คดีของฉีตงจวิ้นอ๋องเปิดฉากขึ้นอย่างคึกคักซึ่งผู้คนทั่วตงหนิงต่างเฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่หลายวัน และสุดท้ายก็จบลงด้วยการยอมรับผิดของฉีตงจวิ้นอ๋อง
เหล่าผู้คนต่างพึงพอใจกับฉากนี้เป็นอย่างมาก
มีชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ มีผู้คนจำนวนมากมายเสี่ยงชีวิตมาร้องเรียนแล้วยังมีเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ก้มหัวยอมรับความพ่ายแพ้อีก
ในตอนนี้เจี่ยงเหวินเฟิงมาตรวจการที่ตงหนิงถือว่าเป็นการให้ความยุติธรรมที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก
ในห้องลับของร้านหลิงหลง ท่านเจ้าเมืองอู๋หัวเราะออกมาเสียงดัง “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วยขอรับ จบลงเช่นนี้เป็นการให้แท่นบันได[1]กับเจี่ยงเหวินเฟิงที่ดี หากเขาฉลาดพอก็ควรคว้าโอกาสนี้เพื่อออกจากตงหนิงอย่างสง่างาม ชื่อเสียงของชิงเทียนไม่ได้มาง่ายๆ หากตรวจสอบต่อไปก็ไม่มีอันใดดีขึ้น”
ฉีตงจวิ้นอ๋องกับท่านอู่เองก็หัวเราะออกมา หลังจากหัวเราะไปได้สักพัก ฉีตงจวิ้นอ๋องก็นึกอะไรบางอย่างได้
“คดีของตระกูลหมิงยังไม่จบรึ”
ท่านอู่เข้าใจดีจึงตอบกลับไป “ตระกูลหมิงมารายงานตัว เจี่ยงเหวินเฟิงจึงส่งเจ้าหน้าที่หน่วยงานไปสอบสวน เจ้าหน้าที่ผู้นั้นค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์เขาทางอ้อม จึงขอให้เด็กรับใช้ในตระกูลหมิงสารภาพ และวางแผนที่จะรายงานเช่นนั้น”
ท่านเจ้าเมืองอู๋พูดว่า “เจี่ยงเหวินเฟิงผู้นี้ต้องการมีชื่อเสียงที่ดี เขาไม่คิดเลยเสียด้วยซ้ำหากผู้อื่นขอร้องอันใดกับเขา! เขาได้รับชื่อเสียงไปแล้ว ยังบังคับไม่ให้รับผลประโยชน์ใดได้ เช่นนี้ไม่เรียกว่าจับปลาสองมือหรือ”
“การเป็นข้าราชการที่ซื่อตรงก็เป็นเช่นนี้แหละ” ท่านอู่ยิ้ม
ท่านเจ้าเมืองอู๋ผู้ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานจากการพลิกผันเช่นนี้บ่นว่า “คดีของท่านอ๋องเขาได้ทั้งชื่อเสียง และสามารถนำไปรายงานได้ เขาถึงได้ตรวจสอบด้วยตนเอง แต่คดีของตระกูลหมิงผ่านมานานหลายปีแล้วจนไม่เหลือเบาะแสใด เห็นได้ชัดเลยว่าจับมือใครดมไม่ได้ แต่เขาก็ยังส่งเจ้าหน้าที่ไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถึงไม่สามารถแก้ไขคดีได้ แต่ก็ไม่กระทบต่อชื่อเสียงของเขาเป็นการกินแรงเจ้าหน้าที่ผู้นั้นมาก”
พูดถึงเรื่องนี้เขาก็หัวเราะเย้ยหยัน “หึๆ เจี่ยงชิงเทียนผู้นี้ทำตัวเช่นนี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง! น่าเสียดายที่ผู้คนส่วนมากไม่รู้ แค่รู้ว่าเขาไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ ไม่เห็นแก่ตัว ช่างน่าขันนัก!”
ท่านอู่พูด “ในโลกนี้มีคนที่โดดเด่นจริงๆ อยู่หรือ มีคนแสวงหาชื่อเสียง มีคนแสวงหาผลกำไร มีคนแสวงหาบุญคุณ มีคนแสวงหาความทะเยอทะยาน ผู้คนรู้เพียงว่าเจี่ยงเหวินเฟิงเป็นชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาแสวงหาอะไร มันไม่มีอันใดมากไปกว่าชื่อเสียงโด่งดังจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังยกย่อง แต่พวกเรารู้ว่าชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่มันก็เป็นแค่เปลือกเท่านั้นแหละ!”
“ฮ่าๆๆ!”
ท่านเจ้าเมืองอู๋หัวเราะอย่างมีความสุข “ความสามารถอันโดดเด่นของท่านอู่เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
ท่านอู่กล่าวอีกว่า “ทางด้านเจี่ยงเหวินเฟิง เขาไม่สามารถออกโรงครั้งแล้วครั้งเล่าได้ คุณชายหยางผู้นั้นจึงไม่มีอันใดต้องกังวล ได้ยินว่าช่วงนี้เขาพยายามเอาใจใส่คุณหนูเจ็ดนางนั้นอยู่ ตอนนี้ท่านอ๋องยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว เขาคงประจบเอาใจสาวงามต่อได้”
ท่านเจ้าเมืองอู๋ถอนหายใจ “เป็นคุณชายจากจวนตระกูลโหว! ถึงจะมีความสามารถ แต่บนโลกนี้ก็มีสิ่งล่อใจมากมายเกินไป ขุนนางระดับสูงค่าตอบแทนหนัก หญิงงามเลิศล้ำ เขาได้มาอย่างง่ายดายไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเหมือนท่านอ๋องเรื่องนี้ก็จะสวยงามมากยิ่งขึ้นหากสำเร็จ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่มีสิ่งใดขัดขวาง เหตุใดเขาต้องเปลืองแรงด้วย” ฉีตงจวิ้นอ๋องพยักหน้าเห็นด้วย
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน เจ้าของร้านหลิงหลงก็เข้ามารายงาน “นายท่านสองจากตระกูลหมิงมาขอรับ” น้อยนักที่จะเห็นท่านอู่ผู้นี้ขมวดคิ้ว
ฉีตงจวิ้นอ๋องกลับยิ้มแล้วตอบไปว่า “เชิญเขาเข้ามา”
“ขอรับ” หลังจากนั้นไม่นานนายท่านสองก็เดินเข้ามาในห้องเล็กแห่งนี้
นายท่านสองกำลังจะแสดงความเคารพ แต่ฉีตงจวิ้นอ๋องก็ห้ามไว้
“ท่านไม่ใช่คนนอกไม่จำเป็นต้องคารวะหรอก”
นายท่านสองตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดคิดไม่ถึง “ขอบพระคุณท่านอ๋องขอรับ” แล้วเขาก็หันไปคารวะท่านเจ้าเมืองอู๋กับท่านอู่
ทั้งสองท่านก็เป็นคนสุภาพและไว้หน้าเขามาก แต่ก็แค่รอยยิ้มบนใบหน้า ดูสุภาพตรงใดกัน
ท่านอู่ยิ้มแล้วถามไปว่า “นายท่านสอง เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาได้”
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับร้านหลิงหลงแห่งนี้ นายท่านสองเองก็อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น ท่านเจ้าเมืองอู๋เองก็สงสัยมาโดยตลอด ท่านอู่เองก็ทราบดีว่าคนที่มีคุณสมบัติที่จะรู้นั้นไม่ใช่นายท่านสอง แต่เป็นคนผู้หนึ่งที่อยู่เบื้องหลังเขา
ผู้ที่ทำให้เขารู้สึกกลัวมาก…
“ได้ยินว่าคดีของท่านอ๋องจบลงแล้วข้าน้อยจึงมาแสดงความยินดีกับท่านขอรับ”
ท่านอู่ถือถ้วยชาแล้วหัวเราะ “มันไม่ได้มีแค่นั้นไม่ใช่หรือ คนที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่ใช่คนนอก นายท่านสองไม่สามารถกล่าวออกมาตรงๆ ได้หรือ”
นายท่านสองหันไปมองฉีตงจวิ้นอ๋อง เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าเล็กน้อยจึงพูดออกไปอย่างลังเลว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องมาเรียนกับท่านอ๋องขอรับ”
“อ้อ”
“ดูสถานการณ์ของเจี่ยงเหวินเฟิงแล้ว คดีที่อยู่ในมือของเขา อย่างไรก็ต้องสืบหาจนกว่าความจริงจะปรากฏ คดีของท่านอ๋องจบลงแล้ว แต่คดีที่สวนของข้าน้อยยังไม่จบเกรงว่าเขาจะไม่หยุดพัก”
ท่านเจ้าเมืองอู๋ไม่เห็นด้วย “เขาก็แค่ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเป็นการแสดงท่าทีของเขาก็เท่านั้น ตอนนี้คดีของท่านอ๋องจบลงไปแล้วชื่อเสียงของเขารุ่งเรืองอย่างสุดขีดเสมือนดวงตะวันอยู่กลางฟ้า เขาจะหาเหาใส่หัวทำไมกัน”
“ตรงนี้แหละขอรับที่ต้องระวัง” นายท่านสองพูด “ที่เขาทำเช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นการตบตาพวกเรา”
ท่านเจ้าเมืองอู๋โบกมือ “คดีที่จับมือใครดมไม่ได้ หากเขาอยากตรวจสอบแล้วจะตรวจสอบอย่างไรเล่า ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องนี้มีเรื่องภายในอย่างไร แต่กระดูกที่ฝังอยู่ในตระกูลหมิงของท่านมันจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องได้อย่างไร หากมีบางอย่างผิดปกติ ท่านก็แค่หาคนมาสารภาพผิดแค่นั้นก็จบแล้วไม่ใช่หรือ”
หมายความว่าต่อให้มีเรื่องสกปรกอยู่ในเรื่องนี้จริง ตระกูลหมิงก็ต้องเป็นแพะรับบาป ไม่จำเป็นต้องรบกวนฉีตงจวิ้นอ๋องด้วยซ้ำหรือตระกูลหมิงจะไม่ยอมเป็นแพะกัน
ใครใหญ่กว่ากัน นายท่านสองกับท่านเจ้าเมืองอู๋ไม่ได้อยู่ชนชั้นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าท่านเจ้าเมืองอู๋ปฏิเสธคำพูดของตนอย่างง่ายดาย นายท่านสองจึงต้องขอความช่วยเหลือจากฉีตงจวิ้นอ๋อง “ท่านอ๋องขอรับ”
ฉีตงจวิ้นอ๋องรู้ดีว่าคำพูดที่นายท่านสองกล่าวมาไม่ใช่คำพูดของเขา แต่เป็นของอีกคนหนึ่ง
คนผู้นั้นบอกทางให้ตนในยามที่เขาสับสนที่สุด คดีนั้นของตระกูลหมิงนั้นเกี่ยวข้องกับตนเป็นอย่างมาก คำพูดของเขานั้นตนไม่สามารถคิดทบทวนแค่ไม่กี่รอบได้
ดังนั้นฉีตงจวิ้นอ๋องจึงหันไปทางท่านอู่
ท่านอู่เองเข้าใจดีจึงบอกเสียงนุ่มไปว่า “สิ่งที่นายท่านสองกังวล ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลทำมากก็ดีกว่าทำน้อย”
นายท่านสองยิ้มอย่างโล่งใจ “ข้าน้อยทำได้แค่เตือน แต่จะต้องทำอย่างไร โปรดท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินใจ”
นายท่านสองอยู่ได้เพียงครู่เดียวก็เดินออกจากร้านหลิงหลง ท่านเจ้าเมืองอู๋อยู่ต่อสักพักก่อนที่จะให้เจ้าของร้านออกไปส่งเขา
ในห้องลับจึงเหลือเพียงสองคน ฉีตงจวิ้นอ๋องจึงถาม “เรื่องของตระกูลหมิง ท่านเห็นว่าอย่างไร”
ท่านอู่ตอบ “คนผู้นั้นมองการณ์ไกลมาตลอด ยังมีเรื่องที่ข้าน้อยยังคิดไม่ถึง ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องมีเหตุผล”
ฉีตงจวิ้นอ๋องยิ้ม “เขาก็มีดีของเขา แต่การมีท่านอยู่ข้างกายข้ามาหลายปี เปิ่นหวางเองก็ระลึกอยู่ในใจเสมอจะทำอย่างไรก็ยังต้องการคำแนะนำจากท่านอยู่”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ท่านอู่สบายใจมากเขาพูดอย่างเปิดอกว่า “คนผู้นั้นเป็นกังวล ข้าน้อยก็เป็นกังวลเช่นกัน แต่ตอนที่เขายังอยู่เจี่ยงเหวินเฟิงเป็นเพียงแค่ขุนนางบันทึกประวัติศาสตร์ ทั้งสองคนไม่เคยพบเจอกัน ข่าวที่เขารู้มาล้วนมาจากผู้อื่น เกรงว่าเขาจะประเมินเจี่ยงชิงเทียนผู้นั้นสูงเกินไป”
“ท่านหมายถึงไม่ต้องไปสนใจมากหรือ”
ท่านอู่ยิ้ม “ยังคงต้องสนใจเตรียมพร้อมมากเท่าใดยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น ข้าน้อยแค่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกลัวเขามากถึงเพียงนั้น ชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นมนุษย์เช่นกัน มนุษย์ล้วนมีจุดอ่อนเราสามารถมองเห็นร่องรอยได้จากการสังเกตการณ์พวกเขา”
ฉีตงจวิ้นอ๋องพยักหน้า “ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล”
ท่านอู่ยิ้ม “ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะสั่งการออกไป ให้จับตาดูเขาต่อจนกว่าเขาจะออกจากตงหนิงถึงจะหยุด”
“รบกวนท่านแล้ว”
………………………………….
[1] แท่นบันได : วิถีทางที่จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโต