ฝนตกหนักอย่างกับฟ้ารั่ว เหลยหงอยู่ในชุดกันฝนเขาสั่งการเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่คุ้มกันให้ทำอะไรบางอย่าง พวกเขาโชคไม่ดีเอาเสียเลยเดินทางออกจากตงหนิงได้เพียงหนึ่งวันฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก
เจ้าหน้าที่ ผู้ติดตาม นักโทษ ครอบครัว…ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่สถานีส่งสารนั้นมีคนอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด พวกเขาคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ออกนานแล้วจึงได้พกกระโจมมาจำนวนมาก แต่เมื่อฝนตกกระโจมที่เดิมทีอยู่อย่างอึดอัดอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งอึดอัดมากขึ้นไปอีก มีเจ้าหน้าที่มารายงานเขาว่า “ใต้เท้า ห้องเต็มแล้วขอรับ”
เหลยหงมองไปยังรถลากคันเล็ก “ย้ายไปอีกห้อง” เจ้าหน้าที่รู้สึกลำบากใจ “ย้ายไม่ได้แล้วขอรับ แค่โรงเก็บไม้ก็เต็มแล้วขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาห้องของข้าไป” เขาพูดโดยไม่ลังเล
“คือ…”
“ทำตามที่ข้าบอกซะ”
“ขอรับ” เจ้าหน้าที่เพิ่งตอบรับคำก็เห็นอาหว่านเดินกางร่มมาทางนี้ “ไม่จำเป็น คุณชายได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ” แล้วนางก็เดินผ่านเหลยหงไปพูดคุยกับเด็กรับใช้ของจี้หลิง
นี่เป็นโอกาสที่จะถูกขโมยความโปรดปรานใช่หรือไม่ เจ้าหน้าที่เหลือบมองเหลยหง จากท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกของเขาในหัวคงเต็มไปด้วยอารมณ์ยุ่งเหยิงเป็นหมื่นคำ…
ในตอนนี้หมิงเวยนั่งอยู่ในรถม้าในมือของนางมีหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ที่นางมองไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นกระดาษที่คั่นกลางหนังสือเอาไว้บนกระดาษนั้นมีวงกลมเล็กๆ ที่ผิดปกติจำนวนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้นจี้หลิงก็เดินเข้ามา
“น้องหญิง!”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่”
จี้หลิงพยักหน้า “ห้องจัดเสร็จแล้วพวกเราเข้าไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” สัมภาระของทั้งสองพี่น้องมีไม่มาก พวกเขาพาสาวใช้หนึ่งคนกับเด็กรับใช้แค่หนึ่งนายมาด้วยเท่านั้น ผู้ส่งสารนำทางพวกเขามาที่เรือนหลังและชี้ไปยังห้องที่อยู่ชั้นบน
จี้หลิงพอใจมากนั่นเป็นห้องที่อยู่ด้านในสุดและค่อนข้างสะอาด หมิงเวยกับตัวฝูนั่งลง จากนั้นก็เห็นว่าจี้หลิงอยู่นอกห้องโดยใช้เก้าอี้สองตัวและไม้กระดานมาประกอบเป็นเตียงง่ายๆ
“พี่ใหญ่จะนอนที่นี่งั้นหรือ”
จี้หลิงตอบ “ห้องเต็มหมดแล้วมีพื้นที่ให้นอนได้ก็ไม่เลว อย่างไรก็ตามสถานีส่งสารมีผู้คนมากมายมีพี่คอยเฝ้าอยู่ตรงประตูให้น้องจะได้นอนหลับอย่างสบายใจ”
“….” คำพูดโน้มน้าวติดอยู่ที่ปลายลิ้นของหมิงเวยแล้วนางก็กลืนมันลงคอไป
หากอยากให้จี้หลิงไปนอนที่อื่นต้องมีห้องเหลือให้เขาย้ายออกไป แต่วันนี้ฝนตกหนัก ผู้คนเต็มสถานีส่งสารกว่าจะหาห้องว่างให้นางนั้นก็ยากแล้วยังจะไปหาที่ไหนได้อีกกัน แต่จะให้เขานอนหน้าประตูถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมา…
ในตอนนั้นเองอาหว่านก็เดินเข้ามาหา
คนที่นางต้องการพบไม่ใช่หมิงเวย แต่เป็นจี้หลิง “คุณชายจี้ คุณชายของเราบอกว่า ค่ำคืนนี้ฝนตกแรงมากเหมาะแก่การแต่งกวีเหลือเกิน อีกทั้งคุณชายจี้เองก็มีชื่อเสียงในเมืองหลวงจึงอยากเรียนเชิญคุณชายจี้มาร่วมดื่มและแสดงฝีมือได้หรือไม่เจ้าคะ”
จี้หลิงรู้สึกประหลาดใจมากเขาไม่คิดว่าตนเองและหยางชูจะมีทัศนคติที่ตรงกันสักเท่าไร อีกฝ่ายมาเชื้อเชิญเขากะทันหันเช่นนี้หรืออาจเป็นเพราะ…
หมิงเวยเห็นพี่ใหญ่มองมาที่ตนเองจึงยิ้มกว้างกลับไป จี้หลิงรู้สึกใจสงบ เขารู้ว่าน้องสาวของตนไม่รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าคุณชายผู้ลากมากดีผู้นั้นทำเช่นนี้เพื่อต้องการเอาใจตน
ฮึ! ไม่รู้จะว่ากระไรเลยจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่น้องสาวของเขาหมั้นหมายกับน้องห้า ถึงแม้จะไม่ได้หมั้นหมาย แต่เขาจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร!
ก็ดี ตนก็กำลังอยากพูดคุยกับเขาอยู่เหมือนกัน
“คุณชายเรียนเชิญเช่นนี้ ข้าน้อยจะปฏิเสธได้อย่างไร เชิญแม่นางนำทางได้เลย”
อาหว่านกวักมือเรียกเด็กรับใช้แล้วสั่งให้พาจี้หลิงไปหาหยางชูส่วนตนเองนั้นเดินเข้าไปในห้องของหมิงเวย เมื่อประตูปิดลงอาหว่านก็ย่นจมูกแล้วพูดว่า
“พี่ใหญ่ของท่านผู้นี้คบค้าสมาคมได้ยากเสียจริง แค่เห็นสีหน้าของเขาก็รู้สึกราวกับเชิญเขาไปงานเลี้ยงหงเหมิน[1]”
หมิงเวยตอบกลับอย่างเฉยเมย “ถ้ารู้สึกไม่ดีเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดกับเขาก็ได้นะ”
อาหว่านรู้สึกไม่พอใจ “ข้าเพิ่งได้คุยกับเขาแค่ประโยคเดียว ท่านว่าเช่นนี้ได้หรือ”
หมิงเวยเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เขาเป็นพี่ใหญ่ของข้าแล้วท่านเป็นใครกันล่ะ”
“ท่าน!” อาหว่านโกรธนางเดินกระทืบเท้าออกไป
ตัวฝูรู้สึกกังวล “คุณหนู ท่านทำให้นางโกรธแล้ว”
หมิงเวยไม่สนใจ “วางใจเถอะ อีกเดี๋ยวนางก็กลับมา”
เมื่อพูดจบอาหว่านก็เดินกลับมาจริงๆ ด้านหลังของนางมีสาวใช้ถือกล่องอาหารเข้ามา อาหว่านหน้าตึง “มื้อเย็น!”
“ขอบคุณเจ้ามาก” สีหน้าของหมิงเวยยังคงไม่เปลี่ยนนางส่งสัญญาณให้ตัวฝูเดินไปรับกล่องอาหารมา อาหว่านยืนหน้าบูดพิงประตูมองสองนายบ่าวทานอาหารเย็นร่วมกัน
หมิงเวยมองไปยังฝนที่ตกหนักข้างนอกแล้ววางหมั่นโถวกับเนื้ออบกลับไปไว้บนกล่องอาหารจากนั้นก็พูดกับตัวฝูไปว่า “เจ้าไปตามหาว่าท่านป้าสองและทุกคนอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นไปได้พาน้องแปดกับน้องเก้ามาที่นี่ด้วย” ตัวฝูรับคำแล้วเดินถือกล่องอาหารออกไป
อาหว่านกอดอกแค่นหัวเราะ “ท่านใจดีอย่างนี้ทำไมวันนั้นที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายถึงทำให้พวกเขาตกใจกลัวล่ะ”
หมิงเวยส่งสัญญาณให้นางปิดประตูแล้วตอบอย่างจริงจัง “ข้าเป็นคนที่ยุติธรรม! พวกเขาทำผิดต่อท่านแม่แน่นอนว่าต้องเอาคืน แต่พวกเขาก็ช่วยเหลือข้าเช่นกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าก็ต้องช่วยพวกเขาด้วยจะได้ไม่ต้องติดค้างกันอีก แบบนี้ดีแล้ว”
อาหว่านเม้มปาก “เหตุผลตลกสิ้นดี!”
หมิงเวยยิ้มพลางคีบอาหาร “สำหรับข้ามันก็สมเหตุสมผลแล้วที่จะพูดว่าแต่ทำไมวันนี้เจ้าถึงได้โกรธง่ายนักนะ”
ไม่นานตัวฝูก็กลับมารายงานว่า “พวกเขาอยู่ที่กระโจมเจ้าค่ะ อยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว แต่คุณหนูแปดกับคุณชายเก้าปฏิเสธไม่ยอมมา บ่าวจึงมอบกล่องอาหารไว้ให้แล้วกลับมาเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้า “พวกเขาไม่มาก็ไม่เป็นไร”
นางถอนหายใจในใจ เด็กๆ ตระกูลหมิงล้วนเป็นเด็กดี น่าเสียดายที่มีเรื่องเหล่านี้มาคั่นกลางจึงทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกัน ช่างเถอะ ถือซะว่าไม่มีวาสนาต่อกัน
ในห้องพักไม่ไกลออกไปจี้หลิงได้เผชิญหน้าและร่วมดื่มกับหยางชู นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จี้หลิงได้พบกับหยางชู เมืองหลวงแม้จะกว้างใหญ่ แต่สถานที่สุนทรีนั้นมีไม่มาก จี้หลิงพบปะกับเพื่อนร่วมเรียนเป็นครั้งคราวจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องเจอกับคุณชายพราวเสน่ห์ผู้นี้ แต่พวกเขาไม่ใช่คนที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน ถึงแม้จะได้พบกัน แต่ก็ไม่ได้มีการสนทนากันแต่อย่างใด
การเดินทางกลับเมืองหลวงในครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเผชิญหน้าด้วยกัน หยางชูดื่มสุราเสร็จก็มองจี้หลิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้ม “พี่จี้ไม่พอใจอาหารกับสุราหรือ ไม่ดื่มไม่ทานเช่นนี้ดูไม่ค่อยเห็นแก่หน้าข้าเลย”
จี้หลิงตอบอย่างเฉยเมย “อาหารสุรารสชาติดีมากขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยไม่สนใจ”
หยางชูชะงักสีหน้าของเขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “อ้อ พี่จี้ไม่พอใจข้างั้นหรือ”
จี้หลิงเคาะนิ้วกับโต๊ะอยู่สองครั้งแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าหลายวันมานี้คุณชายหยางดูแลน้องสาวของข้าน้อยเป็นอย่างดีข้าน้อยจึงมาที่นี่เพื่อขอบคุณขอรับ”
หยางชูเท้าคางด้วยมือข้างเดียวและพยักหน้าอย่างเกียจคร้าน “เข้าใจแล้ว มีอย่างอื่นอีกไหม”
“แล้วก็…” จี้หลิงเงยหน้ามองเขา “ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ยินข่าวลือในตงหนิง ถึงวิธีนี้จะดีต่อการทำคดีของคุณชาย แต่หวังว่าเมื่อคุณชายกลับเมืองหลวงแล้วจะไม่ใช้วิธีนี้อีก”
หยางชูยิ้ม “นี่เป็นการเตือนข้างั้นหรือ”
“ไม่ขอรับ เป็นการขอร้อง” จี้หลิงสบตาเขาตรงๆ “คุณชายเป็นลูกหลานของคนในราชวงศ์คงไม่สนใจข่าวลือพวกนั้น แต่น้องสาวของข้าน้อยเป็นแค่สตรีตัวเล็กผู้หนึ่ง คงไม่สามารถทนพายุฝนที่โหมกระหน่ำได้ คุณชายโปรดเข้าใจด้วยเถิดขอรับ”
หยางชูหัวเราะแล้วยื่นมือไปตบไหล่เขา “พี่จี้จริงจังเกินไปแล้วเรื่องเล็กพวกนี้ ออกจากตงหนิงข้าก็ลืมไปหมดแล้ว มาๆๆ มาดื่มกัน!”
ท่าทีของเขาทำให้จี้หลิงอดสงสัยไม่ได้ “คุณชายหยางรับปากแล้วหรือขอรับ”
“ถึงแม้ท่านไม่พูดข้าก็ไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาหรอก” หยางชูพูดออกมาเต็มปาก “เรื่องที่ท่านกังวล ข้ารับปากท่านแล้วเรามาดื่มกันได้หรือยัง”
จี้หลิงถูกบังคับให้ดื่มสุราโดยไม่ทันได้ตั้งตัวผ่านไปไม่นานเขาก็ทนต่อไม่ไหว หยางชูหยิบขวดซ้ายขวดขวารินให้เขา แสงสลัวในความมืดได้ดับลงเสียงจ้อกแจ้กจอแจในตอนแรกผ่านไป และแล้วสถานีส่งสารก็ได้เงียบลง
หยางชูมองจี้หลิงที่เมามายแล้วพูดกับตัวเอง “กลับเมืองหลวงไปข้าไม่ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ต้องไปพบน้องสาวของท่านแล้วล่ะ!” เขาหยิบร่มหนังฉลามแล้วออกไปทางหน้าต่างโดยไม่คิดที่จะเปิดประตู
………………………
[1] งานเลี้ยงหงเหมิน : งานเลี้ยงหงเหมิน เป็นงานเลี้ยงสำคัญในประวัติศาสตร์จีน เมื่อเซี่ยงหยี่ (บ้างเรียกว่า เซี่ยงหวี่, ฌ้อปาอ๋อง ก็มี) ส่งเทียบเชิญหลิวปัง (เล่าปัง) ไปร่วมงานเพื่อหลอกฆ่ากลางงานเลี้ยง ซึ่งแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็สร้างความหวาดหวั่นกับผู้คน ต่อมาผู้คนได้เรียกงานเลี้ยงที่มีแผนการซ่อนเร้นอยู่, งานเลี้ยงที่แฝงเจตนาไม่ดี ว่า “งานเลี้ยงหงเหมิน”