เขาปรับพื้นดินของเรือนนอนหน่วยสามให้ราบเรียบ จัดวางกองฟางและปูเสื่อให้เรียบร้อย ทว่าขณะจัดเตียงไม้หนึ่งเดียวในที่นี้ ก็มีชายผู้หนึ่งเข้ามาภายในหน่วยสาม
เนื่องจากไม่ใช่ประตู แต่เป็นเพียงฟางเอามาสานกั้นปิดเอาไว้ เมื่อมีคนเข้ามาหรือออกไป โซกังจึงสามารถรับรู้ได้ เขามองอีกฝ่ายพลางเบิกตาโพลง ทว่าทันทีที่ชายผู้นั้นจับตนนอนลงก็ยกบั้นท้ายขึ้น ยอมให้ถอดกางเกงและชั้นในออกแต่โดยดี
ในเรือนนอนแห่งนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าตัวเขาเป็นเช่นคณิกาชาย เพราะฉะนั้นระหว่างทุกคนออกไปทำงาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีบรรดาคนงานที่ได้ยินข่าวลือเข้ามาหา กลับกันแล้วกว่าหนึ่งปีนี้ แม้จะพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ก็น่าประหลาดใจที่ไม่มีคนแปลกหน้าเข้ามาเลยสักครั้ง
อีกฝ่ายดึงกางเกงและชั้นในลงมาแล้วกำรอบส่วนอ่อนไหวที่ไม่ตั้งชันราวกับจะทำให้มันแหลกเหลว
“จริงสินะ”
“อ๊ะ ฮึก!”
“ได้ยินว่ายูโซกังหลงใหลการร่วมรักกับบุรุษ เห็นทีคงจะจริง! ยูโซกังผู้ดื้อด้านและไม่สนผู้ใดนอกจากหญิงคู่หมาย!”
“อึก อั่ก…!”
“หากขุนนางกรมราชเลขาผู้นั้นล่วงรู้ คงได้ลุกขึ้นมาจากหลุมเป็นแน่”
“ถอนคำพูดเถอะขอรับ!”
โซกังแผดเสียงตะโกนลั่น อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดถึงเรื่องนั้น อยากจะจบชีวิตแสนอัปยศและตํ่าทรามเช่นนี้เป็นสิบครั้งเป็นร้อยครั้ง ทว่าชีวิตยังติดค้างผู้คนเหล่านั้น แม้นจะต้องใช้ชีวิตเป็นทาสหลวงก็ตาม
“ถ้าหากไม่รู้อะไรเลย!”
ขณะตะโกนก้องก็หลับตาแน่น ความสดใสก่อนหน้าพลันหายวับไปในทันที
“หากไม่รู้อะไร…”
เขาทวนคำพูดนั้นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด และเมื่อเปิดดวงตาขึ้นช้าๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อฟางเพียงลำพัง กระทั่งกางเกงก็สวมไว้ดังเดิม ทว่าความเจ็บปวดจากการโดนบีบส่วนกลางกายจนแทบแหลก ไหนจะสายตาเย็นเยียบของชายผู้นั้น กระทั่งนํ้าเสียงทุ้มต่ำเอื้อนเอ่ยวาจากรีดแทงใจ ทั้งหมดล้วนแจ่มชัด ทว่ามันกลับไม่มีใครเลย แต่ไม่มีทางเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งแน่นอน
“ภาพหลอนอย่างนั้นหรือ…”
พอนึกดูแล้วใบหน้าของอีกฝ่ายก็คล้ายกับมูฮยอน สหายของตน แต่หากเป็นมูฮยอนจริงๆ มันก็คงเป็นภาพหลอนแน่แท้ เพราะด้วยเรื่องนั้นเป็นสาเหตุให้มูฮยอนต้องโทษประหารด้วยการตัดหัวเมื่อสองปีก่อน
“มูฮยอน เจ้าไม่จำเป็นต้องมาเพื่อกล่าวว่าข้าเช่นนี้หรอก ข้าได้รับความอัปยศมากพอแล้ว ไม่อาจคิดคะนึงหาโซยงเสียด้วยซ้ำ เมื่อกลายเป็นเช่นนี้ ข้าก็หวาดหวั่นกระทั่งยามได้พบหน้าโซยงบนท้องฟ้า อย่างไรนางก็เป็นคนดี ยังคอยโผล่หน้ามาในความฝันอยู่เรื่อย แม้จะไม่ได้เห็นสีหน้าเขินอายเช่นนั้นแล้วก็ตาม”
โซกังนอนเหม่อพร้อมพึมพำ ภายในดวงตามีหยาดนํ้าตาเอ่อคลอก่อนจะร่วงหล่นจากหางตาช้าๆ กระทั่งการร้องไห้ในยามนี้ก็ช่างน่าอัปยศ ร่างกายโสมมไม่ควรจะมีนํ้าตาออกมา แต่เขาก็ทำได้เพียงแต่ร้องไห้เท่านั้น
ก่อนจะหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่พลางเกลี่ยเช็ดน้ำตา ร่างบางค่อยๆ หยัดกายขึ้นยืน เดินออกมาด้านนอกหน่วยสาม มองเงาสะท้อนของเสาภายนอก ดูเหมือนยามเที่ยงวันจะคล้อยผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย โซกังยังไม่ลืมไข่ไก่ที่สตรีผู้นั้นมอบให้ เขาหยิบมันออกมาจากกระเป๋าแล้วแกะเปลือกออก
จากนั้นก็กัดลงบนไข่ที่ต้มสุกกำลังดี ขณะยืนอยู่ใต้แสงแดดเหม่อมองเงาสะท้อน
เมื่อเหล่าทาสของหน่วยสามกลับมา ก็พบว่าโซกังนั่งซุกตัวอยู่ในคอกไม้ข้างนอกแทนการนอนอยู่บนเสื่อฟางบริเวณมุมเรือนนอน แม้วันนี้จะไม่ได้รับการปล่อยผ่านไปเฉยๆ แต่ก็หวังว่าจะโชคดีบ้าง คนเหล่านั้นเอ่ยถาม
“ใยถึงเข้าไปอยู่ในนั้น”
“ข้าจะอยู่ในนี้ขอรับ เพราะข้าชอบทำเสียงดังตอนเช้ามืด”
“น่ารำคาญเสียจริง เจ้าคิดว่าจะรอดไปได้หรือไง รีบออกมาเสีย”
แค่บุตรชายของกบฏยังมาทำโอหัง เสียงพูดพร่ำดังมาจากมุมหนึ่ง เขาถอนหายใจโดยไม่ให้เป็นที่สังเกตก่อนจะคลานออกมาจากคอก พวกเขารู้ดีว่าโซกังคือบุตรชายของผู้ใด และมันก็เป็นสาเหตุผลที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นชายบำเรอในเรือนนอนเช่นนี้
ยูโซกัง บุตรชายเพียงคนเดียวของขุนนางกรมราชเลขา ยูจินมยอง
* * *
ภายในพระราชวัง บริเวณส่วนด้านนอกเขตพระราชฐานตรงด้านหน้าประตูอุนจอง เป็นที่ตั้งของลานไต่สวนนักโทษ ซึ่งไม่ค่อยเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นบ่อยครั้งนักในช่วงกลางวันที่แสงอาทิตย์ยังส่องสว่างเจิดจ้า คบเพลิงสองอันปักกับเตาไฟ ปกติแล้วการไต่สวนมักจะเริ่มในยามเย็น ครานี้ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงเริ่มตั้งแต่กลางวันเช่นนี้
รอบลานไต่สวนมีบรรดาทหารหน่วยพยัคฆ์ขาวยืนโอบล้อม เสนบดีเจ้ากรมอาญาและรองเจ้ากรม รวมถึงมหาเสนาบดีฝ่ายปกครองและมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ[1]ยืนอยู่ตรงขั้นบันไดของประตู
และองค์จักรพรรดิทรงประทับอยู่ในตำแหน่งสูงสุดบริเวณด้านหน้าประตูอุนจอง เนื่องจากพระองค์มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินโทษ
“นำตัวนักโทษมา”
รับสั่งแก่ขันทีผู้ไม่ละห่างจากด้านข้างพระวรกายให้ส่งทอดราชโองการแก่ขุนนางแทน ผู้รับคำสั่งจึงเอ่ยให้เบิกตัวนักโทษซ้ำเป็นครั้งที่สอง จากนั้นบุรุษผู้มีเชือกมัดแขนไขว้ไว้ด้านหลังก็ถูกลากตัวออกมา และเมื่อนักโทษคุกเข่าลงกับพื้นแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งขึ้น
“มหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมคยองยูล จงรับฟังโทษของเจ้าเสีย”
หลังฝ่าบาทกล่าวจบ รองเจ้ากรมอาญาก็คลี่ม้วนกระดาษออกแล้วเริ่มอ่าน
“มหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมคยองยูล สมคบกับพวกโควังยางรวบรวมกองกำลังคิดแย่งชิงราชบัลลังก์ และเพื่อกำจัดอุปสรรคภายหลังการชิงบัลลังก์ จึงคิดลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทและพระโอรส เจ้ายอมรับความผิดนี้หรือไม่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ!”
คยองยูลโขกคำนับศีรษะลงกับพื้นพร้อมเอ่ยด้วยเสียงดังก้อง ถึงกระนั้นสายตาที่มองมาก็ช่างเย็นชายิ่ง เจ้าตัวได้แต่โขกคำนับลงกับพื้นเป็นครั้งที่สองและกล่าวซ้ำ มหาเสนาบดีฝ่ายปกครองจึงส่งสายตามอง และเมื่อได้รับอนุญาตจากขันทีจึงกล่าวออกมา
“มหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมคยองยูล มีพยานยืนยันว่าคิดก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ”
“พาเข้ามา”
“นำตัวนักโทษมา”
เมื่อมีรับสั่งออกไปแล้ว บุรุษผู้หนึ่งที่รอคอยอยู่ด้านนอกไม่ใช่ในคุกจึงเดินเข้ามาด้วยการก้าวย่างอย่างหวาดหวั่น คุกเข่าลงเบื้องหน้ามหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมคยองยูลพร้อมกับก้มคำนับ มหาเสนาบดีฝ่ายปกครองกล่าวกับอีกคนด้วยนํ้าเสียงขึงขัง
“จงบอกนามของเจ้ามา”
“กระหม่อมขุนนางสังกัดกรมราชเลขา ยูจินมยองพ่ะย่ะค่ะ”
“จงบอกสิ่งที่เจ้าเคยได้ยินออกมาเสีย”
“ท่านมหาเสนาบดีกล่าวว่า… โควังยาเฉลียวฉลาดกว่าฝ่าบาท คู่ควรกับการนั่งบังลังก์ อีกทั้งฝ่าบาทยังโง่เขลา หากรวบรวมไพร่พลแล้วโจมตีในทันที แม้กระทั่งกองทัพหลวงก็มิอาจทำอะไรได้พ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวของยูจินมยองทำให้ดวงตาของคยองยูลเบิกโพลง สายตาเต็มเปี่ยมความตื่นตระหนกมองยูจินมยองราวกับไม่เคยรับรู้ว่าตนเป็นผู้กล่าววาจาเช่นนั้น
“จินมยอง เจ้า…!”
ยูจินมยองขมวดคิ้วมุ่นราวกับทุกข์ทรมานพร้อมหลบสายตา ทว่าริมฝีปากยังขยับเอื้อนเอ่ย
“ขออภัยด้วยขอรับท่านมหาเสนาบดี”
ไม่อาจรู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือไม่ได้ยิน แต่หลังจากนั้นยูจินมยองก็มิได้จ้องมองคยองยูล อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับยูจินมยองอีกเช่นกัน
คำให้การของยูจินมยอง ขุนนางกรมราชเลขา ยิ่งมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รวบรวมกองกำลังด้วยวิธีการใด จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเท่าใดบ้าง วางแผนหลบซ่อนในป้อมร้างอย่างไร เรื่องราวพวกนี้ถูกเล่าออกมาจากปากไม่จบไม่สิ้น
การพูดคุยปรึกษาข้อมูลพวกนั้นกับขุนนางกรมราชเลขาที่ดูแลพิธีการ การค้าและการทูต ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอะไร มันทำให้ฝ่าบาทเกิดความสงสัย หากเมื่อทรงทราบว่าอีกฝ่ายและคยองยูลเตรียมเกี่ยวดองกันจึงทรงตัดสินในทันที การเกี่ยวดอง รวมถึงการส่งเสริมการก่อกบฏเช่นนี้ ย่อมต้องสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างยิ่ง
เพราะคำให้การนั้น การไต่สวนจึงจบลงอย่างรวดเร็ว ฝ่าบาททรงเชื่อถือคำพูดของยูจินมยองเป็นอย่างยิ่ง มหาเสนาบดีฝ่ายปกครองเองก็เป็นผู้รับรองเขา ไม่ว่าคยองยูลจะร้องว่าตนถูกใส่ความอย่างไร ก็หามีผู้ใดรับฟัง
โควังยาถูกตัดสินโทษประหารโดยการแขวนคอ ตัวคยองยูลเองต้องโทษตัดหัวและเสียบประจาน คนในตระกูลล้วนถูกกวาดล้าง ผู้สมรู้ร่วมคิดเช่นยูจินมยองก็ได้รับโทษเฉกเช่นคยองยูล บรรดานายทหารที่มีส่วนร่วมโดยตรง รวมถึงบรรดาเสนาบดีที่เข้าร่วมกับทั้งสามตระกูลต่างถูกส่งไปเป็นทาส
กลุ่มของยอกโดตกลงสู่สภาพเช่นนั้น
ผู้ให้การสนับสนุนต่างหลั่งโลหิตบนลานประหารจนกลายเป็นบ่อโลหิต มันไหลซึมสู่พื้นหินของลานประหารโดยไม่ได้ถูกชำระล้าง เนื่องจากหยาดฝนโลหิตร่วงหล่นมากมายเสียจนไม่มีช่องว่างให้ล้างมันออกไป
[1] มหาเสนาบดีฝ่ายปกครองและมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ ตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายปกครองและตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายกฎหมาย