หากถามว่านายท่านตระกูลหมิงผู้ใดที่มีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับการตายของเกิงซานมากที่สุดพวกเขาไม่ลังเลที่จะเลือกนายท่านสามเลย
นายท่านทั้งสามคนที่อยู่ในตงหนิงไม่ได้เข้ามาในเมืองหลวงเป็นเวลาหลายปีแล้ว พวกเขาจะเกี่ยวข้องกับเกิงซานได้อย่างไร มีแต่นายท่านสามที่เสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อนเท่านั้นที่มีความเกี่ยวข้องกับเกิงซานมากที่สุด และการเสียชีวิตของฮูหยินสามเริ่มต้นด้วยการเสียชีวิตของนายท่านสาม
สองเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นเดียวกัน นั่นก็คือการเสียชีวิตของนายท่านสาม!
“แต่ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การคาดเดา” หยางชูกล่าว “เหตุใดเกิงซานถึงมาที่ตงหนิง พวกเรายังหาข้อสรุปนี้ไม่ได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “นอกจากนี้ผู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถฆ่าเกิงซานได้ก็น่าสงสัยมากเช่นกัน อย่าว่าแต่ตระกูลหมิงเลย แม้แต่ฉีตงจวิ้นอ๋องก็ไม่สามารถหาผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้มาได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจความหมายในทันที “ท่านกังวลว่าจะมีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงใช่หรือไม่”
“อืม”
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก” เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการตามหาตัวฆาตกร”
หยางชูถอนหายใจแล้วพยักหน้า เขาทราบดีอยู่แล้วว่าต้องหาตัวฆาตกรซึ่งพูดง่ายแต่ทำได้ยาก เมื่อเขาหันไปก็เห็นหมิงเวยก้มหน้าลงมองบันทึกของเจี่ยงเหวินเฟิงอย่างเงียบๆ
“ทำไมหรือ มีปัญหาอันใดรึ”
“ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้” นิ้วของนางเลื่อนผ่านบันทึก “หลังจากเจอภูติผีนั้น ท่านแม่ได้เชิญท่านเทพธิดามาทำพิธีแล้วท่านเทพธิดาก็ได้ค้นพบการมีอยู่ของวิญญาณชั่วร้ายเกิงซาน ขณะที่กำลังทำพิธีปราบวิญญาณร้ายอยู่นั้นนายท่านสี่ก็ปรากฏตัวขึ้น”
หมิงเวยเงยหน้า “เขาเตะแท่นบูชาแล้วบอกว่าตระกูลหมิงห้ามพูดถึงสิ่งลี้ลับหรือวิชาอาคม”
หยางชูไม่แปลกใจ “ตระกูลหมิงมีกฎข้อนี้อยู่แล้ว ทำไมหรือ มีปัญหาอันใดงั้นรึ”
“ในตอนนั้นข้าไม่คิดว่าจะมีปัญหาอันใด” นางพูดเสียงเบา “แต่ตอนนี้พอมาขบคิดดูแล้ว มันมีสิ่งที่แปลกไปเจ้าค่ะ”
“แปลกอย่างไรรึ”
“ท่านอาสี่ของข้าเชื่อเรื่องภูติผีเจ้าค่ะ”
“เอ๋” หยางชูใช้พัดเคาะกับฝ่ามือ “แล้วเหตุใดเขาถึงเตะแท่นบูชากัน”
“ข้าคิดว่า” นางพูด “เขาอาจจะรู้ว่ามีคนตายอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ”
หยางชูและเจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ
“เขาเตะแท่นบูชา ถ้าไม่ใช่เพราะความไม่รู้ก็เป็นเพราะว่าเขารู้” หมิงเวยเล่าพฤติกรรมของนายท่านสี่ “ยิ่งไปกว่านั้นข้าสงสัยมาตลอดว่ามีผู้ที่รู้วิชาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ คนผู้นั้นไม่ใช่นายท่านสอง แน่นอนว่าไม่ใช่นายท่านหกด้วย”
พอพูดถึงตรงนี้เจี่ยงเหวินเฟิงรีบหยิบกระดาษทั้งสองแผ่นกลับมาและกวาดตามองอย่างรวดเร็ว
เกิงซานถูกบุคคลนิรนามที่แข็งแกร่งฆ่า
ฮูหยินสามถูกบุคคลลึกลับฆ่ารัดคอตาย นายท่านจากตระกูลหมิงเหมือนจะทราบดี แต่พวกเขาไม่ใช่ฆาตกร
“มีใครบางคน” เขาบอก “มีใครบางคนที่เราไม่รู้จักซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง”
หมิงเวยจำนายท่านสี่ที่นางเห็นเป็นครั้งที่สองได้ คนผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับนายท่านสี่ แต่มีชี่ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทันใดนั้นก็มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของนาง
“นายท่านสาม”
“ว่าอันใดนะ” หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา ใบหน้าขาวเนียนของนางซีดเผือด นางมองไปที่คนทั้งสองแล้วถามย้ำทีละคำ “ถ้า…ข้าหมายถึง ถ้าเกิดว่านายท่านสามยังมีชีวิตอยู่…”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เป็นการคาดเดาที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
แต่ก็ดูเหมือนว่า…
ผ่านไปไม่นานเจี่ยงเหวินเฟิงพูดเสียงเบาว่า “หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดเกิงซานถึงมาที่ตงหนิงก็เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล”
หยางชูพึมพำ “ฮูหยินสามเสียชีวิตได้อย่างไรก็มีเหตุผลเช่นกัน”
ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อยากเชื่อ…เพราะว่ามันน่ากลัวเกินไป
………..
หมิงเฉิงรู้สึกหดหู่ เขาเดินไปที่ลานหลักช้าๆ
เขาเดินทางกลับมาเมื่อปลายปีที่แล้ว เดิมทีเขาต้องกลับเมืองหลวงหลังปีใหม่ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาอยู่ไปอยู่มาเวลาก็ผ่านไปถึงเพียงนี้แล้ว
ตอนนี้เป็นเรื่องยากที่เขาจะออกจากเรือน เพราะว่าท่านแม่ป่วย
ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวันบริเวณลานจึงเงียบสงบ เหล่าสาวใช้ไม่ได้อยู่ที่นี่ คงไปพักผ่อนกันอยู่ หมิงเฉิงยืนอยู่ตรงทางเดินในเรือน เขาถูหน้าผากพลางคิดว่าจะเข้าไปพูดอันใดกับท่านแม่ของเขาดี
ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวในห้อง และจากนั้นเสียงของฮูหยินสี่ก็ดังขึ้น
“ท่านจะไปที่ใดหรือ”
เอ๋ ใครอยู่ด้านในกัน
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของนายท่านสี่ “ห้องหนังสือ”
ก่อนที่หมิงเฉิงจะมีเวลาคิดเรื่องใดๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของฮูหยินสี่ “ข้าไม่อนุญาตให้ท่านนอนห้องนี้หรืออย่างไร ท่านไปที่ห้องหนังสือทุกวัน ไม่เห็นท่านจะทำอันใดเลย!”
การได้ยินพ่อแม่ของตนทะเลาะกันเป็นเรื่องน่าอายจริงๆ หมิงเฉิงลังเลว่าเขาควรเดินออกไปก่อนดีหรือไม่ แต่แล้วเขาก็ปัดเอาความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว
เพราะว่าฮูหยินสี่พูดออกมาว่า “ทำไมหรือ เห็นหน้าข้าแล้วมันทำให้ท่านลำบากใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หากท่านไม่เต็มใจแล้วมาแต่งงานกับข้าตั้งแต่แรกทำไมกัน”
นายท่านสี่ไม่พูดอันใด เขาเอาแต่ยืนเงียบอยู่อย่างนั้น แต่ยิ่งเขาไม่พูดอันใดออกมา ฮูหยินสี่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น นางจึงตะโกนออกไป “ท่านเกลียดข้าถึงเพียงนี้ แม้แต่ประโยคเดียวท่านก็ไม่เอ่ยออกมาเลยหรือ”
นายท่านสี่ก้าวเท้าเพื่อเตรียมจะเดินออกไป
“ท่านหยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”
ฮูหยินสี่โกรธมากจนนางพูดอะไรบางอย่างออกมา “พี่สะใภ้สามตายแล้ว ใจท่านถึงกับอ่อนแอเลยงั้นหรือ เห็นท่านเป็นเช่นนี้แล้วผู้ที่ไม่รู้คงนึกว่าภรรยาของท่านตายไป! วันๆ เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ออกมาพบเจอผู้คน ถ้าท่านจะเสียใจถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านไม่ตายตามนางไปเลยล่ะ!”
หลังจากนั้นไม่นานเสียงที่เบื่อหน่ายของนายท่านสี่ก็ดังขึ้น “เจ้าอย่าทำตัวไร้เหตุผลนักเลย หลายปีมานี้คิดว่าข้าไม่รู้สึกผิดต่อเจ้างั้นหรือ”
ยิ่งเห็นเขาพูดเช่นนี้ฮูหยินสี่ก็ยิ่งโกรธไปกันใหญ่ นางหัวเราะเสียงเย็น “ใช่สิ! ผู้อื่นพูดถึงข้าว่าข้าน่าอิจฉาเพียงใด! เป็นสามีภรรยากันมาสิบแปดปีไม่เคยมีปัญหาภายในครอบครัวแม้แต่น้อย ผู้คนต่างพูดกันว่าถึงนายท่านสี่จะเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่เขาก็เป็นคนที่เอาใจใส่เป็นพิเศษ หึๆ ท่านเป็นคนเอาใจใส่งั้นรึ พวกเขาคงไม่รู้ว่าคนที่ท่านคอยเอาใจใส่นั้นไม่ใช่ข้า!”
พอพูดเรื่องนี้ออกมานางก็ทนไม่ไหว
“ทุกคนล้วนอิจฉาข้า แต่ผู้ใดจะรู้ว่าแต่ละวันข้าผ่านอะไรมาบ้าง” ฮูหยินสี่พูดเสียงแหบ “ตั้งแต่ที่เราแต่งงานกันมาในใจของท่านไม่มีข้าอยู่เลยสักวัน! ผู้ที่อยู่ในใจของท่านมาสิบแปดปีมีแต่คนผู้นั้นที่อยู่สวนอวี๋ฟาง!”
สายตาของหมิงเฉิงทอดมองไปที่ดอกชวนชมสีโลหิตที่เพิ่งออกดอกใต้ชายคา ฟังเสียงอันเจ็บปวดของผู้เป็นมารดา
“สิบแปดปี! ข้าคิดว่าตนเองสามารถรอให้ท่านเปลี่ยนใจได้ แต่วันนี้ข้ารู้แล้วว่าตลอดชีวิตนี้ข้าคงรอไม่ไหว ขนาดตอนนี้นางตายไปแล้วท่านก็ยังคิดถึงแต่นางท่านคิดถึงนางอยู่เสมอจนแทบอยากจะตายตามนางไป เหตุใดท่านถึงไม่พูดออกมาตั้งแต่แรกว่าคนที่ช่วยนางไว้ก็คือท่าน! เหตุใดท่านไม่บอกนางไปว่ารักแรกพบของนางก็คือท่าน!”
หมิงเฉิงชะงักเขาหันศีรษะกลับไปมองด้วยความงุนงง และจ้องไปที่หน้าต่าง
อีกด้านหนึ่งของหน้าต่างเสียงของนายท่านสี่ดังลอดออกมา “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“ข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ” ฮูหยินสี่หัวเราะเสียงเย็น “ท่านคิดถึงนาง คิดถึงนางอยู่เสมอจนเก็บไปฝันตัวท่านไม่รู้เลยหรือ”
“….”
“จนถึงวันนี้ท่านจะตำหนิผู้ใดได้ หากท่านกล้าหาญพอที่จะสู้ตั้งแต่แรก วันนี้นางคงเป็นภรรยาของท่าน ความเอาใจใส่ของท่านสามารถคว้านางมาไว้ในมือและรักกันตลอดไปได้ แต่เป็นเพราะตัวท่านเองที่ไม่กล้าจึงได้แต่เฝ้าดูนางกลายเป็นพี่สะใภ้ของท่าน เฝ้าดูนางกลายเป็นหม้าย เฝ้าดูนางถูกผู้อื่นรังแก จากนั้นก็รอนางตาย ฮ่าๆๆ หมิงชางท่านช่างน่าหัวเราะอะไรเยี่ยงนี้!”
………………………………………