ในวันที่สามของพิธีศพ ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ตระกูลหมิงเป็นเจ้าภาพเชิญภิกษุสงฆ์จากวัดเป่าหลิง อีกทั้งยังเชิญซินแสเนตรหยินหยางที่ดีที่สุดในตงหนิงมาอีกด้วย
พิธีเริ่มในตอนเช้าเสียงสวดมนต์ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด วันนี้หมิงเวยไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเฝ้าศพ เพียงแต่ยืนอยู่ด้างหลังศพของฮูหยินสามเท่านั้น
นางหาข้ออ้างที่จะไล่ชิวหยู่ออกไป จากนั้นนางจึงหยิบหมั่นโถวที่กินเหลือในตอนเช้าออกมาจากแขนเสื้อ
อาหว่านถาม “ท่านยังไม่อิ่มหรือ”
หมิงเวยหัวเราะจากนั้นนางบิหมั่นโถวออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็นำหมั่นโถวชิ้นเล็กไปวางไว้ที่มุมทั้งสี่ของโลงศพไม้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำผ้าห่มมาคลุมปิดไว้
อาหว่านสับสนเล็กน้อย “ท่านกลัวนางหิวระหว่างทางหรือ”
คิดอย่างไรก็ไม่น่าใช่ หมั่นโถวที่นางวางทิ้งเอาไว้ ราวกับรูปแบบของอะไรบางอย่าง หลังจากวางหมั่นโถวแล้วหมิงเวยก็หยิบถุงกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ
อาหว่านรู้ว่าของข้างในนั้นคืออะไร มันคือเถ้าธูปที่นางตั้งใจเก็บมาในตอนเช้า นางคุกเข่าลง และใช้เถ้าธูปโปรยเป็นทางตามโลงศพไม้
สถานที่ทำพิธีศพหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผากระดาษเงิน จุดธูป ถึงจะมีคนมาเห็นก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ พอโปรยเสร็จแล้วหมิงเวยก็ลุกขึ้นตบขี้เถ้าจากมือ แล้วพูดว่า “คืนนี้ท่านจะรู้เอง”
พิธีศพต้องดำเนินในเวลาเช้าปกติแล้วจะเป็นยามอิ๋น[1] ฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องออกเดินทางแล้ว อาหว่านคิดว่าเวลาที่นางพูดถึงคงเป็นตอนนั้น
ยามบ่ายชิวหยู่นำอาหารกลางวันมาให้
หมิงเวยพูด “สองวันนี้หากไม่ทานข้าวต้มก็ทานหมั่นโถว ท้องข้าว่างมาก อึดอัดด้วย เจ้าไปที่ครัวแล้วนำไข่ต้มมาให้ข้าที”
ชิวหยู่รับคำแล้วกลับไปนำไข่ต้มห้าหกฟองมาให้ หมิงเวยปอกเปลือกไข่ให้อาหว่านสองฟอง ให้ตัวเองสองฟอง ส่วนฟองสุดท้ายนางเปิดผ้าขึ้นแล้วนำไปไว้ในมือที่ประสานกันของฮูหยินสาม
หลังจากนั้นนางก็พิงโลงศพและหลับตาเพื่อพักผ่อน
อาหว่านคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แม้แต่หนังสือนางก็ไม่สามารถอ่านต่อได้ ในใจนางเอาแต่เดาไปหลายอย่างแต่ก็เดาไม่ออกเสียทีว่าคุณหนูเจ็ดผู้นี้จะทำอันใดกันแน่
นางตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปนางจะบอกคุณชายว่าช่วยเชิญเสวียนชื่อมาสอนวิชานางที นางคิดว่าตนเองเป็นคนใฝ่รู้ แต่กลับไม่เข้าใจในสิ่งที่หมิงเวยทำเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน หมิงเวยหลับสนิท แต่อาหว่านกลับมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ อีกทั้งยังถูกรบกวนด้วยเสียงสวดมนต์ นางงุนงงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็รู้สึกง่วงขึ้นมา
ยามอิ๋น ด้านนอกมีเสียงพลุ
หมิงเวยลืมตาพูดเสียงเบา “ถึงเวลาแล้ว”
อาหว่านรู้สึกสับสน และเมื่อเห็นว่านายท่านสองพาซินแสเนตรหยินหยางและคนรับใช้ชายจำนวนหนึ่งเข้ามา นางก็เข้าใจ
มันคือการปิดฝาโลง
หมิงเวยดึงนางให้ถอยมาอยู่ข้างกัน และพูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคน “ท่านต้องการดูฉากของละครหรือไม่”
อาหว่านมองนางอย่างสงสัย หมิงเวยดึงมือของนางมา และวาดบางอย่างลงบนฝ่ามือของนางเบาๆ อาหว่านรู้สึกได้ถึงความเย็นอย่างแปลกประหลาดที่วิ่งตามฝ่ามือแล้วเข้าสู่ร่างกายของนางไป
แล้วนางก็พบโลกที่แตกต่างออกไป เดิมทีจากโลกที่ชัดเจนก่อนหน้า แต่ในตอนนี้สายตาของอาหว่านดูเหมือนจะมีควันจางๆ ปกคลุม ทุกอย่างดูบิดเบี้ยวไปหมด
เสียงสวดมนต์ที่ดังมาจากด้านนอกราวกับอยู่ห่างไกลแสนไกล
คนสองสามคนที่ยืนอยู่หน้าโลงศพของฮูหยินสามดูเหมือนจะมีควันลอยกั้นราวกับภาพที่วาดด้วยหมึกจึงเห็นเป็นเส้นบางๆ ที่บิดไปมา
นั่นคืออันใดกัน..
อาหว่านครุ่นคิด ทันใดนั้นนางก็เห็นควันลอยเข้ามาจากด้านนอก ลอยตามแนวเถ้าธูปที่หมิงเวยวาดไว้ก่อนหน้านี้ ควันค่อยๆ มาถึงหน้าโลงศพจากนั้นก็ก่อตัวเป็นเงา
เมื่อเห็นใบหน้าอันซีดเซียวอาหว่านก็สะดุ้ง ยังไม่ทันที่นางจะกรีดร้อง หมิงเวยก็ปิดปากของนางเอาไว้แล้ว
“อย่ากลัว พวกเขาไม่ใช่วิญญาณร้าย ไม่ทำร้ายคน”
อาหว่านตอบในใจว่านางไม่ได้กลัว! นางมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ รู้วิชาการแพทย์ เข้าใจกลยุทธ์ แค่ผีไม่กี่ตัวนางจะไปกลัวได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วนางก็ถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างเงียบๆ…ควันที่ลอยเข้ามาจากด้านนอกลอยมาตามแนวเถ้าธูปรวมตัวกันที่มุมทั้งสี่ของโลงศพ
โลงศพไม้มีขนาดไม่ใหญ่นักแล้วก็ไม่รู้ว่าผีพวกนี้ยืนได้อย่างไรกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็คุกเข่าลงก้มหัวเหมือนกับทานอะไรบางอย่างอยู่
หรือจะเป็นหมั่นโถวพวกนั้น…ซินแสเนตรหยินหยางยังเดินวนรอบโลงศพ ปากเขาพึมพำ
กระดิ่งรวบรวมวิญญาณในมือของเขาสั่น ‘ติงๆๆ’
เมื่อกระดิ่งรวบรวมวิญญาณสั่นควันก็ลอยมาจากด้านนอกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วโลงศพเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยผี
อาหว่านลูบแขนของตนนางรู้สึกหนาวสั่นที่แผ่นหลัง ผีจำนวนมากเพียงนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอันตราย แต่ก็น่ากลัวพอสมควร
ในที่สุดซินแสเนตรหยินหยางก็หยุดและพูดว่า “ปิดฝาได้”
นายท่านสองมองไปที่หมิงเวยอย่างไม่สบายใจ แต่เขารู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นนางคุกเข่าลงอย่างเงียบๆ
เขาคิดเพียงว่านางไม่ก่อปัญหาก็ดีแล้ว หากนำไปฝังเสร็จ เรื่องนี้ก็จะถูกเช็ดจนสะอาดเรียบร้อยเสียที
ทันใดนั้นก็ได้ยินคนรับใช้ชายพูดขึ้น “นายท่านขอรับ ปิดฝาไม่ได้ขอรับ!”
นายท่านสองหันหน้ากลับมา “เกิดอันใดขึ้น”
“นายท่านดูนั่นขอรับ” เหล่าคนรับใช้ชายยกฝาโลงขึ้นปิด แต่ก็ไม่สามารถปิดได้
นายท่านสองไม่เชื่อในเรื่องสิ่งชั่วร้าย หรือวิญญาณใดๆ เขาสั่งให้คนรับใช้ชายยกฝาโลงขึ้นเพื่อเล็งให้ตรง จากนั้นก็ยกฝาโลงปิดอีกครั้ง
แต่มันก็ไร้ประโยชน์ในเมื่อปิดอย่างไรก็ปิดไม่ลงเสียที นายท่านสองมองไปยังซินแสเนตรหยินหยาง
ซินแสเนตรหยินหยางหัวเราะ “ท่านรอสักครู่”
เขาหยิบยันต์ออกมาร่ายคาถาแล้วติดไว้ที่โลงศพ
“ลองอีกครั้ง” แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถปิดฝาโลงได้
ซินแสเนตรหยินหยางใจสั่นเหมือนวันนี้เขาจะเจองานหินเสียแล้ว ได้ยินมาว่าฮูหยินสามตายอย่างไม่เป็นธรรม เป็นไปได้ว่า…
ภายใต้การจ้องมองของนายท่านสอง เขารู้สึกลำบากใจจึงกัดปลายลิ้นแล้วใช้เลือดเขียนลงบนยันต์
แต่ก็ยังไม่สามารถปิดได้…
ซินแสเนตรหยินหยางเหงื่อตกได้แต่พูดว่า “ดูเหมือนฮูหยินจะยังอาลัยอาวรณ์คนในครอบครัวอยู่จึงไม่อยากจากไป นายท่านสองโปรดรอสักครู่”
กล่าวจบเขาก็เรียกลูกศิษย์เข้ามาหยิบข้าวของออกมาเพื่อคิดจะทำพิธีอีกครั้ง
แต่ในมุมมองของอาหว่านที่นางเห็นคือฉากที่แตกต่างออกไป
ที่มุมทั้งสี่ของโลงศพเต็มไปด้วยผี แล้วพวกมันก็มารวมกันอย่างแน่นหนาและเมื่อจะปิดฝาโลงศพก็ถูกพวกมันผลักออกมา
ยันต์ที่ซินแสเนตรหยินหยางติดไว้เมื่อครู่เถ้าธูปที่พื้นได้รวมตัวเป็นควันแล้วพุ่งมาปิดยันต์เอาไว้!
ส่วนเหล่าผีที่รู้สึกหวาดกลัวก็เริ่มสบายใจแล้วมุดเข้าไปในโลงเพื่อทานต่อ
หมั่นโถวหนึ่งลูกที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายๆ ชิ้นเพียงพอที่จะให้ผีเหล่านี้ทานได้อย่างไรกัน ผ่านไปนานแล้วแต่ยังไม่สามารถปิดฝาโลงได้ นายท่านสองก็เริ่มรู้สึกกังวล
เขาสงสัยว่าหมิงเวยจะเป็นคนเรียกผีมา แต่พอหันหน้าไปมองก็เห็นนางคุกเข่าอยู่ที่มุมห้องเงียบๆ เตรียมส่งฮูหยินสามให้ออกเดินทาง
ส่วนสาวใช้ที่คุณชายหยางส่งมาก็ยืนนิ่งๆ มองมาด้วยท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย
นายท่านสองถอนสายตากลับมาแล้วปลอบใจตัวเองว่าเขาคงคิดมากเกินไป
ถึงแม้นางจะสามารถเรียกผีเรียกวิญญาณได้ แต่ซินแสเนตรหยินหยางก็อยู่ที่นี่ อีกทั้งด้านนอกก็ยังมีภิกษุสงฆ์จากวัดเป่าหลิงสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา นางจะทำอันใดได้
ซินแสเนตรหยินหยางทำวิธีเดิมอีกครั้งทั้งกระจกแปดทิศ ทั้งเหรียญทองแดงก็นำออกมาใช้หมดแล้ว
คราวนี้เขาหยิบยันต์สิบใบออกมาแล้วติดไว้รอบโลงศพ คนรับใช้ชายปิดฝาโลงอีกครั้ง ซินแสเนตรหยินหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาพูดออกมา
“ปิดได้…” คนรับใช้ชายแปดนายใช้เชือกป่านรัดโลง อีกสองคนยกมุม…
“ตึง!”
เกิดเสียงดังสนั่นแล้วเชือกป่านก็ขาดออก!
…………………………………………………
[1] ยามอิ๋น : 03.00 น. – 05.00 น.