แม้ท่าทางการเดินจะซวนเซไปมาคล้ายล้มพับลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังกัดฟันเดินต่อไป ถึงจะอยากปล่อยวางทุกสิ่ง อยากยอมแพ้กับทุกอย่าง ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้ จึงได้แต่ขยับเท้าก้าวเดินไปทานข้าวและใช้ชีวิตอย่างน่าอดสูต่อไปเท่านั้น
“อึก…!”
เสียงโอดครวญเพียงหนึ่งคำหลุดออกมาหลังจากก้าวเดินมาได้พอสมควร เพราะความเจ็บปวดตรงช่วงเอว จึงหลุดเสียงร้องจากการอดกลั้น เกือบทรุดล้มลงเพราะขาอ่อนแรงชั่วขณะ เขาพยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ก่อนจะลองขยับขาอีกครั้ง
จากนั้นก็มองแข้งขาขยับเคลื่อนไหวราวกับไม่ใช่ของตน พลันนึกถึงคำของผู้ที่พาตัวเขามาที่นี่ครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อน จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาไม่เคยลืมมันแม้สักเสี้ยววินาที
‘ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใยถึงต้องรักษาคำพูดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็รักษาสัญญาที่มีต่อบิดาของเจ้าแล้ว คำร้องขอให้ช่วย ‘ชีวิต’ เจ้าไว้ เขาหวังให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ในชาติภพนี้นานๆ เจ้าเองก็ช่วยหน่อยแล้วกัน เข้าไปเถอะ หากคิดจะอดอาหาร หรือคิดจะจบชีวิตเพราะไม่อาจทนความต้อยตํ่านี้ ก็จงคิดถึง ‘เรื่องนั้น’ แล้วอดทนกับทุกสิ่งทุกอย่างต่อไปเถิด’
พออีกฝ่ายเห็นว่าเขาพยักหน้ารับ จึงปล่อยเขาทิ้งไว้แล้วจากไป และหนึ่งปีหลังจากนั้น เขาก็ยังคงอดทนอยู่เช่นเดิม ไม่อยากให้มีใครต้องตายด้วย ‘เรื่องนั้น’ อีกแล้ว อีกทั่งไม่อยากทำให้ชื่อของบิดาต้องมาแปดเปื้อนอีกแล้วเช่นกัน
เขากัดฟันเดินมาจนถึงลานหน้ากรม เหล่าทาสแต่ละคนรับถ้วยที่ทำจากผลนํ้าเต้ามาคนละอัน ทุกคนนั่งลงบนพื้นแล้วทานอาหารด้วยมือ หากมองภายนอกก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน
หากจะต่างจากขอทานก็มีเพียงแค่สองสิ่งเท่านั้น หนึ่งคือพวกเขาไม่ได้ร้องขอ สองคือพวกเขาต้องทำความสะอาดลานซักล้าง ถังอาบนํ้า หรือที่ใดก็ตามทุกๆ สองสามวันครั้ง
เขายืนอยู่ตรงมุมหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาสตรีผู้หนึ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัว ข้างกายนางมีบุรุษร่างกายกำยำสองคนยืนขนาบดั่งองครักษ์ เมื่อเข้าไปใกล้ นางก็ส่งถ้วยนํ้าเต้าที่มีข้าวหนึ่งก้อนกับผักสองอย่างมาให้ เขาจึงโค้งศีรษะแสดงความขอบคุณต่อสตรีผู้นั้น ไม่ใช่เพราะนางมอบอาหารให้ และไม่ใช่เพราะรู้จักกับนางเป็นการส่วนตัวด้วย แต่เป็นเพราะได้เรียนรู้มาตั้งแต่เยาว์วัยว่า หากได้รับของมา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ต้องแสดงความขอบคุณในทันที ดังนั้นร่างกายจึงซึมซับเอาไว้เองโดยธรรมชาติ
“ขอบพระคุณขอรับ”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ทว่าภายใต้ใบหน้ากลับมีความสงสารและเป็นกังวลอย่างเต็มเปี่ยม นางเหลือบมองเหล่าทาสที่นั่งกินข้าวอยู่บนพื้น ก่อนจะไล่ให้ชายหนุ่มที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังถอยห่างไปเล็กน้อย แล้วก้มลงใส่บางอย่างเข้าไปใต้กองข้าวของเขา พลางกระซิบเบาๆ
“คุณชาย สีหน้าดูไม่ดีเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่เป็นไรขอรับ ได้โปรดอย่าเรียกขานเช่นนั้นอีกเลย มันมากเกินไปขอรับ”
ชายหนุ่มก้มหน้างุดและกระซิบกลับเสียงแผ่ว คิ้วของนางขมวดแน่น ก่อนจะพรูลมหายใจออกแล้วยืดตัวขึ้นเคาะทัพพีไม้ที่ถืออยู่กับโต๊ะ เขาจึงก้มศีรษะลงอีกครั้งแล้วขยับตัวไปยังมุมๆ หนึ่ง สตรีผู้นั้นและผู้คุ้มกันหันกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งดั่งไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น พร้อมออกคำสั่งกับคนงานชายของห้องครัวให้มาเติมอาหารเพิ่มให้เต็มหม้อ
สตรีผู้นั้นมองผ่านไปยังลานกว้าง หลังจากนับจำนวนเหล่าทาสดังเช่นปกติแล้วขยับก้าวไปทางห้องครัว ขณะนั้นเขาก็นั่งลงตรงมุมของลานกว้างแห่งนี้ไม่ให้เป็นที่สะดุดตา เพราะในเวลานี้บรรดาคนในลานกว้างส่วนหนึ่ง หรือบางทีอาจจะทั้งหมดต่างไม่เป็นมิตรต่อเขา ดังนั้น การไม่เป็นจุดสนใจจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ถอนหายใจแล้วเช็ดมือข้างขวากับเสื้อตนอยู่หลายครั้ง หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ การทานข้าวด้วยมือเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยจินตนาการถึงด้วยซํ้า ทว่าทุกอย่างที่ประสบพบเจอล้วนเกินกว่าจะจิตนาการทั้งนั้น
วันๆ หนึ่งต้องล้างมือด้วยพีโจดัน[1]อยู่หลายรอบและอาบนํ้าที่ใส่ผลคารอบ[2]ผสมลงไป ทว่าพอมาตอนนี้มันก็กลายเป็นเพียงความทรงจำในอดีตอันเลือนรางเท่านั้น
ทำได้เพียงก้มหน้าลงหยิบข้าวกับผักคำเล็กขึ้นมาใส่ปาก แทนที่จะขยับคราเดียวเช่นทาสคนอื่น นิ้วมือเปรอะเศษข้าวกลับค่อยๆ ขยับห่างจากปากทีละนิ้วอย่างระมัดระวัง เขาเริ่มต้นทานข้าวด้วยมือมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว แต่ยังคงไม่ทิ้งความสง่างามเมื่อครั้นยังใช้ตะเกียบนั่งทานบนโต๊ะอาหาร
เขาไม่ได้หลงลืมว่าตนเองเป็นใคร และไม่ลืมว่าด้วยสาเหตุใดถึงต้องมาใช้ชีวิตต่ำต้อยเช่นนี้ มันเป็นการขัดขืนเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถแสดงต่อผู้คนเหล่านั้นได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพวกเขาเฝ้ามองอยู่หรือไม่ก็ตาม
เมื่อทานข้าวไปได้มากกว่าครึ่ง สิ่งที่สตรีผู้นั้นซ่อนไว้ใต้ข้าวก็ปรากฎรูปร่างออกมา มันห่อหุ้มอยู่ภายใต้เปลือกหนาแน่นคือไข่ไก่นั่นเอง นางจงใจนำมันมาเองด้วยการซุกซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ เขาเหม่อมองไข่ไก่ก่อนจะนำใส่แขนเสื้อของตน เหลือข้าวที่ทานไม่หมดเอาไว้ แม้จะถือเป็นหนี้บุญคุณ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของนางได้
ก่อนผู้คุมจะมาถึง เหล่าทาสที่กินข้าวเสร็จก็พากันขยับบิดขี้เกียจไปมา บ้างก็นั่งพักผ่อนคลายอยู่บนพื้น หรือไม่ก็นั่งเรียงแถวเอนหลังพิงผนัง
และในเวลานั้นเอง เขาที่ยังคงทานข้าวอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งของลานก็โดนกลุ่มทาสที่กำลังเบื่อหน่ายพบตัวเข้าให้จนได้
“โซกัง ใยถึงชักช้าเช่นนี้ เจ้ายังไม่เสร็จสิ้นงานของตนเลยมิใช่หรือ”
เจ้าของชื่อโซกังก็วางถ้วยนํ้าเต้าลงก่อนจะพลิกตัวคว่ำหน้า โดยไม่มีการขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้นเพราะมันเป็นวิธีที่จะสามารถจบเรื่องน่าอับอายนี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อเห็นโซกังพลิกตัวคุกเข่าสี่ขาราวกับสัตว์เดรัชฉานแล้ว ผู้คนรอบตัวก็หัวเราะคิกคักออกมา ทว่ารอยยิ้มของทุกคนต่างมีความโกรธแค้นเจืออยู่ และความโกรธแค้นนั้นเป็นเหตุให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
อีกฝ่ายคุกเข่าลงด้านหลังก่อนจะปลดเชือกและดึงกางเกงลง โดยมีพวกคนที่เหลือล้วนเข้ามายืนล้อมเป็นวงกลมช่วยบังคนทั้งสองเอาไว้ ชายที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังของโซกังลูบไล้ส่วนกลางกายของตน แล้วดึงกางเกงของโซกังลงอย่างแรง จากนั้นก็จ่อส่วนปลายของสิ่งนั้นเข้ากับบั้นท้ายขาวผ่องพลางเอ่ยเสียงกระเส่า
“กัดฟันไว้ให้แน่นล่ะ”
แทนคำตอบนั้น โซกังก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วเอาปากกัดแขนเสื้อตนไว้แน่น ชายผู้นั้นถมน้ำลายประมาณสองครั้งลงบนแกนกาย ก่อนจะถูมันไปมาแล้วจึงเริ่มเสือกส่งเข้าไปในช่องทางของโซกังอย่างเต็มกำลัง
“อึก ฮึก”
ส่วนปลายอวบฝืนรุกรานเข้ามาในช่องทางแห้งสนิท นํ้าลายที่ถมลงมาสองครั้งไม่ได้ช่วยอะไรเลย เนื้อกับเนื้อเสียดสีกันอย่างรุนแรง พอส่วนกลางกายกับผิวเนื้ออ่อนของช่องทางเสียดสีกัน มันก็นำความเจ็บปวดมาให้ทั้งสอง แต่ทว่าแม้ชายผู้นั้นจะเจ็บปวด ก็ยังอัดกระแทกแกนกายของตนเข้าไปจนสุด เมื่อมันแทรกผ่านเข้าไปถึงด้านใน เยื่อเมือกเหนอะหนะภายในก็คล้ายจะฉีกขาดในทันที
ร่างกายของโซกังที่กัดฟันแน่นเริ่มสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นยิ่งกว่าอีกฝ่าย เห็นเช่นนั้นแล้ว มันก็เพียงแค่ปลุกเร้าราคะของคนกระทำขึ้นมาเท่านั้น
สิ่งแปลกปลอมที่กดกระแทกเข้ามาจนสุดโคนเริ่มเคลื่อนไหว เพราะไม่คิดจะให้เกิดเสียงดัง บริเวณนั้นจึงมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วกับเสียงลมหายใจหอบหนัก เมื่อมันขยับเปิดช่องทางซ้ำๆ ภายในก็เริ่มบีบและคลายตัวตอบสนองโดยธรรมชาติ บ่งบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับโซกังเป็นครั้งแรก
“อึก…”
หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาจากดวงตาปิดสนิท น้ำตาที่ไม่ได้ไหลยามชายผู้นั้นฝืนแทรกเข้ามาในตัว ตอนนี้มันกำลังหลั่งไหลออกมาตามความรู้สึก
ทว่าภายในกลับช่วยปลุกความคึกคักของอีกฝ่าย ไม่มีเกี่ยวข้องกับการร้องไห้ของเจ้าตัว ภายในช่องทางคับแน่นแต่อ่อนนุ่มขยายตัวออกตามการขยับ ทุกครั้งที่กระแทกเข้ามาก็ยิ่งตอดรัดแน่น ไม่ว่าโซกังจะรู้สึกขยะแขยงเพียงใดก็ตาม แต่ร่างกายกลับตอบสนองกลืนกินตัวตนของชายผู้นั้นอย่างชำนาญ มันเป็นเพราะร่างกายคุ้นเคยการเสพสังวาสกับบุรุษเพศ และเป็นเหตุผลที่ตัวเขาร้องไห้ ความอัปยศที่ร่างกายคุ้นเคยกับการรองรับบุรุษด้วยกัน มันทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกทารุณด้วยกำลังเสียอีก โซกังข่มใจกัดฟันแน่น
ระหว่างกลั้นเสียงกับน้ำตาเอาไว้นั้น เสียงหอบหายใจของคนด้านหลังก็ค่อยๆ หนักขึ้น ก่อนจะเพิ่มความเร็วในสอดกระแทก และฉีดพ่นนํ้ากามอุ่นร้อนเข้ามาภายใน ผู้ปลดปล่อยส่งเสียงหอบเหนื่อยพร้อมถอนตัวออกจากร่างกายของโซกัง
พอเห็นนํ้ากามไหลทะลักออกมาจากช่องทางขยายออก บรรดาบุรุษที่ล้อมรอบอยู่ก็ต่างเอ่ยเร่งเร้า เนื่องจากใช้กฎที่ว่าใครเป็นคนปล่อย คนผู้นั้นก็ต้องจัดการเอง ฝ่ายนั้นจึงสอดนิ้วเข้าไปในร่างกายของโซกังเพื่อกวาดเช็ดของเหลวที่ตนปลดปล่อย เมื่อเห็นนํ้ากามขาวขุ่นไหลเยิ้มออกมาภายนอกแล้ว ก็จัดการเช็ดนิ้วมือเปียกชุ่มบนร่างบอบบางด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง
จากนั้นชายคนต่อมา แล้วก็คนต่อมาต่างก็กดสะโพกเข้ามาไม่ต่างจากคนแรก กระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงตอนโซกังกำลังรองรับชายหนุ่มรายที่สี่ เสียงของผู้คุมก็ดังขึ้น
“ไปทำงานได้แล้ว รีบมารวมตัวกันเร็วเข้า!”
คำสั่งนั้นทำเอาคนที่กำลังหายใจหอบหนักอยู่ด้านหลังบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ ครั้งนี้ก็อีก มันต้องเป็นข้าทุกทีเลยหรือไงกัน”
“เอาเถอะน่า ถึงอย่างไรก็ได้ลองชิมแล้วนิ”
“เจ้าปลดปล่อยแล้วก็พูดได้สิ ข้ายังไม่ทันได้ปลดปล่อยอะไรเลยเนี่ย”
“ครั้งหน้าก็ภาวนาให้เสร็จเร็วๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เริ่มคนแรกเสียสิ”
ถึงจะยังคงบ่นต่อไป แต่อย่างไรก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้คุม สุดท้ายอีกฝ่ายจึงถอนแกนกายแข็งตึงออกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปลดปล่อย จากนั้นก็ดึงเสื้อขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ แล้วหมุนตัวกลับ ในบรรดาผู้คนเหล่านั้นไม่มีใครสักคนจะช่วยดึงชุดของโซกังขึ้น หรือช่วยบังตอนเจ้าตัวดึงเสื้อผ้าขึ้นมาเอง
“เฮ้อ อึก…”
โซกังจัดการดึงชั้นในและกางเกงขึ้นมามัดเชือกแน่นด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงนั้น แม้ผู้คุมจะมองเห็นเขานั่งก็ไม่ได้ตะโกนเรียกอันใด เหตุผลเพราะถึงโซกังจะเป็นทาส แต่ก็ได้รับยกเว้นจากการใช้แรงงานเฉกเช่นผู้อื่น คราแรกคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะร่างกายตนดูไม่สามารถใช้แรงงานได้จึงถูกกันออกมา ทว่าตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเขาเป็นบุตรชายของผู้ใด ก็เป็นเหตุให้ถูกใช้งานอย่างอื่นแทน
แน่นอนว่าเป็นใต้เท้าตำแหน่งสูงที่ไม่คาดคิดว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง เป็นผู้ออกคำสั่งห้ามเขาทำงาน
ซึ่งนั่นคือเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน และเป็นหนึ่งปีก่อนที่ต้องเผชิญการข่มเหงจากบรรดาทาสหลวงเช่นนี้เป็นครั้งแรก
[1] พีโจดัน เกิดจากการผสมผลของต้นคารอบกับเครื่องหอมแล้วกวนให้เข้ากัน ปัจจุบันคือสบู่นั่นเอง
[2] คารอบ พืชในวงศ์ถั่ว เป็นพืชท้องถิ่นในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะคล้ายต้นมะขามเทศ