หยางชูไม่ได้เข้าไปในห้อง แต่เขานั่งอยู่ในด้านนอกแล้วฟังเสียงบทสนทนาของคนในห้องแทน
“เมื่อสิบปีก่อนนายท่านเสียชีวิตที่เป่ยหู แม้แต่ศพก็ไม่ได้ถูกนำกลับมา ฮูหยินเสียใจมากทำได้แต่กลับมาที่ตงหนิงเพื่อตั้งสุสานฝังหมวก ทุกคนในตระกูลปฏิบัติต่อฮูหยินเป็นอย่างดี ทำการซ่อมสวน ส่งคนกลุ่มหนึ่งมารับใช้เพื่อให้ฮูหยินอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ”
“หลังจากนั้นไม่นาน คืนหนึ่งฮูหยินอยู่ที่ห้องหลิวจิ่ง จู่ๆ นายท่านหกก็บุกเข้ามาแล้วทำให้ฮูหยิน…”
แม่นมถงยกมือเช็ดน้ำตา “เรื่องนี้นายท่านสองเป็นคนจัดการ เขาลงโทษนายท่านหกแล้วจับสาวใช้ที่เกี่ยวข้องขายออกไป ฮูหยินไม่คิดฆ่าตัวตายเพราะว่าต้องอยู่เพื่อคุณหนูท่านจึงต้องทนต่อไป”
“พวกเราทุกคนคิดว่าเรื่องร้ายๆ ได้ผ่านไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งนายท่านสองเข้ามา และบอกว่าเขาต้องการคุยกับฮูหยินตามลำพัง ผ่านไปสักพักพวกเราถึงได้รู้ว่านายท่านสองกับฮูหยินหายไปด้วยกัน!”
“พวกเขาไปที่ใดงั้นหรือ”
แม่นมถงตอบ “จนกระทั่งวันที่สองฮูหยินถึงกลับมา สภาพฮูหยินดูไม่ดีเอาเสียเลย บ่าวดูแลอยู่หลายวัน ฮูหยินถึงค่อยๆ อาการดีขึ้นแล้วบอกกับบ่าวว่า…”
นางกัดฟันแล้วพูดอย่างยากลำบาก “ฮูหยินถูกนายท่านสองวางยาจนสลบแล้วส่งท่านไปให้ผู้อื่น!” ถึงแม้หมิงเวยพอจะเดาได้ แต่พอได้ยินแม่นมถงพูดเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก
แม่นมถงพูดด้วยน้ำตา “ฮูหยินงดงามมากทุกคนในตงหนิงต่างรู้ดี คนผู้นั้นเมื่อได้พบฮูหยินก็ไม่สามารถลบภาพท่านออกไปได้เพื่อเอาใจคนผู้นั้นนายท่านสองจึงส่งฮูหยินไปให้เขา! พวกเราผิดเองที่มองคนโฉดชั่วคนนั้นเป็นคนในครอบครัวถึงได้ไม่มีทางที่จะฟื้นคืนตลอดไปเช่นนี้!”
หมิงเวยเงียบฟังแม่นมถงร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“มีหนึ่งก็ต้องมีสอง พวกเขาแน่ใจว่าฮูหยินไม่กล้าตายก็ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆ ใจของฮูหยินค่อยๆ สบายถือเสียว่าไม่คิดอันใดมากทำเพียงแค่วางแผนสำหรับอนาคต เพื่อดูแลคุณหนูจนเติบใหญ่แล้วส่งออกเรือนไปที่ตระกูลท่านลุงตามที่หมั้นหมายไว้เมื่อถึงเวลานั้น…”
“เมื่อถึงเวลานั้นจะฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง” หมิงเวยพูดแทรก
แม่นมถงซบหน้าร้องไห้
นางเป็นเพียงแค่สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งที่สูญเสียสามี ครอบครัวอยู่ห่างไกล จะทำอันใดได้นอกจากสู้กับความตาย
หมิงเวยไม่กล้าคิดอันใดต่ออีก
นางถามเสียงเรียบ “ผู้ที่นายท่านสองเอาอกเอาใจอยู่คือผู้ใดหรือแม่นม”
แม่นมถงสะอื้นแล้วส่ายหัว “ฮูหยินไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
หมิงเวยหายใจเข้าลึกๆ แล้วเข้าเรื่อง “แม่นม ท่านจำได้หรือไม่ว่ามีอันใดผิดปกติเกิดขึ้นในสวนเมื่อสิบปีก่อนหรือไม่”
แม่นมถงเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า “คุณหนูอยากถามเรื่องศพในสวนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยพยักหน้า “หากนับเวลาแล้วคนผู้นั้นน่าจะตายเมื่อสิบปีก่อน”
แม่นมถงคิดหนัก “สิบปีก่อนงั้นหรือ…หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นคงเป็นเรื่องผีออกอาละวาด”
ที่แท้ก็เรื่องนี้!
“เรื่องนี้ข้าเคยถามท่านแม่ดูเหมือนนางจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เท่าใดนัก”
แม่นมถงยิ้มเศร้า “ฮูหยินจะอยากพูดถึงได้อย่างไรกันเจ้าคะ ผีตนนั้นก็คือนายท่าน!”
ซู่เจี๋ยอุทานเสียงเบา ตอนนั้นนางยังเด็ก และได้รับเลือกให้มารับใช้ในภายหลังจึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้
ดวงตาของหมิงเวยเป็นประกายนางครุ่นคิด “เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
แม่นมถงถอนหายใจ “ในตอนนั้นฮูหยินได้แปดเปื้อนไปแล้ว และท่านกำลังเป็นทุกข์ คืนหนึ่งท่านไปที่ทะเลสาบด้วยความสับสนมึนงง…”
หมิงเวยได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าในตอนนั้นฮูหยินสามคงยังคิดไม่ได้ และกำลังคิดที่จะฆ่าตัวตาย
“พอบ่าวพบว่าฮูหยินไม่อยู่ก็รีบออกตามหาแล้วพบว่าฮูหยินอยู่ที่ทะเลสาบ ท่านร้องไห้ และกล่าวขอโทษนายท่าน บ่าวฟังอยู่นานถึงได้รู้ว่าฮูหยินเจอวิญญาณของนายท่าน…หลังจากนั้นฮูหยินไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ และไม่มีความคิดอยากตายอีกเลยเจ้าค่ะ”
หมิงเวยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกหนักอึ้งใช้เวลานานก่อนจะถามอย่างร้อนรนว่า
“คืนนั้นมีพระจันทร์ครึ่งดวงหรือไม่”
แม่นมถงส่ายหัว “วันนั้นเป็นวันที่สิบห้า พระจันทร์เต็มดวง บ่าวจำได้แม่น พระจันทร์ส่องสว่างมากเจ้าค่ะ”
………
พอกลับมาที่ห้องหลิวจิ่ง หมิงเวยไม่พูดอันใดอยู่นาน หยางชูอยากจะพูดอันใดอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็กลืนกลับลงคอไป
แม้แต่อาหว่านที่เป็นคนตรงไปตรงมา แต่นางก็ไม่พูดอันใดนอกจากรินชาให้พวกเขา หยางชูครุ่นคิดแล้วในที่สุดเขาก็พูดออกมา
“ไม่ใช่บุรุษทุกคนที่เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่…”
หมิงเวยหัวเราะเยาะ “ผู้อื่นน่าเกรงขามดีแท้ท่านกลับตรงกันข้ามใช่หรือไม่”
ไม่รอให้เขาตอบ หมิงเวยโบกมือ “ช่างเถอะ คำพูดเช่นนี้เหมาะกับใต้เท้าเจี่ยงมากกว่า”
หยางชูไม่พอใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้ามีตรงไหนไม่ดีงั้นหรือ”
“ดีๆๆ ท่านดีมาก” นางตอบแบบขอไปที
“ข้าไม่ได้บอกว่าบุรุษทุกคนในใต้หล้าเป็นเช่นนี้เสียหน่อย ท่านไม่ต้องรีบปกป้องตนเองหรอกเจ้าค่ะ” นางท่องไปทั่วหล้าเป็นเวลาหลายปี ทำไมจะไม่เห็นเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้มาก่อนเล่า บนโลกนี้มีคนเลวก็ต้องมีคนดี
นางแค่รู้สึกว่าฮูหยินสามช่างน่าสงสาร ผู้อื่นพบเจอคนเลวก็ยังได้พบเจอคนดี แต่คนที่นางได้พบล้วนเป็นคนเลวเสียหมด
พอถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องนี้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
หมิงเวยกลับเข้าเรื่อง “เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่ผิดที่พูดว่าเจอผี แต่ที่จริงแล้วพบเจอคนจริงๆ”
หยางชูพยักหน้า “นายท่านสามยังไม่ตาย ผีจะมาได้อย่างไร ในคืนนั้นเป็นไปได้ที่สุดว่าน่าจะเป็นเวลาที่เกิงซานถูกฆ่าติดอยู่แค่เรื่องเดียว คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง…”
“พระจันทร์ในภาพจำของเกิงซานไม่จำเป็นต้องเป็นพระจันทร์จริงๆ” หมิงเวยหยุดสักพัก “ข้ายังมีข้อสงสัยที่คิดไม่ออก”
“หืม…”
“นายท่านสามเป็นบัณฑิตที่ร่างกายอ่อนแอ” นางพูด “จากที่ท่านบอกมาวรยุทธ์ของเกิงซานแกร่งมากแล้วเขาจะถูกผู้อื่นฆ่าได้อย่างไรกัน กระดูกคอถูกบิดโดยตรงต้องใช้พละกำลังที่มากยิ่งนัก”
หยางชูถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน”
อันดับหนึ่งของหวงเฉิงซือ มีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถเอาชนะเขาได้ และพวกเขาล้วนมีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้า
คนเหล่านั้นมาช่วยนายท่านสามสังหารคนงั้นหรือล้อเล่นกันหรือเปล่า…
“แต่มีบางเรื่องที่พอจะกลมกลืนกันได้” หมิงเวยพูดต่อ “ตามเวลาที่คำนวณ ท่านแม่กลับมาที่ตงหนิงก็ถูกนายท่านหกรังแก จากนั้นถูกนายท่านสองส่งไปให้คนผู้หนึ่ง หลังจากนั้นนายท่านสามแอบกลับมาที่ตงหนิง จากตรงนี้ในความต่างของเวลา นายท่านสามกลับมา เรื่องที่เกิดขึ้นก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว และคนที่ทำเรื่องนี้กลับเป็นพี่น้องของเขา เขาเป็นคนตายที่ไม่สามารถแสดงตัวได้จำเป็นต้องพึ่งพาพี่น้องของเขา พอชั่งน้ำหนักสองเรื่องนี้ดูแล้วก็เลยถือโอกาสผลักภรรยาของตนให้ตกลงไปในนรกที่ลึกกว่าเดิม…”
“ทางเลือกนี้ค่อนข้างฉลาด” น้ำเสียงของหยางชูดูเย้ยหยัน “ภรรยาถูกทำให้มัวหมองไปแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ พอคิดดูอีกทีใช้สิ่งของทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุดจะดีกว่า”
“ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์ที่คุ้มค่า” หมิงเวยยิ้มเย็น “ในสายตาของเขา ภรรยาเป็นแค่สิ่งของสิ่งหนึ่ง”
หยางชูถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ภรรยาเขาสามารถหาใหม่ได้ บุตรชายบุตรสาวสามารถถือกำเนิดใหม่ได้ ปีก่อนๆ ฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย พระองค์ไม่ใช่ผลักบุตรสาวให้ตกลงจากรถม้าหรอกหรือ”
มีหรือที่หมิงเวยจะไม่รู้เรื่องนี้มันคือเหตุการณ์ในใต้หล้า
เหตุการณ์ที่น่ารังเกียจ! “ส่วนผู้ที่นายท่านสองเอาใจนั้นข้าคิดว่าคงเป็น…”
“ฉีตงจวิ้นอ๋อง” หยางชูตอบ
“ดูจากตอนนี้แล้วนายท่านสองน่าจะเป็นคนที่รู้เห็นเหตุการณ์ ปีนั้นที่มีการส่งข่าวการเสียชีวิตของนายท่านสาม เขาต้องรู้สึกหวาดกลัวเป็นแน่จึงไปเอาใจฉีตงจวิ้นอ๋องเพื่อขอที่พักพิงแล้วคงยังไม่ทราบเรื่อง”
หมิงเวยพูดเสียงเบา “แต่พอวันหนึ่งความจริงถูกเปิดเผยคนพวกนั้นก็ไม่คิดหนีแต่อย่างใด!”
พอหยางชูจากไปเขามองปิ่นปักผมที่อยู่บนเรือนผมของนางแล้วสั่งอาหว่าน “หลังจากสวมมาหลายวันสิ่งที่ควรรู้ก็ได้รู้หมดแล้ว หากของสิ่งนี้มีความสำคัญมาก อีกฝ่ายคงหาวิธีสักอย่างที่สามารถทำได้ เจ้าต้องระวังให้มากเบื้องลึกของนายท่านสามพวกเรายังไม่แน่ชัดหากมีคนที่เก่งกาจอยู่ข้างกายเขาจริง…”
อาหว่านมั่นใจมาก “คุณชายโปรดวางใจ! ไม่ว่าเขาจะลอบสังหาร วางยา ลอบขโมย ตราบใดที่บ่าวอยู่ที่นี่จะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จ บ่าวสู้ไม่ชนะแล้วยังร้องตะโกนไม่ได้หรือ”
………………………………………………..