“ถ้าเปี่ยวเกออยู่คนเดียว งั้นน้องขอเข้าไปนั่งดื่มชาด้วยคนนะเจ้าคะ!” อันเซียงเสี้ยนจู่หัวเราะแล้ววิ่งเข้าไปหาแล้วยื่นหน้าเข้าไปในห้อง
ปีนี้นางเพิ่งจะมีอายุสิบสองปี กิริยาเช่นนี้เป็นเพียงความน่ารักและซุกซนของเด็กสาวเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่ากิริยาของนางดูไม่งามแต่อย่างใด
นางเห็นเพียงว่าห้องนี้จัดอย่างเรียบง่ายและหรูหรา ไม่มีฉากกั้นหรือที่หลบบังแต่อย่างใด ภายในห้องมีแต่อาหว่านที่กำลังเก็บถ้วยน้ำชา ไม่มีแขกผู้อื่น
เมื่อเห็นอันเซียงเสี้ยนจู่ อาหว่านก็ย่อกายคำนับนาง
“ไม่มีผู้ใดจริงๆ ด้วย!” อันเซียงเสี้ยนจู่รู้สึกผิดหวังอย่างมาก “น้องนึกว่าจะได้เห็นผู้ที่เปี่ยวเกอมาพบด้วยว่าเป็นคนเยี่ยงไรเสียอีก!”
พัดของหยางชูเคาะศีรษะของอันเซียงเสี้ยนจู่เบาๆ อย่างใกล้ชิดราวกับปลอบใจเด็กน้อย “เจ้าช่างซนจริงๆ! หากไม่ให้น้องเห็น อย่างไรน้องก็ไม่ได้เห็นหรอก”
“หมายความว่าเปี่ยวเกอมาพบคนจริงๆ หรือ”
หยางชูหัวเราะแต่ไม่ตอบอันใด เขาหันไปประสานมือคารวะจวิ้นหวังเฟย “ท่านอาสะใภ้เดินทางมาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นหลานไม่รบกวนแล้ว ไว้ตอนเย็นหลานจะเข้าไปเยี่ยมที่จวนจวิ้นอ๋องนะขอรับ”
จวิ้นหวังเฟยยิ้ม “เป็นพวกเราต่างหากที่รบกวนหลาน อันเซียง อย่าไปกวนท่านพี่เขา พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันเถิด”
แล้วเหล่าหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็เดินผ่านเขาแล้วเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องอื่น
หยางชูยืนส่งพวกนางอยู่ด้านข้าง หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ กิริยาสุภาพดูไม่เหมือนคุณชายเสเพลที่เคยได้ยินมาเลย
เพราะฉะนั้นการพูดคุยในเวลาสั้นๆ นี้จึงคว้าใจจากพวกนางมาได้หลายคน
หากจวิ้นหวังเฟยไม่ได้อยู่ด้วยเกรงว่าคงอดใจไม่ไหวที่จะพูดวิจารณ์เรื่องคดีความของตระกูลหลีว่ามีเงื่อนงำอันใดหรือไม่
ดูสิดวงตาของคุณชายหยางซื่อตรงมากเช่นนี้ ดูไม่วอกแวกเลย หยางชูกลับเข้าไปในห้อง แล้วก็ได้ยินอาหว่านพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “นี่พวกนางมาเพื่อจับตาดูว่าคุณชายประพฤติเสื่อมเสียหรือไม่เป็นแน่ ช่างน่าเบื่อเสียจริง!”
“แม่นางหมิงล่ะ” หยางชูถาม
อาสวนตอบ “เดินออกไปอีกฝั่งแล้วขอรับ”
หยางชูโบกพัด “ใครบอกว่าท่านอาใจต้องนิ่งกัน หากวันนี้เขาจับได้ว่าข้ากับแม่นางหมิงนัดพบส่วนตัวกันที่นี่ ชื่อเสียงของพวกเราคงเสื่อมเสียเป็นแน่”
อาสวนคิดในใจชื่อเสียงของแม่นางหมิงคงเสื่อมเสีย แต่คุณชาย…ท่านไม่มีชื่อเสียงให้เสื่อมเสียอยู่แล้วนะขอรับ
“เขาคิดจะใช้วิธีนี้ เห็นได้ชัดว่าจวิ้นอ๋องคงรู้สึกไม่สบายใจ” อาสวนตอบอย่างจริงจัง “เขาไม่กล้าลงมือกับคุณชายอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่พอใจหากจะไม่ลงมือทำอันใดเลย”
หยางชูพยักหน้า เขาเป็นผู้นัดให้หมิงเวยออกมาซึ่งเรื่องนี้เขาไม่คิดที่จะปิดบังอยู่แล้ว ส่งรถม้าไปรับแล้วยังจงใจทำตัวใกล้ชิดก็เพื่อให้คนที่ลอบจับตามองเขาได้เห็นภาพนี้
แต่หากเห็นแล้วกลับวิพากษ์วิจารณ์เป็นการใหญ่ ได้ทีขี่แพะไล่เช่นนี้ มันไม่ถูกต้อง เรื่องระหว่างชายหญิงหากขย่มเรือ[1]อย่างไรเสียก็มีแต่ทำลายชื่อเสียงซึ่งมันทำให้เขาลำบากขึ้นเล็กน้อย
แม้เขาจะทำสำเร็จ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นน้อยเกินไปมันจึงทำให้เขาโกรธ
และตอนนี้แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จ แต่เขาก็โกรธไปแล้ว
หากหมิงเวยไม่ออกไปทันเวลาพอดี ผู้อื่นจะมองว่ามารดายังไม่ทันได้ลงฝังก็ออกมาพบบุรุษเป็นการส่วนตัวแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง หลายวันมานี้ท่าทางของนางที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายทำให้ความคิดเห็นของผู้คนส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปหมดแล้ว
ผู้คนจะตั้งคำถามว่ามารดาเพิ่งฆ่าตัวตายไปแต่บุตรสาวกลับกล้านัดบุรุษมาพบเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ มารดาเสียความบริสุทธิ์จริงหรือ
สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพราะชื่อเสียของเขาก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่สำหรับหมิงเวยแล้วเรื่องนี้ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เช่นกันเพราะนางไม่ใช่คุณหนูเจ็ดตัวจริง นางมีความสามารถเช่นนั้นต่อให้ไม่อยู่ในฐานะนี้นางก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว
แต่สำหรับฮูหยินสามแล้วนางถูกใส่ร้ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หยางชูเคาะโต๊ะแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านอาทำเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าควรหาเรื่องอันใดให้กับเขาเสียหน่อย เรื่องการบุกรุกที่ดิน ทำร้ายร่างกายบ่าวรับใช้ นำคดีพวกนี้ออกมาไม่ต้องเก็บอีกต่อไปแล้ว”
อาหว่านประหลาดใจ “คุณชายทำเช่นนี้เท่ากับว่าเป็นการปล่อยเรื่องออกสู่ภายนอก หากเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“พวกเรามาตงหนิงนานเพียงนี้แล้วไปอย่างช้าๆ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด” หยางชูตอบ “ถึงเวลาเปลี่ยนกลยุทธ์ของเราแล้วพวกเราจะบังคับให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแทน รอดูว่าเขาจะเป็นลมไปก่อนหรือไม่”
อาสวนถามอย่างระมัดระวัง “เราควรแจ้งใต้เท้าเจี่ยงก่อนหรือไม่ขอรับ”
“คดีพวกนี้ยังส่งไม่ถึงมือเขางั้นหรือ เจ้าไปบอกเหลยหงหน่อยก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
“อาหว่าน เจ้าควรรีบกลับไปได้แล้ว อยู่ในจวนตระกูลหมิงระวังตัวด้วยล่ะ”
“เจ้าค่ะ”
…………
ตอนที่อาหว่านขึ้นรถม้าหมิงเวยก็กำลังเล่นกับปิ่นปักผมสีทองของตนอยู่
“ที่นี่เป็นฐานลับของหวงเฉิงซือหรือ”
“ท่านรู้ได้อย่างไรกัน” อาหว่านถามกลับ
หมิงเวยตอบ “แม้แต่เอกสารเองก็ยังถูกเก็บไว้ที่นี่ดูแล้วเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมาก”
อาหว่านไม่ปฏิเสธอันใด “หากถูกจับว่าลักลอบพบกันในที่ที่ปลอดภัยเช่นนี้ ผู้คนคงไม่เห็นหวงเฉิงซืออยู่ในสายตาแล้ว!”
อาหว่านมองนาง “ท่านไม่ต้องทำให้ไฟลุกลามมากกว่าเดิมหรอก คุณชายตัดสินใจสวนกลับแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
หมิงเวยหัวเราะแล้วนำปิ่นปักผมสอดเข้าไปที่เดิม “อันที่จริงเปลี่ยนวิธีการก็ดี ดำเนินการช้าไปก็ไม่ได้ผลอันใดหรอกต้องใช้วิธีกระตุ้นเขา หากเขาทำผิดพลาดในตอนเร่งรีบก็นับว่าเป็นช่วงที่ดีในการลงมือไม่ใช่หรือ เจ้าว่าจริงหรือไม่”
อาหว่านแค่นหัวเราะ หมิงเวยขี้เกียจมาโมโหเรื่องไม่เป็นเรื่องกับนางจึงหลับตาลงเพื่อพักผ่อน เพียงไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงตระกูลหมิง
หมิงเวยเข้าไปในสวนอวี๋ฟางก็พบว่าฮูหยินสองมารอนางอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านป้าสอง” หมิงเวยย่อกายทำความเคารพนาง
ฮูหยินสองประคองนาง “เจ้าไม่ต้องมากพิธีหรอก”
หมิงเวยลุกขึ้นถามซู่เจี๋ย “เหตุใดให้ท่านป้าสองดื่มชาเย็นเช่นนี้เล่า พวกเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องการต้อนรับแขกเลยหรือ รีบไปเปลี่ยนมาใหม่เร็วเข้า”
ซู่เจี๋ยรับคำแล้วกลับไปชงชาใหม่อีกครั้ง
หมิงเวยเชิญฮูหยินสองนั่งลง “ท่านป้าสองมีเรื่องอันใดจะพูดกับหลานหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสองพอเห็นท่าทางที่ดูเป็นเจ้านายของนางแล้วก็รู้สึกสับสน นางพูดออกไปว่า “ป้าทำพิธีสาบานต่อหน้าวิญญาณแม่ของหลานว่าจะดูแลหลานเหมือนบุตรสาวของตนเอง” พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปพักหนึ่ง “เสี่ยวชี หลานบอกความจริงกับป้ามาเถิด หลานมีความสัมพันธ์กับคุณชายหยางผู้นั้นหรือไม่”
คำถามนี้เป็นคำถามที่นางคาดไม่ถึงจริงๆ
หมิงเวยยิ้มแล้วตอบไปว่า “เหตุใดท่านป้าสองถึงถามเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสองตอบ “ถ้าหากพวกเจ้าทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน ภายภาคหน้าหลานอย่าไปพบเขาอีกเลย หลานเป็นหญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน ผู้ที่ลำบากจะเป็นตัวหลานเองนะ เมื่อผ่านช่วงแสดงความกตัญญูไป ทางตระกูลจะเลือกคู่ครองที่ดีให้แก่หลาน หาคู่ครองที่ดีเพียบพร้อมให้ แต่ถ้าหากหลานมี…”
“ถ้าหากมีจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ” หมิงเวยแปลกใจตกลงท่านป้าสองผู้นี้มีท่าทีอย่างไรกันแน่
ฮูหยินสองกัดฟันก่อนที่จะพูดว่า “ถ้าหากมี…ป้าจะต้อนรับขับสู้ให้หลานให้เขารับผิดชอบชื่อเสียงของหลานไว้”
หมิงเวยใจเต้นนางพูดออกไปว่า “เขาเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท มีท่านน้าเป็นถึงกุ้ยเฟย เขาไม่สามารถตัดสินใจเรื่องการแต่งงานเองได้เป็นแน่ นอกจากนี้ฐานะของตระกูลเราสำหรับเขาแล้วถือว่าค่อนข้างต่ำกว่า ท่านป้าสองคงไม่คิดให้หลานไปเป็นอนุใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินสองตอบ “ถึงฐานะตระกูลเราจะไม่สูงก็จริง แต่ทวดของหลานก็มีชื่อเสียงในใต้หล้าซึ่งไม่ถือว่าเป็นการดูถูกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ป้าเองพอมีเส้นสายในเมืองหลวงอยู่บ้าง ป้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้หลานได้เป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขา แต่ถ้าหากไม่สำเร็จ…ป้าจะเลือกเขยคนอื่นให้จะไม่ให้หลานรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแน่นอน”
ที่แท้ไม่คิดให้นางไปเป็นอนุ การกลับใจของท่านป้าสองช่างจริงใจยิ่งนัก ไม่ทำให้นางเสียแรงเปล่าจริงๆ
หมิงเวยถอนหายใจก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่ว่าท่านป้าสอง หลานไม่อยากออกเรือนเจ้าค่ะ!”
……………………………….
[1] ขย่มเรือ : ชักใบให้เรือเสีย ใช้ในการเตือนไม่ให้พูดหรือทำอะไรที่ขัดขวางหรือทำให้เรื่องแย่ลง