วันที่แปดเดือนสี่ เทศกาลสรงน้ำพระ ด้านหน้าวัดเป่าหลิงมีรถม้าขนาดใหญ่อยู่
เนื่องจากคำเชิญของฉีตงจวิ้นอ๋องแล้วยังมีท่านเจ้าเมืองอู๋คอยเอาอกเอาใจเพื่อให้รู้สึกสนุก เหล่าเจ้าหน้าที่และชนชั้นสูงจึงมารวมตัวกันครบ
ทางเดินบนเขาที่มุ่งหน้ามายังวัดเป่าหลิงมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาทางนี้
อาหว่านเลิกม่านมองออกไปเห็นว่ารถม้าไม่มีท่าทีว่าจะเคลื่อนตัวเข้าไปก็พึมพำ “แค่เทศกาลสรงน้ำพระ เหตุใดผู้คนถึงได้เยอะเพียงนี้”
“หญิงสาวจากชนชั้นสูง หนึ่งปีมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ออกมาข้างนอก แน่นอนว่าหากออกมาได้ก็จะออกมากันหมด”
หมิงเวยพูดไปกินผลไม้แช่อิ่มไป
อาหว่านรู้สึกโกรธที่นางดูสบายๆ ขณะเดียวกันปิงซินก็เดินมาจากด้านหลังและบอกว่าแม่นมถงไม่ค่อยสบายนางจึงลงจากรถเพื่อไปดู
แม่นมถงป่วยมาตลอด เดิมทีหมิงเวยไม่อยากให้นางมาด้วย แต่นางยืนกรานว่าจะมาเพื่อสวดมนต์ขอพรให้ฮูหยิน เมื่อพิจารณาสาเหตุการป่วยของนางแล้ว พบว่านางป่วยเป็นโรคตรอมใจ เคยสอบถามอาหว่าน หมิงเวยเองก็เห็นด้วย
ตัวฝูตามไปดูด้วยสองตาแล้วกลับมารายงานว่า
“คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ แม่นมถงแค่เมารถเพียงเล็กน้อย แม่นางอาหว่านกำลังนวดให้แม่นมถงอยู่”
หมิงเวยยิ้มออกมา “อาหว่านผู้นี้จิตใจดี เพียงแต่ปากเสียไปหน่อย”
ตัวฝูเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายจึงไม่คิดแข่งกับอาหว่าน พอได้ยินหมิงเวยพูดเช่นนี้นางก็ทนไม่ได้ “บ่าวรู้เจ้าค่ะ แต่ท่าทีที่นางมีต่อคุณหนูทำให้คนไม่ชอบใจจริงๆ”
หมิงเวยทานผลไม้แช่อิ่มเสร็จก็ดื่มน้ำตามช้าๆ “นางคงมีอดีตที่ไม่มีผู้ใดรู้ เกิดมาบอบบาง ร่วงโรยกลายเป็นโคลน อารมณ์ร้อนเล็กน้อย เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
ตัวฝูฟังแล้วสับสน “ที่คุณหนูกล่าวมานางไม่ได้มีชาติกำเนิดเป็นสาวใช้หรือเจ้าคะ”
“ไม่ว่าชาติกำเนิดของนางจะเป็นอย่างไร นางจะทำอันใดเราได้ นางอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ ข้าขี้เกียจที่จะใส่ใจ หากไม่ให้เงินผู้ใดจะช่วยสอนนางกัน”
ถึงแม้ตัวฝูจะไม่เข้าใจ แต่ความหมายของคำว่าความสัมพันธ์ใกล้ชิดนางเข้าใจดี นางยังคงเป็นคนที่คุณหนูไว้วางใจที่สุด แม่นางอาหว่านผู้นั้น นางไม่จำเป็นต้องสนใจ
“คุณหนูดื่มชาเจ้าค่ะ” นางส่งถ้วยชาให้อย่างเอาใจใส่
หมิงเวยพยักหน้าและรับมาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าอย่าลืมท่องคาถาด้วยล่ะ บทนี้ต่อให้นางจ่ายเงินมากเพียงใดข้าก็ไม่สอน”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” ตัวฝูตอบรับเสียงสดใส
มีเสียงเกือกม้าอยู่ด้านนอกจากนั้นพวกนางก็ได้ยินการสนทนา
“อาสวน เหตุใดจึงมีรถม้ามากมายเช่นนี้”
“เรียนคุณชายได้ยินมาว่าวันนี้มีผู้แสวงบุญมากันเยอะ วัดเป่าหลิงจึงไม่มีที่เพียงพอที่จะรองรับได้”
“อย่างนี้นี่เอง! ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปอย่างช้าๆ เถอะ”
หมิงเวยเลิกม่านขึ้นแล้วนางก็เห็นคุณชายท่านหนึ่งขี่ม้าอยู่ด้านข้าง
ม้าสิงโตหยก[1] บุรุษชุดขาวนั่งบนอานม้าสีทองสง่างามราวกับเทวดาลงมาจุติ
เหมือนเขาจะหยุดตรงรถม้าที่นางนั่งอยู่โดยบังเอิญ สายตาของเขาก้มลงมาแล้วสบตาเข้ากับนางโดยบังเอิญอีกเช่นกัน
นางหัวเราะเยาะออกมา ทั้งชีวิตนี้แม้แต่ชาติที่แล้ว นางไม่เคยพบเจอคนที่เสแสร้งได้ถึงเพียงนี้มาก่อน!
โชคดีที่เขาเกิดมามีชีวิตที่ดีจะเล่นสนุกเพียงใดก็ได้
“นั่นใช่แม่นางหมิงหรือไม่ บังเอิญเสียจริง!”
หมิงเวยหัวเราะ “ที่แท้ก็คุณชายหยางนี่เอง บังเอิญจริงๆ ที่นี่มีรถม้าตั้งมากมายเพียงนี้ แต่คุณชายกลับเลือกจอดตรงนี้”
ทางด้านอาสวนก็ตามมาข้างหน้าทันที เขายกร่มบังแสงอาทิตย์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์
“….” การกระทำอันแสนพิถีพิถันนี้ทำเอาหมิงเวยรู้สึกชื่นชม
บุรุษผู้นี้ยังกลัวที่จะตากแดดจนหน้าดำ
“การพบกันที่ไม่คาดคิดเช่นนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่พุทธศาสนาได้กล่าวไว้!” คุณชายหยางมองลงมาแล้วยิ้มสายตาเปี่ยมไปด้วยความเสน่หา
“เหตุผลของคุณชายมีมากเกินไปแล้ว ผู้ที่มาวัดเป่าหลิงมีมากมายเช่นนี้ การได้พบคุณชายโดยไม่คาดคิดช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่แท้จริง”
พูดจบหมิงเวยก็ลดเสียงลง “พอได้แล้วหรือยังเจ้าคะ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าไม่รับปากว่าจะไม่ตีท่าน!”
หยางชูเลิกคิ้ว “ถ้างั้นท่านตีข้าอย่างที่เคยทำก็ได้นะ”
กล่าวจบเขาก็ไม่ให้โอกาสนางได้พูด พูดเสียงดังขึ้นว่า “หนทางไม่สะดวกเท่าใด แม่นางหมิง แล้วพบกันใหม่”
อาหว่านได้ยินเสียงก็รีบกลับมา แต่น่าเสียดายที่นางมาทันแค่เห็นก้นม้าเท่านั้น นางปีนขึ้นไปบนรถแล้วถอนหายใจ “คุณชายไม่รอข้าเลย”
หมิงเวยยิ้ม “วันข้างหน้าหากเจ้าอยากมองก็ได้มอง ไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้หรอก”
นางหมายถึงเมื่อเรื่องนี้จบลงอาหว่านก็ได้กลับไปอยู่ข้างกายหยางชู แน่นอนว่าตอนนั้นหากนางอยากมองก็ได้มอง
……
ขบวนรถม้าของจวิ้นอ๋องตามหลังหยางชู รถม้าของตระกูลหมิงหลบไปด้านข้าง เปิดทางให้พวกเขาผ่านไปก่อน รถม้าของจวิ้นหวังเฟยขับผ่านในขณะที่ฟังบทสนทนานี้โดยไม่พลาดสักคำ
อันเซียงเสี้ยนจู่ที่นั่งข้างกายจวิ้นหวังเฟยพูดอย่างรำคาญ “คุณหนูเจ็ดผู้นี้ช่างไร้ยางอาย! เป็นคุณหนูอยู่แต่ในเรือนแต่กลับพูดจาเช่นนี้ ข้าเห็นว่าอาเซียงไม่เลวเลย แต่เหตุใดพี่สาวของนางถึงเป็นเช่นนี้ได้!”
จินหลินเสี้ยนจู่ยกยิ้ม “ถึงพวกนางจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็มีนิสัยต่างกัน อาเซียงดีหรือไม่ดี คุณหนูเจ็ดดีหรือไม่ดีก็ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว พวกนางเป็นพี่น้องกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันนี่”
อันเซียงเสี้ยนจู่คิด “ก็จริง เดิมทีคุณหนูเจ็ดเป็นคนโง่ถึงจะหายดีแล้วแต่ก็ไม่เหมือนคนธรรมดาปกติ” แต่นางก็ยังรู้สึกโกรธ
“เหตุใดท่านพี่ถึงได้พอใจในตัวนางกันนะ นอกจากใบหน้านั้นแล้วยังมีอะไรดีอีก!”
จินหลินเสี้ยนจู่ถอนหายใจ “มีใบหน้างดงามนั่นไม่ง่ายเลย บุรุษในใต้หล้าล้วนแสวงหาความงามราวกับดอกไม้ทุกคนกระมัง”
พูดถึงเรื่องนี้นางก็ถูกจวิ้นหวังเฟยจิ้มหน้าผาก “เจ้าพูดอันใดกัน ถึงคุณหนูเจ็ดจะดูไม่เข้าท่าแต่พวกเจ้าก็ไม่ควรคิดไปถึงเรื่องนั้น!”
คนรอบข้างไม่ได้ยินประโยคนี้ แต่มีกี่คนที่เห็นพวกนางสนทนากัน
ก่อนหน้านี้มีแม่นางจากตระกูลหลีเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว หลายวันมานี้ไม่มีใครกล้าไปยั่วยุคุณชายหยาง การได้เห็นเขาขี่ม้าด้วยท่าทางที่สง่างามเช่นนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้
หากดอกไม้ที่อยู่สูงดอกนี้ไม่มีใครเด็ดได้ก็ช่างมันเสีย แต่ถ้ามีใครทำให้เขามองมันต่างออกไปได้คิดแล้วก็รู้สึกข้องใจ
แล้วคุณหนูเจ็ดมีอันใดกัน เด็กกำพร้าที่สูญเสียบิดามารดา มารดาก็แขวนคอตาย ในเรือนก็เกิดความวุ่นวาย นางไปเข้าตาเขาได้อย่างไรกัน
แล้วความโกรธเพียงเล็กน้อยก็ถูกทิ้งไว้บนทางเดินบนเขาอิจฉาเพียงเล็กน้อย เศร้าโศกเสียใจเพียงเล็กน้อย
คนที่ข้องใจมีมากมายคำพูดนี้ถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ในรถม้าอีกคันหนึ่งท่านอู่หัวเราะ “ดูเหมือนคุณชายหยางจะมาพบสาวงามจริงๆ ถึงได้ดึงใต้เท้าเจี่ยงมาเพื่อรักษาภาพพจน์”
ฉีตงจวิ้นอ๋องยิ้ม “คนรุ่นเยาว์อยากทำอะไรก็ทำ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!”
แต่ก็ชะงักและพูดว่า “อย่างไรก็ตามพวกเราต้องใส่ใจกับเรื่องนี้มากขึ้นหน่อย เขาให้คนมาพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะ เรื่องนี้คงมีจุดที่น่าสงสัยจริงๆ หากเกิดเรื่องจริงๆ ขึ้นมา…”
“ขอรับ” ท่านอู่ตอบด้วยความเคารพ
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะระวังไว้ ถ้าเชื่อใจมันก็มี แต่ถ้าไม่เชื่อใจกันมันก็ไม่มี”
เสนาธิการข้างกายเขาฉลาดมีไหวพริบเช่นนี้ฉีตงจวิ้นอ๋องก็พอใจ “มีท่านอยู่ข้างกาย เปิ่นหวางโชคดีไปสามชาติ”
ท่านอู่ยิ้ม “การที่ข้าน้อยได้พบท่านก็เหมือนโชคดีไปสามชาติเช่นกันขอรับ”
ฉีตงจวิ้นอ๋องหัวเราะ “มาๆๆ ขึ้นเขาต้องใช้เวลาพอสมควร ท่านมาเล่นหมากรุกกับเปิ่นหวางสักตาดีหรือไม่”
“ด้วยความยินดีขอรับ” ทั้งสองคนปล่อยประสบการณ์มาต่อสู้โรมรันกันบนกระดานหมากรุก แล้วบทสนทนาก่อนหน้านี้ก็ได้ลอยไปตามสายลม
……………………………….
[1] ม้าสิงโตหยก : ม้าที่มีสีขาวประดุจดั่งหิมะตลอดทั้งตัว ตามตำนานกล่าวว่าม้าสิงโตหยกสามารถวิ่งได้ถึงวันละหนึ่งพันลี้เป็นม้าที่มีต้นกำเนิดในดินแดนตะวันตก เป็นยอดของยอดม้า