที่องครักษ์ฮวังรยงจัดเตรียมไว้มุ่งหน้าไปยังกรมฝ่ายตะวันออก แม้จะเชื่องช้ากว่าม้าประจำพระองค์อย่างโอชูมา แต่โอชูมาที่มีขนสีดำผสมกับสีขาวเป็นที่สะดุดตาเกินไปก็เลยไม่มีทางเลือกอื่น อีกทั้งหากจะให้มันวิ่งได้เร็ว เสียงฝีเท้าก็จะยิ่งดังเช่นกัน เพราะฉะนั้นความเร็วจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ด้วยปรับความเร็วในการควบทะยาน ก็เลยใช้เวลาเกินกว่าหนึ่งชั่วยามกว่าจะมาถึงจวนที่พักของชังจีกยอม เสนาบดีฝ่ายพลาธิการ
เขาผูกม้าเอาไว้ด้านหนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินไปตามแนวกำแพงอย่างช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้า หากอยู่ใกล้กำแพงเกินไป เสียงก็จะดังปะทะกับแนวกำแพง จึงต้องคอยลอบฟังเสียงจากอีกฟากของกำแพงว่ามีทหารยามอยู่เท่าไร บริเวณใดหละหลวมที่สุด คอยฟังเสียงช้าๆ อยู่เช่นนั้น ซ่อนตัวในความมืดมิด ปรับลมหายใจให้นิ่งเงียบ
ก่อนจะกระโดดข้ามกำแพงไปในชั่วพริบตา เสียงตุบตับดังขึ้นสองครั้งกระจายผ่านอากาศอย่างแผ่วเบา รอบด้านก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
มีเหตุผลที่ตัวเขาต้องมาตรวจสอบด้วยตนเองเช่นนี้
หนี้บุญคุณระหว่างกัน สัญญาระหว่างกัน ภรรยาหรือบุตรสาว บางทีอาจเป็นบุตรชายที่ถูกขายหรือลากตัวไป ถูกนำมาพูดถึงแบบปากต่อปากอย่างไม่รู้เบื่อ เรื่องราวมากมายนั่นไม่ใช่ว่าไม่มีความจริงอยู่เลย แม้จะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ทว่าก็ดาษดื่นนัก เขาได้รับรู้เรื่องราวดาษดื่นเหล่านั้นจากขันทีโช อีกทั้งฎีกาของเด็กผู้นั้น
จวนของเสนาบดีฝ่ายพลาธิการชังจีกยอม รับผิดชอบควบคุมกองทัพและการแต่งตั้งพลทหาร การฉุดคร่าผู้ใต้บังคับบัญชาและภรรยานั้น นับเป็นเรื่องไม่อาจจะยอมรับได้ง่ายๆ หากว่ากระทำผิดก็มีกฎข้อบังคับที่เคร่งครัด ไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องฉุดคร่าด้วยเหตุส่วนตัว
เช่นนั้นเหตุผลก็คงจะเป็นนายกองผู้นั้น หรือไม่ก็ผู้เป็นภรรยา การกระทำอย่างเห็นแก่ตัวต่อผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงวิธีการเช่นนั้น ดูราวกับไม่มีใครห้ามปรามได้
ฝ่าบาทซ่อนตัวในความมืดด้านหลังกำแพง ในบรรดาสนมบินทั้งหกของจักรพรรดิองค์ก่อน เขานึกถึงสนมโซอี กียอนยอง
กียอนยอง เดิมเป็นภรรยาของเสนาบดีกรมใดสักกรม ทว่าคราวจักรพรรดิองค์ก่อนเสด็จ ก็แสร้งทำตัวเป็นข้ารับใช้ กระทั่งกลายเป็นที่ต้องตาจึงได้รับแต่งตั้ง ตามกฎหมายของอาณาจักร หากทำการยื้อแย่งภรรยาผู้อื่นจะต้องโทษประทับตรา ทว่าผู้กระทำการยื้อแย่งภรรยาผู้อื่นนั้นเป็นถึงจักรพรรดิจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ขุนนางผู้นั้นทำได้เพียงจำใจปล่อยภรรยาไป แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ระหว่างนั้นอีกฝ่ายกลับเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
สตรีผู้นั้นเพื่อให้ตนกลายเป็นที่โปรดปราน จึงรีบร้อนพยายามให้ตั้งครรภ์จนได้เลื่อนตำแหน่ง หลังจากนั้นก็ใช้ความดื้อดึงร้องขอแก่จักรพรรดิองค์ก่อน แต่งตั้งยางจาโฮโอรสของตนขึ้นเป็นรัชทายาท ทำเป็นไม่รับรู้ว่าการเร่งให้ออกราชโองการเช่นนั้นเป็นการแสดงความละโมบจนเกินเหตุ แน่นอนว่าผู้ที่อายุสั้นหาใช่สนมกีโซอี ไม่ หากแต่เป็นรัชทายาทยางจาโฮโอรสของนางเอง
ดังนั้นเขาจึงมาตรวจสอบว่าชังจีกยอม รองแม่ทัพเป็นคนชั่วช้าจริงๆ หรือถ้าหากไม่ใช่ก็คงเป็นภรรยาของนายกองผู้นั้นสร้างเรื่องขึ้นมา